สีหน้ามารดาของตงจื่อดูไม่ค่อยดีนัก นางส่งเสียงฮึ่มแล้วหันขวับเดินจากไป
ไกลออกไปยังได้ยินเสียงนางบ่นพึมพำว่า เสแสร้งอะไรกันนักหนา ใครจะรู้ว่าเป็ความจริงหรือไม่!
ทันใดนั้นสีหน้าของหลิวฉีซื่อก็ดูไม่ดีนัก
หลังจากกลับถึงบ้าน เมื่อเห็นสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงกำลังหยอกล้อหลิวชุนเซียงเล่น นางก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าดำดิ่งและเผยแววตาเ็า “พวกเ้ากำลังทำอะไร? ในบ้านไม่มีงานทำแล้วหรือ? ให้อาหารหมูหรือยัง?”
“ท่านย่า ท่านถึงขั้นซื้อเด็กรับใช้แล้ว ครอบครัวก็น่าจะเป็เ้านายแล้วนะ ไม่เห็นจำเป็ต้องให้ครอบครัวข้าทำงานเลย ท่านเคยบอกไม่ใช่หรือ? บ้านเราไม่เลี้ยงใครเปล่าๆ”
ฝีปากของหลิวเต้าเซียงนั้นนับวันยิ่งร้ายกาจ นางเอาคำที่หลิวฉีซื่อชอบด่าพวกนางสองพี่น้องมาพูดตอกกลับ
“นางตัวดี เด็กรับใช้ซื้อมาปรนนิบัติอาเล็กของเ้า เ้าไม่ได้มีชีวิตที่ดีปานนั้น สมควรแล้วที่จะมีชีวิตยากจนไปตลอด!”
เมื่อด่าหลิวเต้าเซียงเสร็จ นางก็เลื่อนสายตาไปถามหลิวชิวเซียงว่าให้อาหารหมูแล้วหรือไม่?
คําตอบของหลิวชิวเซียงว่าจัดการเรียบร้อยแล้วทำให้นางพอใจ ก่อนจะเรียกชุ่ยหลิวและเด็กสาวที่มาใหม่คนนั้นเข้าเรือนใหญ่ไป
หลังจากนั้นไม่นาน หลิวเสี่ยวหลันก็ยื่นศีรษะออกมามาะโว่า “เต้าเซียง เ้าอย่าลืมตัดเสื้ออ๋าวตัวบางใหม่หนึ่งตัว แล้วรีบเอามาให้อิงเอ๋อร์ใส่ด้วย”
หลิวเต้าเซียงคิด อิงเอ๋อร์คงเป็ชื่อของสาวใช้คนเมื่อครู่?
นางเหลียวมองหลิวเสี่ยวหลันและพูดเบาๆ ว่า “อาเล็ก เพิ่งจะตัดใหม่ไปสองตัวไม่ใช่หรือ? บริจาคมาสักตัวย่อมได้ ท่านเองบอกว่า ข้าทำตัวใหม่ไว้แค่ตัวเดียว นั่นคือท่านแม่ข้าเย็บให้ข้า ยกให้นางแล้วข้าจะใส่อะไร?”
“ข้าไม่สนใจว่าเ้าจะใส่อะไร ถึงอย่างไร เสื้ออ๋าวใหม่ตัวนั้นข้าจะให้อิงเอ๋อร์ของข้าใส่” หลิวเสี่ยวหลันไม่ยอมให้เด็กรับใช้ที่มาใหม่ต้องใส่เสื้อผ้าเก่าและขาด เช่นนี้จะพาออกไปข้างนอกได้อย่างไร? คงต้องขายหน้านางแน่นอน
“ไม่ให้ก็คือไม่ให้ นั่นคือเสื้อที่ท่านแม่ข้าทำให้!” ท่าทีของหลิวเต้าเซียงค่อนข้างหัวรั้น นั่นคือแม่ผู้แสนดีของนางอุตส่าห์หาเวลาทำให้ เวลาสวมใส่จะได้อบอุ่น
“บอกให้เ้าให้ก็ต้องให้ หากเ้าไม่เชื่อฟัง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตบเ้าแน่” หลิวเสี่ยวหลันคิ้วตั้ง เกลียดชังเสียจนอยากจะถลกเสื้อผ้าบนตัวหลิวเต้าเซียงออกมาให้หมด
หลิวเต้าเซียงรำคาญและด่าเสียงดัง “ท่านอาเล็กหน้าไม่อายจริงๆ คิดจะแย่งเสื้อหลานสาวไปให้เด็กรับใช้ตนเอง หากเ้าไม่มีเงินก็อย่าริอาจมีเด็กรับใช้ ช่างขายขี้หน้าเหลือเกิน”
นางไม่เกรงกลัวหลิวเสี่ยวหลันแต่อย่างใด
เสียงของนางดังขึ้นเล็กน้อยเพื่อจงใจให้หลิวฉีซื่อได้ยิน
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ชุ่ยหลิวก็เดินเยื้องย่างออกมาราวกับอสรพิษที่ชอบยั่วยวน เดาว่านางคงแอบฟังอยู่ตรงหน้าประตูตลอดเวลา เมื่อหลิวฉีซื่อส่งสัญญาณ จึงเผยตัวออกมา
“เอาเถิด คุณหนู ตอนนี้ท่านเองก็เป็คนมีสถานะ อย่าได้ถือว่าผู้าุโน้อยกว่าเลย เมื่อครู่ฮูหยินบอกแล้วว่า วันนี้ได้ซื้อผ้าฝ้ายหยาบมาทำเสื้อผ้าให้อิงเอ๋อร์ด้วยส่วนหนึ่ง”
“ฮึ พี่ชุ่ยหลิว ข้าจะเอาเสื้อเหมียนอ๋าวของนาง เอามาให้อิงเอ๋อร์สวมใส่กำลังพอดี” หลิวเสี่ยวหลันยังคงหัวรั้นถึงที่สุด จะต้องให้หลิวเต้าเซียงถอดออกมาให้ได้
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจ แล้วหันมาะโไปทางห้องตะวันออก “ท่านย่า อาเล็กไม่ยอม จะให้หลานสาวถอดเสื้ออ๋าวออกมาให้ได้ อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ ข้าก็มีเพียงตัวเดียว อาเล็กกำลังคิดอยากบีบให้ข้าตายๆ ไปเสียใช่หรือไม่?”
คําพูดของนางมีเหตุผล แต่มันดังเกินไปเล็กน้อย
“ว่าอย่างไรนะ!” หลิวต้าฟู่เข้ามาพร้อมจอบและหน้าที่ดำคร่ำเครียด
นอกจากนี้ยังมีหลิวซานกุ้ยอยู่ข้างหลังเขา เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวเต้าเซียงพูดจากด้านนอก ไฟที่สุมทรวงก็ปะทุอย่างดุเดือด
“หลิวเต้าเซียง อาเล็กของเ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น หัวใจของนางอ่อนโยนยิ่งนัก!”
หลิวซานกุ้ยรู้ดีในใจ ครึ่งปีมานี้เขามองออกว่าหลิวเสี่ยวหลันเป็คนเช่นไร คำพูดนี้้าพูดเพื่อให้ได้ยินไปถึงคนในห้อง
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด หลิวฉีซื่อที่อยู่ข้างในนั้นจึงยอมเกลี้ยกล่อมหลิวเสี่ยวหลันจริงๆ
แต่เมื่อการโน้มน้าวไม่เป็ผล นางจึงเริ่มรำคาญ “หลันเอ๋อร์ เลิกไร้สาระได้แล้ว อย่าให้เด็กรับใช้หัวเราะเยาะเอาได้”
นี่คือสิ่งที่ฮูหยินใหญ่ตระกูลหวงเคยสั่งสอนลูกหลานตนเอง
นางเพียงแค่ฝึกหัดตามนั้น แต่ไม่ได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้ในคำพูดของฮูหยิน
หลิวฉีซื่อภูมิใจมาก นางรู้สึกว่าตนเองได้ใช้คำพูดถูกจังหวะ ทั้งยังเป็ผลดีอีกด้วย
หลิวต้าฟู่ฟังน้ำเสียงของนางแล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก เดิมทีเขาอยากพูด แต่เมื่อเห็นลูกหลานที่อยู่ในลานบ้าน สุดท้ายสิ่งที่คิดไว้ก็ลอยไปกับสายลม
หลังอาหารค่ำ หลิวฉีซื่อแนะนำอิงเอ๋อร์ให้กับทุกคนได้รู้จัก
หลิวเต้าเซียงเพิ่งรู้ว่า เด็กสาวที่มีดวงตาเฉกเช่นจิ้งจอกมาจากต่างอำเภอ ที่บ้านของนางยังมีครอบครัวพี่น้อง เพียงแต่ในบ้านมีคนมากเกินไป จึงขาดแคลนเงินสุดท้ายจึงเลือกขายนางออกมา
“ต่อไปนี้อิงเอ๋อร์จะปรนนิบัติรับใช้หลันเอ๋อร์โดยเฉพาะ”
จางกุ้ยฮัวเหลือบมองหลิวต้าฟู่และหลิวฉีซื่อครู่หนึ่ง จากนั้นแอบใช้ศอกสะกิดหลิวซานกุ้ย
หลิวซานกุ้ยไม่ใช่คนที่กตัญญูอย่างโง่เขลาเช่นในวันวานแล้ว เขารีบเคี้ยวอาหารในปากอย่างรวดเร็วและกลืนลงไป “ท่านแม่ ในเมื่อเราซื้อเด็กรับใช้แล้ว เช่นนั้นชิวเซียงกับเต้าเซียงก็ไม่ต้องทำงานบ้านอีกต่อไป”
“ไม่ได้” นี่คือคำพูดของหลิวเสี่ยวหลัน ท่าทีแน่วแน่ยิ่งนัก
หลิวต้าฟู่เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เ้าพูดอะไรนะ?”
“ท่านพ่อ ท่านแม่บอกแล้วว่าอิงเอ๋อร์นั้นเป็คนที่ท่านแม่ซื้อให้ข้าโดยเฉพาะ ย่อมต้องปรนนิบัติรับใช้ข้าเท่านั้น” หลิวเสี่ยวหลันมีแผนการเล็กๆ ในใจ เมื่อมีเด็กรับใช้แล้ว ตนเองยิ่งไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ยามที่ออกไปข้างนอกจะต้องพาไปด้วยเป็ประจำ ฉะนั้นจึงห้ามให้เด็กรับใช้ของตนดูเปรอะเปื้อนมากเกินไป เพราะว่าในบ้านมิอาจซื้อเด็กรับใช้ได้มากกว่านี้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางมิอาจเชิดหน้าได้ แล้วยังคงถูกบรรดาลูกคุณหนูเ่าั้หัวเราะเยาะ
“ปรนนิบัติอะไร เมื่อนางทำงานแล้วจะไม่เป็การปรนนิบัติเ้าได้อย่างไร เ้ารินน้ำชาเองไม่ได้ หรือว่ากินข้าวเองไม่ได้หรือ?” ข้อนี้หลิวเต้าฟู่ไม่เข้าใจ
เขาเป็คนติดดินที่ชีวิตเผชิญกับความลำบากมาโดยตลอด ไม่อาจเข้าใจความคิดของคนรวย ในสายตาของเขา นี่เป็การย่ำยีเงินทอง
แต่เงินนี้เป็ของหลิวฉีซื่อ แม้เขาจะคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์
“ท่านพ่อ ข้าเถียงท่านไม่ไหว ท่านแม่ ดูท่านพ่อสิ” หลิวเสี่ยวหลันโมโหกับคำพูดของหลิวต้าฟู่ จึงโอบแขนของหลิวฉีซื่อ
“เ้าพูดให้มันน้อยหน่อย ตอนนี้หลันเอ๋อร์อายุเจ็ดขวบแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าพวกฮูหยินเซียงเซินจะเริ่มให้เกียรติข้า ยินดีที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวเรา ต่อไปหลันเอ๋อร์ก็ต้องไปเที่ยวเล่นที่บ้านคุณหนูเ่าั้ หากข้างกายไม่มีเด็กรับใช้ด้วย แล้วจะมีหน้าได้อย่างไร คงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ อีกอย่างอิงเอ๋อร์ยังเด็กนัก ให้นางเรียนรู้การปรนนิบัติหลันเอ๋อร์ของข้า เช่นนี้นางก็จะได้ฝึกมาพอแล้ว”
เมื่อนางเห็นว่าหลิวต้าฟู่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จึงยื่นมือมาขวางแล้วเอ่ยขัดจังหวะ “ข้ารู้ว่าเ้า้าพูดอะไร ต่อไปเสื้อผ้าของเราสองคนให้ชุ่ยหลิวซัก อิงเอ๋อร์ซักเสื้อผ้าของนางกับหลันเอ๋อร์ นับว่าเป็การแบ่งเบางานของจางกุ้ยฮัวหน่อย”
“ข้าไม่เห็นด้วย เื่งานที่ลูกสาวข้าทำต้องยกให้พวกนางสองคนทำ” จางกุ้ยยืนกรานต่อหน้าหลิวฉีซื่อเป็ครั้งแรก
หลิวเสี่ยวหลันกังวลเล็กน้อย นางไม่้าให้อิงเอ๋อร์ไปทำความสะอาดคอกหมูจนเนื้อตัวเหม็น หากคุณหนูเ่าั้เห็นเข้าต้องหัวเราะเยาะนางแน่ มีเด็กรับใช้เช่นนี้ สู้ไม่มีดีกว่า เื่ที่จะส่งผลต่อหน้าตาเช่นนี้จะให้นางยอมได้อย่างไรกัน?
นางมองไปที่หลิวฉีซื่อด้วยสายตากังวล
“เอาเถิด อิงเอ๋อร์รับผิดชอบซักเสื้อผ้าในห้องเรา พวกเ้าเองก็ดูแลของห้องตนเองเป็พอ ส่วนมื้ออาหารสามมื้อยกให้เป็หน้าที่ชุ่ยหลิว หากข้าออกไปสอนงานข้างนอกก็ให้ชุ่ยหลิวติดตามข้า”
หลิวฉีซื่อไม่คิดจะละทิ้งงานสอนเย็บปัก เพราะได้ค่าตอบแทนมาก อีกทั้งฮูหยินเซียงเซินเ่าั้ก็ไว้หน้านางอยู่บ้าง ส่วนบรรดาคุณหนูก็เรียกนางว่าอาจารย์หญิง
เพียงแต่การแบ่งงานเช่นนี้ หัวใจของหลิวฉีซื่อก็ไม่ได้สบายใจนัก เพราะนั่นหมายความว่านางเด็กสองคนนั้นจะว่างงาน?
หลิวฉีซื่อที่คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงกับโมโห เพียงแต่นางพูดเช่นนี้ต่อหน้าหลิวต้าฟู่ไปแล้ว จะกลับคำย่อมไม่ได้
“เต้าเซียงกับชิวเซียงสบายขึ้น ข้าเองก็ดีใจ”
ขณะที่พูดเช่นนี้ หลิวเต้าเซียงเห็นถึงความอึดอัดของนาง คงฝืนน่าดู!
แล้วอย่างไรเล่า?
หลิวเต้าเซียงหยิบตะเกียบไปคีบเนื้อสันในเตรียมกินข้าว ก็ได้ยินหลิวฉีซื่อเอ่ยว่า “ในบ้านยังคงต้องประหยัดกินประหยัดใช้ ต่อไปข้าวละเอียดคงต้องกินผสมกับข้าวหยาบ”
ขณะที่นางพูดเช่นนี้ ชุ่ยหลิวที่อยู่ด้านหลังก็กวาดตามองนาง จากนั้นหลุบตาลง เพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่านางคิดอะไร เพียงแต่ใบหน้านั้นแสดงความรังเกียจออกมาเล็กน้อย
หลิวฉีซื่อไม่รู้เื่นี้ นางจึงกล่าวว่า “นอกจากนี้ หมูสามตัวนี้ในบ้านเรา ปีนี้กุ้ยฮัวเลี้ยงได้ไม่เลว เทียบกับครั้งก่อนที่ข้าไปในจังหวัดช่างดูตัวอ้วนขึ้นไม่น้อย ข้าว่าไม่จำเป็ต้องรอถึงตรุษจีน ซานกุ้ยหาเวลาว่างไปเชิญคนขายหมูมา แล้วขายหมูสามตัวนี้ออกไป”
“เราไม่เก็บสักตัวไว้ตอนตรุษจีนหรือ?” หลิวซานกุ้ยรู้สึกแปลกใจ
“ไม่ต้อง ขายไปก่อน เื่เนื้อหมู่ตรุษจีนเ้าไม่ต้องห่วง บ้านคนรวยที่ข้าไปสอนนั้นเลี้ยงหมูไว้ไม่น้อย ฮูหยินท่านนั้นจิตใจกว้างขวาง อนุญาตยกให้ข้าหนึ่งตัวเป็ของขวัญเทศกาล”
เช่นนี้แล้ว คนในตระกูลหลิวจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเนื้อหมูกินใน่ตรุษจีน นี่เป็เพียงความคิดของหลิวฉีซื่อ
หลิวซานกุ้ยพยักหน้ารับ เขาไม่ได้สนใจว่าในบ้านจะมีเนื้อหมูกินหรือไม่ เพราะในโอ่งน้ำด้านหลังของห้องปีกตะวันตกมีกระดูกแช่อยู่สี่ชิ้น แล้วยังมีเนื้อหมูเค็มยี่สิบชั่ง กระดูกเอาไว้ตุ๋นน้ำแกง ส่วนเนื้อหมูยี่สิบชั่ง มีหนึ่งชิ้นที่ตั้งใจรมควันแล้วเอาไปให้แม่ยาย อีกหนึ่งชิ้นเอาไว้กินแก้อยาก จากนั้นหั่นเนื้อเค็มแล้วเอามานึ่ง้าข้าวพร้อมกัน ช่างหอมและอร่อยยิ่งนัก!
หลิวฉีซื่อกล่าวเสริมว่า “ซานกุ้ย รอผ่านพ้นการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง อาศัย่ที่แม่น้ำยังไม่กลายเป็น้ำแข็ง เ้าไปจับปลาที่แม่น้ำมา พี่ใหญ่เ้าบอกว่า ปีนี้เขาจะกลับมาตรุษจีน แล้วก็ พี่รองเ้าบอกว่า เขายัง้าเนื้อปลาเค็มเอาไปให้บ้านเ้านาย”
หลิวซานกุ้ยชะงักเล็กน้อยก่อนจะรับปากเื่นี้
“วันรุ่งขึ้นข้าจะไปถามบ้านอื่นๆ ดูว่ามีบ้านไหนที่มีลูกหมูบ้าง ข้าจะไปจับมาไม่กี่ตัวเลี้ยงไว้ ค่าเล่าเรียนของหลานชายเราก็หวังพึ่งหมูอ้วนเหล่านี้แล”
หลิวฉีซื่อคํานวณ แม้ว่าจะมีเด็กรับใช้สองคนช่วยแบ่งเบางาน จะได้ให้หลานสาวสองคนขึ้นเขาไปหามันเทศป่ากลับมาให้อาหารหมู
“ชิวเซียงกับเต้าเซียงอย่าอยู่ว่างที่บ้านเฉยๆ หากไม่มีอะไรก็ให้ขึ้นเขาไปขุดของป่ากลับมาพักไว้ หากหิมะตกออกไปไม่ได้ ก็ให้เอามันเทศในหลุมดินมาให้อาหารหมู”
“เข้าใจแล้ว ท่านย่า!” หลิวเต้าเซียงตอบอย่างร่าเริง
หลังจากรับประทานอาหารค่ำและแยกย้ายกลับเข้าห้อง หลิวชิวเซียงแอบดึงหลิวเต้าเซียงมาถาม “น้องรอง มันเทศในหลุมดินมีไม่มากแล้ว”
“ท่านพี่ เดี๋ยวก็ต้องขุดมันเทศแล้วไม่ใช่หรือ กลัวอะไร? ถึงเวลาหากท่านย่าถาม ก็บอกว่ามันเทศในหลุมดินรากงอกแล้ว จึงต้องหั่นไปให้อาหารหมู”
-----
