“อะไรนะ? หูจื่อบ้านหลี่เจิ้งจับปลาหนีชิวได้หรือ? เ้าลิงบ้านั่นนับวันยิ่งป่าเถื่อน ใช่สิ พวกเ้าจะพอกินหรือ? ต้มเต้าหู้จะไปพอได้อย่างไร บ้านป้าไม่มีอย่างอื่น มีเพียงหม้อใบเล็กใหญ่มากมาย ข้าจะไปเลือกสองใบมาให้พวกเ้า อันหนึ่งเอาไว้ต้มปลาหนีชิวกับเต้าหู้ อีกหนึ่งอันไว้ต้มถั่วแขกแห้งเผ็ดเปรี้ยวกับปลาหนีชิว พวกเ้าช่างมีเื่กินเหลือเกิน ได้ยินว่าหูจื่อเป็มือฉมังในการจับปลาหนีชิวเชียวล่ะ”
เห็นได้ชัดว่าป้าหลี่เองก็โหยหาอยากกินเช่นกัน หลิวเต้าเซียงยกมือปิดปากหัวเราะ หลี่ชุ่ยฮัวแสยะยิ้มแล้วชำเลืองมองมารดาของตน อย่าชัดเจนเกินไปได้หรือไม่? นางใกล้จะบ้าอยู่แล้ว เหตุใดจึงมีแม่ที่ไม่จริงจังขึงขังเช่นนี้!
“ท่านแม่ หากว่าอยากกิน ครั้งหน้าก็ให้พ่อไปจับ”
ป้าหลี่เหลือบมองบุตรสาวและดุด้วยรอยยิ้ม “เ้าจะไปรู้อะไร พ่อและพี่ชายของเ้าตอกตะปูในร้านเหล็กตลอดทั้งปี ไม่มีเวลาว่างไปจับปลาหนีชิวหรอก”
“ท่านป้า หนหน้าข้าจะบอกกับพี่หูจื่อ บอกให้เวลาว่างๆ เขาไปจับ แล้วมามอบให้บ้านท่านป้า” หลิวเต้าเซียงพอจะรู้เื่บ้านตระกูลหลี่บ้าง คนตระกูลนี้เลี้ยงชีพโดยการตีเหล็ก ที่บ้านมีที่นาสามถึงสี่ไร่ แต่ก็เพาะปลูกแต่เสบียงของครอบครัว วันๆ ยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดดิน ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปจับปลาหนีชิว
ใบหน้าขาวผ่องสะอาดของป้าหลี่ฉีกยิ้มเบิกบานดุจดอกไม้บานสะพรั่ง แล้วเอ่ย “เต้าเซียงเด็กดีที่สุด เอาเถิด ข้าจะไปเอาหม้อให้พวกเ้า แล้วเอาถั่วแขกแห้งเผ็ดเปรี้ยวมาให้พวกเ้า”
ระหว่างที่รอมารดา หลี่ชุ่ยฮัวจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เต้าเซียง ต่อไปข้าเลี้ยงไก่หาเงิน จำต้องซื้อปลาหนีชิวให้แม่ข้ากินเยอะๆ”
หลิวเต้าเซียงยิ้ม “เช่นนั้นเ้าเรียนรู้การเย็บผ้าเช็ดหน้าให้เร็ว ถึงเวลาข้าจะแอบเอาไปแลกเงินที่ตำบลให้เ้า แล้วค่อยซื้อลูกไก่กลับมาให้”
หลี่ชุ่ยฮัวไม่รู้ว่าในฤดูร้อนไม่มีลูกไก่ขาย ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อคำพูดของเพื่อน
เมื่อคิดว่าตนเองสามารถแอบหาเงินโดยไม่ให้มารดารู้ ในใจก็ตื้นตันยิ่งนัก
หลิวเต้าเซียงไม่ได้ตระหนี่นัก อย่างไรก็ตามการเลี้ยงไก่เพื่อหาเงินไม่ใช่เื่ที่นางสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว
นางยังวางแผนที่จะสอนเคล็ดลับบางอย่างให้กับหลี่ชุ่ยฮัวในการดูแลไก่ไม่ให้เจ็บป่วย
ทั้งสองกําลังพึมพําเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่อยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นก็เห็นป้าหลี่เดินออกมาจากในบ้าน มือข้างหนึ่งหิ้วหม้อไว้สองใบ อีกมือหนึ่งหิ้วตะกร้าไม้ไผ่
“เอ้า นี่คือหม้อเล็กสองอัน กินเสร็จแล้วต้องเอากลับมาด้วยนะ หากว่าหายไป ข้าจะถลกหนังพวกเ้าสองคน”
ป้าหลี่เป็เพียงเสือกระดาษและมักจะกำชับพวกนางเช่นนี้เสมอ
นางยื่นหม้อเล็กๆ สองใบให้หลิวเต้าเซียงและมอบตะกร้าอีกใบให้กับหลี่ชุ่ยฮัว ในนั้นนอกจากจะมีถั่วแขกแห้งเผ็ดเปรี้ยวแล้ว ยังมีเกลือหนึ่งช้อน แล้วก็ถ้วยกับตะเกียบหลายชุด แล้วยังมีซีอิ๊วขาวเล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงไม่ได้ขอน้ำมันหมูและบอกนางว่า หวงเสียวหู่เอาเนื้อเค็มติดมันมาด้วย จึงมีเพียงพอแล้ว
ป้าหลี่ยังเตรียมถั่วเหลืองเปลือกเขียวที่คั่วจนสุกแล้วมาให้ด้วย แล้วกำชับทั้งสองว่าห้ามเล่นจนดึกดื่น อย่าไปยืนในตำแหน่งที่หญ้าลึกเกินไป ถึงวางใจให้ทั้งสองออกไปเที่ยวเล่น
หลิวเต้าเซียงเห็นป้าหลี่ปิดประตูบ้าน แล้วถึงพาหลี่ชุ่ยฮัวอ้อมไปทางมุมกำแพงบ้านของนาง
จากนั้นแหวกพงหญ้าเพื่อหยิบตะกร้าออกมา หัวเราะเริงร่าแล้วบอกกับหลี่ชุ่ยฮัวว่า “คืนนี้เราต้องกินให้อิ่มหนำสำราญ”
หลี่ชุ่ยหัวถือตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กไว้พร้อมกับอ้าปากเหวอ แล้วกวาดมองรอบทิศซึ่งไม่มีผู้ใด ถึงเอ่ยเสียงค่อย “เต้าเซียง เ้าแอบขโมยเสบียงในบ้านมาหรือ?”
หลิวเต้าเซียงมีความสุขแล้วหาข้ออ้างที่ดีงามออกมาอย่างสบายใจเฉิบ “ฮ่า กลัวอะไรกัน วันนี้บ้านข้ายุ่งวุ่นวายนัก ข้าไม่อยากกลับไปฟังเื่ไม่สบายใจตอนนี้ แป้งนี้ป้ารองข้าเป็คนซื้อไว้แอบกินเอง ปรากฏว่าวันนี้รีบร้อนจากไป ฮ่าๆ ข้าเลยได้มา รอนางกลับมา เ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ใครจะรู้ว่าของเหล่านี้หายไปไหน”
“อ้อ เมื่อเ้าพูดเช่นนี้ ข้าจะได้กินอย่างสบายใจไม่รู้สึกผิด”
ฟังเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าหลี่ชุ่ยฮัวไม่ชอบหลิวซุนซื่อมากเพียงใด
หลิวเต้าเซียงรู้สึกขบขันกับหลี่ชุ่ยฮัว แล้วคิดในใจ ไม่รู้ว่าคราวนี้หลิวฉีซื่อจะโกรธเพียงใด
อย่างไรก็ตาม นางไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ท้องฟ้าและผืนดินจะกว้างใหญ่แต่การกินก็ยิ่งใหญ่กว่า
จากนั้นก็พาหลี่ชุ่ยฮัวไปยังสถานที่ที่นัดไว้กับหวงเสียวหู่ เมื่อทั้งสองมาถึง นอกจากหวงเสียวหู่กับหลิวชิวเซียง ก็ยังมีตงจื่อกับคนอื่นๆ อีก ทั้งหมดมีเจ็ดคน ทว่านอกจากหวงเสียวหู่ หลิวเต้าเซียงและหลิวชิวเซียงไม่ได้สนิทกับคนอื่นมากนัก
เมื่อเห็นแป้งและไข่ที่หลิวเต้าเซียงนํามา ดวงตาของทุกคนก็เป็ประกาย แล้วเห็นเนื้อติดมันเค็มของหวงเสียวหู่ที่นำมาด้วย ทั้งหมดก็มีความคิดเดียวกันว่าอยากกินเล่าปิ่ง [1]
ค่ำคืนในชนบทค่อนข้างชวนหลงใหล ดวงดาวระยิบระยับ แสงจันทร์ดุจหยก สายลมเคล้าคลอ กลิ่นหอมของต้นข้าว หิ่งห้อยวิ่งเย้าแหย่กันไปมา กบซึ่งเดียวดายก็ะโออกมาขับขานเสียงทุ้มต่ำของมัน
ชั่วขณะนั้นหลิวเต้าเซียงมองดูอย่างเคลิบเคลิ้ม
ท่าทางซื่อบื้อเช่นนั้นทำเอาหวงเสียวหู่หัวเราะเยาะอีกรอบ
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจ แล้วมองดูแสงดวงดาวพร้อมกับกลิ่นหอมของดินและกินหม้อไฟปลาหนีชิวที่ทั้งหอม เผ็ดและอร่อย จากนั้นก็กัดเล่าปิ่งที่รสชาติอร่อยเด็ดเข้าปาก แล้วฟังพวกเขาซุบซิบเื่ในหมู่บ้าน จังหวะนั้นหลิวเต้าเซียงก็ลืมความวุ่นวายในหัวไปจนหมด กระทั่งลืมเลือนชีวิตในชาติก่อน นางกำลังเคลิ้มกับบรรยากาศความเบาสบายที่ยากจะได้ัั
ส่วนหลิวฉีซื่อที่ถูกหลิวเต้าเซียงสลัดความคิดไว้ข้างหลัง กลับไม่ได้สบายใจเช่นนั้น
เื่ในวันนี้นางต้องจ่ายไปไม่น้อย สูญเสียเนื้อหมูติดมันเค็มสองส่วน ยาสูบชั้นดีหนึ่งมัด ผ้าไหมหูโจวอีกสามผืน
เดิมทีนางคิดอยากจะมอบให้หลี่เจิ้งคนเดียว ต่อมาคิดดูแล้วรู้สึกไม่เหมาะสม เกรงว่าฮูหยินหลี่เจิ้งจะชิงชัง จึงเลือกอีกหนึ่งผืนไว้ในตะกร้า คิดไปคิดมา หากว่าให้เพียงผู้ใหญ่สองคน เช่นนั้นหลานตัวเล็กที่ถูกพวกเขาอุ้มชูไว้ในฝ่ามือจะไม่ให้ได้หรือ?
ดังนั้นนางจึงเลือกผ้าไหมหูโจวสีอ่อนให้กับหวงเสียวหู่อีกหนึ่งผืน พริบตาเดียวผ้าไหมหูโจวหายไปสามผืน ในใจหลิวฉีซื่อไม่รู้ว่าเ็ปเพียงใด
รู้กันอยู่ว่าผ้าไม่กี่ผืนเหล่านี้เป็ของที่หลิวเหรินกุ้ยมอบให้นางก่อนหน้านั้น
เมื่อหลิวฉีซื่อกลับมาถึงบ้าน ในบ้านมืดสนิท ไม่ได้จุดไฟ แต่นี่เป็ธรรมดา บ้านชาวนานั้นค่อนข้างประหยัด น้ำมันตะเกียงแพงเกินไป หากไม่ใช่เื่ใหญ่ ในบ้านก็ไม่จำเป็ต้องจุดไฟ
หลังจากเข้าไปในบ้านใหญ่ พบว่าหลิวต้าฟู่ที่นอนกรนอยู่บนเตียงก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าหายไปไหน?
วันนี้นางสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองอยู่เต็มท้อง เมื่อเห็นว่าหลิวต้าฟู่ที่ไร้ประโยชน์หายไป ความเดือดดาลในใจก็ยิ่งไม่มีที่ระบายออกมา ขณะนี้นางกำลังยืนอยู่หน้าคั่งในห้องตะวันออก โมโหจนควันออกหู
จากนั้นนางก็สะบัดผ้าห่มขึ้นแล้วยื่นมือไปัั ปรากฎว่าเป็ผิววัตถุที่เย็น!
นางยิ่งโกรธมากขึ้น เมื่อนึกถึงเื่ก่อนหน้านี้ที่ตนต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายมากมายจากตระกูลซุนคนเดียว ส่วนหลิวต้าฟู่กลับเมามายไม่ได้สติ จึงยิ่งโมโห
ด้วยเหตุนี้จึงแผดเสียงดัง “ไปตายที่ไหนกันหมด”
ภายในบ้านเงียบสนิท
นางเดินไปที่หน้าต่างห้องตะวันตก ผลักออกแล้วะโไปทางลานบ้าน “ซานกุ้ย ซานกุ้ย พ่อเ้าล่ะ?”
หลิวซานกุ้ยไม่ตอบ แต่หลิวเสี่ยวหลันที่อยู่ห้องทิศตะวันตกตอบว่า “ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านพ่อยังอยู่ ตอนนี้พี่สามพยุงท่านพ่อไปยังกระท่อมสุขาแล้ว”
ฟากของหลิวฉีซื่อกลับเงียบ จากนั้นอาศัยความสว่างของแสงจันทร์ค่อยๆ เดินไปข้างเตียง
ถูกต้อง นางกับหลิวเสี่ยวหลันใช้เตียง หรือจะพูดให้ถูกคือ มีเพียงครอบครัวหลิวซานกุ้ยที่ใช้คั่ง ใครใช้ให้ตอนที่แต่งงานมา บ้านของแม่จางกุ้ยฮัวไม่ได้เตรียมเตียงไม้ที่ดีมาด้วยล่ะ
นอกจากนี้ฝั่งทิศตะวันออกในห้องนอนของนางยังมีคั่งอีกหนึ่งอัน แต่ก่อนเอาไว้ให้หลิวเสี่ยวหลันนอน ต่อมาจึงยกห้องตะวันตกให้นางไป แล้วทำเตียงไม้อย่างดีให้
หลิวฉีซื่อกำลังครุ่นคิด หลิวซุนซื่อให้กำเนิดหลานชายให้นางสองคน เกรงว่าหลิวเหรินกุ้ยจะไม่ยอมปลดนางง่ายๆ แต่ตัวนางในตอนนี้ไม่อาจปล่อยให้หลิวซุนซื่อขึ้นมาขี่บนศีรษะเพื่อเล่นลูกไม้ได้อีกต่อไป จึงตั้งใจว่าจะสร้างปัญหาให้กับหลิวซุนซื่อสักหน่อย
นางกำลังคำนวณว่าตนเองต้องทำอย่างไรจึงจะคว้าตัวหลิวเหรินกุ้ยไว้ได้ แล้วให้ลูกรองของนางเชื่อฟัง
ในใจของหลิวฉีซื่อ ลูกสะใภ้ไม่มีวันเลี้ยงได้เหมือนลูกตนเอง เพราะเป็ลูกสาวของบ้านอื่น มีเพียงลูกชายและหลานชายที่เป็ทายาทของตระกูลหลิว
แม้ว่าจางกุ้ยฮัวจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังมาก แต่ในใจของหลิวฉีซื่อก็ยังไม่ถือว่านางเป็คนในครอบครัวตระกูลหลิว
คนที่ไม่ใช่คนในตระกูลหลิวยังรวมไปถึง สะใภ้ใหญ่หลี่ซื่อ สะใภ้รองซุนซื่อ
นางจำได้ว่านับั้แ่ลูกรองของนางแต่งงาน เพียงไม่กี่วันก็ขอย้ายออกไปอยู่ที่ตำบล ตอนนั้นนางกลัวว่าลูกชายจะเหนื่อย ฤดูร้อนยังพอว่า แต่เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่มีทั้งฝนพายุและหิมะ หลิวฉีซื่อเห็นแล้วเ็ปใจ นางพูดคุยกับหลิวเหรินกุ้ยมากมายว่าให้เขาอาศัยในตำบลได้ แต่วันหยุดให้กลับมาพักที่บ้าน เพียงแต่หลิวเหรินกุ้ยไม่พอใจ เื่นี้จึงจบไปอย่างนั้น
ตอนนั้นที่ได้ยินหลิวเหรินกุ้ยเอ่ยขึ้นมา นางยังนึกว่าเขาคิดได้เอง แต่ตอนนี้มาย้อนนึกดู ปฏิกิริยาแรกของหลิวฉีซื่อคือ สงสัยว่าเื่นี้จะมีหลิวซุนซื่อที่คอยเป็บ่างช่างยุเป็แน่
เมื่อคิดได้ดังนี้ แววตาของนางก็เลื่อนไปทางเตียงที่ว่างเปล่าข้างๆ ยิ่งนึกก็ยิ่งชิงชังหลิวต้าฟู่ นางที่แต่งงานกับเขาราวกับว่าเป็ดอกไม้สวยสดที่เสียบไว้บนมูลวัวอย่างไรอย่างนั้น
แต่ที่พอจะปลอบประโลมได้ก็คือ การที่นางคลอดบุตรชายที่ใช้ได้หลายคน
บุตรชายคนสุดท้ายของนางอีกไม่กี่ปีก็จะลงสนามสอบซิ่วไฉ ได้ยินว่าบรรดาหลานชายปีนี้ก็จะลงสอบถงเซิงด้วย
เมื่อคิดถึงเื่นี้ อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาบ้าง ความพยายามทั้งหมดของตนเองในหลายปีมานี้กำลังจะไปได้ดี แต่สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือ หลิวซุนซื่อช่างไม่มีวิสัยทัศน์เลย
เมื่อคิดว่าบุตรชายของตนถูกนางใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนปั่นหัว ในใจก็ไม่สงบสุข
ขณะที่นางกำลังคิดเพ้อเจ้อ อีกฟากหนึ่งก็มีเสียงของหลิวซานกุ้ยดังขึ้นมา
“ท่านพ่อ ช้าหน่อย ระวังบันได”
หลิวฉีซื่อได้ยินอยู่ด้านใน จึงสบถกับตนเองว่า นี่มันเื่บ้าอะไรกัน
โดยไม่รู้ว่าที่พูดออกไปนั้นนางกำลังด่าใคร
เมื่อรอจนหลิวซานกุ้ยพยุงหลิวต้าฟู่เข้ามาในห้องตะวันออก นางก็หยิบไม้ขีดไฟจุดตะเกียงในห้องให้มีแสงสว่าง
หลิวต้าฟู่เห็นนางนั่งอยู่บนขอบเตียง สมองที่เบลอก่อนหน้านี้ก็เริ่มสร่างเมาขึ้นมาบ้าง
“ถุย เหตุใดเ้าไม่ดื่มฉี่ม้าตายๆ ไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่งกับเ้ามันไร้ประโยชน์ แต่งกับคนอย่างเ้าไปด้วยเหตุใดกัน? คนอื่นบุกมาถึงบ้าน เ้ากลับนอนหลับสบายใจเฉิบ พ่อข้าช่างตาบอดเหลือเกิน ถึงคิดว่าคนอย่างเ้าใช้ได้ ซื่อตรงบ้าบอน่ะสิ ใช้ไม้เฆี่ยนสามทีก็คงไม่มีทางผายลมออกมาได้ [2]”
เดิมทีห้องอันเงียบสงบ ทันใดนั้นก็มีเสียงของหลิวฉีซื่อทำลายความเงียบด้วยการด่ากราดออกมาเป็ชุด
หากเป็หลิวซานกุ้ยในอดีตจำต้องช่วยผู้เป็พ่อแก้ตัวสักหน่อย แต่ในขณะนี้ เขากลับขยับตัวเบาๆ แล้วพยุงหลิวต้าฟู่เดินไปข้างเตียง
สำหรับคำด่าของหลิวฉีซื่อนั้น เขาไม่ได้ฟังเข้าหูแม้แต่น้อย แต่ทำเป็ลมผ่านหูไป
“เ้าหูหนวกหรือตาบอด? ตัวไร้ประโยชน์ สวะ! ข้าฉีหรุ่ยเอ๋อร์ช่างโชคร้ายเสียจริง ถึงได้มาเป็สามีภรรยากับเ้า” หลิวฉีซื่อเห็นหลิวต้าฟู่ไม่สนใจนาง อารมณ์จึงยิ่งปรี๊ดหนัก
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” จู่ๆ หลิวต้าฟู่ก็คําราม
ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ หลิวต้าฟู่จะเดือดดาลเช่นนี้ หรือบางทีต้องบอกว่าทุกคนในตระกูลหลิวต่างก็เคยชินกับการที่หลิวฉีซื่อพูดอยู่ฝ่ายเดียว
-----
เชิงอรรถ
[1] เล่าปิ่ง 烙饼 เป็อาหารที่ทำจากแป้งคล้ายกับโรตี รูปภาพประกอบ

[2] ใช้ไม้เฆี่ยนสามครั้งก็คงไม่มีทางผายลมออกมาได้ เป็คำสุภาษิตจีน เปรียบเทียบว่าเป็คนซื่อตรง ไม่ชอบพูดจา
