เสิ่นเล่ยฝึกวิชาอยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปสิบวันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในสิบวันนี้ นางตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ของที่นี่และเจตจำนงกระบี่ที่ตกตะกอนมาร้อยปีอย่างต่อเนื่อง ความสามารถกำลังเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว การยึดกุมเจตจำนงกระบี่ของนางถึงขั้นก้าวหน้าขึ้นและรู้แจ้งเล็กน้อย
วันนี้เสิ่นเล่ยรู้สึกตัวจากการเข้าฌาน
เสิ่นเล่ยมองตรงเบื้องหน้า สายตาจับนิ่ง ชี้กระบี่และวาดเป็รังสีกระบี่
แปรความคิดเป็กระบี่ แม้ไม่มีความแข็งแกร่งของกระบี่ แต่กลับอาศัยระดับเจตจำนง
ฝึกมรรคากระบี่ก็เป็เช่นนี้ เมื่อบรรลุถึงระดับหนึ่ง ก็สามารถใช้กิ่งไม้ต้นหญ้าเป็กระบี่ในมือได้ ทรงอานุภาพมาก
ตระหนักรู้สิบวัน เหนือล้ำกว่าเสิ่นเล่ยฝึกวิชาหลายเดือนหรือนานกว่านั้น
กระบี่ยาวในมือของเสิ่นเล่ยหลุดจากฝัก ฟันหนึ่งกระบี่ เสียงคำรามกระบี่แ่เบาแฝงรังสีกระบี่แหลมคม แม้กระบวนท่าเมื่อครู่ของนางไม่ได้ใช้กระบี่ แต่กลับแฝงระดับเจตจำนงกระบี่จางๆ สมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ ฝีมือยอดเยี่ยมดุจภูติเทพสร้างสรรค์ แต่ละกระบี่แฝงอารมณ์ของมรรคากระบี่ ให้ความรู้สึกรื่นหูรื่นตา แต่ในความแ่เบากลับแฝงปราณแหลมคมมุ่งไปข้างหน้า
ใบหน้าของเสิ่นเล่ยประดับด้วยรอยยิ้มพริ้มเพรา ดวงตาไหววูบเล็กน้อย
ใช้มุทรากระบี่อัสนีเที่ยงแท้ พริบตา ปราณกระบี่ก็พวยพุ่ง เสียงคำรามกระบี่ะเืทั่วฟ้าดิน ยังไม่ทันจู่โจม รังสีคมกริบของกระบี่ก็ปกคลุมฟ้าดินแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้ร่างของเสิ่นเล่ยสั่นเทานิดๆ
จากนั้น ใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มยินดีปรีดา ยิ้มแย้มเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
สายตาของเสิ่นเล่ยมองสถานที่แห่งหมื่นกระบี่ตรงเบื้องหน้า นางลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ก้าวเท้าออกไป
ตูม!
เพิ่งก้าวเท้าออกไป ปราณกระบี่ก็เกิดสายลมคลั่งพุ่งเข้าใส่นางและโอบล้อมนางไว้ เจตจำนงกระบี่อันไพศาลดุจคลื่นน้ำขึ้นน้ำลงทำให้ใจของเสิ่นเล่ยสะท้าน จากนั้นรู้สึกว่าร่างของนางขยับ สามารถร่ายรำกระบี่ยาวได้ตามเจตจำนงกระบี่ดั่งเมฆเหินน้ำไหล หลงลืมอยู่ในนั้น
...
คนที่เข้าไปในประตู์สามสิบหกบานมีนับไม่ถ้วน แต่ละคนต่างมีวาสนาและโชคของตน
มีคนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมีคนจบชีวิตไปยมโลก…
เวลานี้ เซียวเฉินนั่งขัดสมาธิฝึกวิชาอยู่ในถ้ำมิดชิดแห่งหนึ่งของพื้นที่รกร้างดาราราย
เวลาสิบกว่าวัน เซียวเฉินหล่อหลอมพลังเสวียนและแก่นของวานรั์ค้ำยันฟ้า ความสามารถก็พุ่งทะยานจนบรรลุขั้นเสวียนฟ้าสามชั้นฟ้าระดับสูงสุด แม้แต่คัมภีร์หงสาานิรวาณภายในร่างก็เคลื่อนไหวรางๆ เซียวเฉินปีตียินดี ดูท่า อีกไม่นานก็น่าจะบรรลุนิรวาณขั้นสี่ได้
“แก่นของวานรั์ค้ำยันฟ้าแข็งแกร่งจริงๆ แค่หล่อหลอมก็ใช้เวลาสิบวัน...” เซียวเฉินยิ้มกล่าว ในสิบวันนี้เขาทุกข์ทนมากขึ้นเพียงไร พลังเสวียนอันรุนแรงจู่โจมกระดูกทุกชิ้น แขนขา และชีพจรของเขาไม่หยุด ต่อให้เขาฝึกวิชาร่างเทพอัสนีก็ไม่อาจโชคดีหนีพ้นได้ แต่ยังเคราะห์ดี ความมุ่งมั่นทำให้เขายืนหยัดต่อไปได้
จากนั้น เซียวเฉินก็นำแก่นโลหิตหยดหนึ่งของวานรั์ค้ำยันฟ้าออกมา
เซียวเฉินมองแก่นโลหิตของสัตว์ปิศาจในมือก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในแก่นโลหิตนั้นบรรจุกลิ่นอายรุนแรง ความรุนแรงชนิดนี้ทำให้เขามีสีหน้าหนักใจ โลหิตหยดนี้คือโลหิตแก่นชีวิตของวานรั์ค้ำยันฟ้า สัญชาตญาณของวานรั์ค้ำยันฟ้าดุร้าย กระหายการฆ่า และป่าเถื่อน หากหล่อหลอมสำเร็จ ความสามารถของตนเองต้องพุ่งพรวด แต่หากหล่อหลอมล้มเหลว ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมา
เซียวเฉินจับจ้องแก่นโลหิตของสัตว์ปิศาจในมือ
เซียวเฉิน เ้ากลัวแล้วหรือ? กลัวว่าจะล้มเหลว กลัวว่าจะตาย? เซียวเฉินถามตนเองในใจ จากนั้นยิ้มกล่าว “หากไม่มีแม้แต่ความกล้า ยังจะเอ่ยถึงเส้นทางของผู้เข้มแข็งได้หรือ?”
เซียวเฉินสูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นนำโลหิตแก่นชีวิตของวานรั์ค้ำยันฟ้าใส่ปาก
ตูม!
โลหิตแก่นชีวิตของวานรั์ค้ำยันฟ้าเพิ่งลงท้อง เซียวเฉินสีหน้าแปรเปลี่ยน เขารับรู้ได้ ในชั่วพริบตานั้น กลิ่นอายขุมหนึ่งพวยพุ่งรุนแรง วิ่งพล่านและพุ่งชนภายในร่างของเขา ต่อมา ความรู้สึกเ็ปที่กายเนื้อปริแตกแผ่ขยายภายในร่างของเขา
อารมณ์และเหตุผลของเซียวเฉินได้รับผลกระทบจากความดุร้ายของโลหิตแก่นชีวิตของวานรั์ค้ำยันฟ้า
ดวงตาสีดำใสกระจ่าง พริบตาก็เปลี่ยนเป็สีเื น่ากลัวอย่างประหลาด
ราวกับถูกวานรั์ค้ำยันฟ้าเปลี่ยนนิสัย ดวงตาสีแดงสดมีแววกระหายโลหิตจางๆ แต่กลับถูกเขาสะกดไว้อย่างสุดกำลัง เขาคาดไม่ถึงว่าแก่นโลหิตจะดุร้ายถึงเพียงนี้ เขาถูกกัดกร่อนในพริบตา แม้สะกดไว้อย่างสุดกำลังก็แทบจะสะกดไม่อยู่
“เป็พลังอันเผด็จการนัก...” เซียวเฉินกัดฟันยืนหยัด ถึงขนาดมุมปากมีโลหิตซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ในดวงตากระหายโลหิตของเขายังมีแววกระจ่างใสสามส่วนกำลังต่อสู้กับการเข่นฆ่า รักษาแนวป้องกันสุดท้ายไว้อย่างเหนียวแน่น
เนื่องจากเขารู้ว่าหากพ่ายแพ้คงกลายเป็หุ่นเชิดของวานรั์ค้ำยันฟ้า
นั่นคือมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย
“คิดจะรุกรานข้า...ไม่ง่ายดายขนาดนั้น!”
เซียวเฉินน้ำเสียงแหบแห้ง ทั่วร่างมีเหงื่อชุ่ม แต่แววตายังแน่วแน่ สิ้นเสียง ร่างปะทุเปลวเพลิงสูงร้อยเมตร อัคคีสีแดงม่วงพวยพุ่ง มีสะเก็ดไฟกระเด็นอย่างต่อเนื่อง ห่อหุ้มเซียวเฉินไว้ภายใน เผาไหม้และหล่อหลอมไม่หยุด
เปลวเพลิงทำให้เซียวเฉินสงบลงช้าๆ
มีเสียงหงส์ร้องและแผ่อานุภาพกดดันของสัตว์เทพ ร่างของเซียวเฉินสะท้าน
“หรือว่าแก่นโลหิตเกรงกลัวอานุภาพกดดันของสัตว์เทพ?”
ว่าแล้ว ดวงตาของเซียวเฉินก็มีประกายยิ้มแย้ม เวลานี้ ดวงตาของเขากลับคืนสู่ความแจ่มใส ไม่มีสีแดงเถือกอีก เซียวเฉินอาศัยอานุภาพกดดันของสัตว์เทพหงสาสะกดพลังดุร้ายในแก่นโลหิตของวานรั์ค้ำยันฟ้า ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ
วานรั์ค้ำยันฟ้าเป็สัตว์ปิศาจ ย่อมเกรงกลัวสัตว์เทพ ยิ่งกว่านั้นยังเป็วิหคเทพหงสาหนึ่งในสัตว์เทพระดับสูงสุด
ดังนั้น เซียวเฉินจึงรุดหน้าอย่างมีชัยไปตลอดทางภายใต้อานุภาพกดดันของหงสา ไม่ช้าก็ค่อยๆ ผสานแก่นโลหิตเข้าสู่ร่างกายของตนเอง
วิ้งวิ้ง!
ร่างของเซียวเฉินส่งเสียงวิ้งไม่ขาดสาย
ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลง ร่างที่ค่อนข้างผอมเปลี่ยนเป็ล่ำสัน ถึงขั้นมีเส้นกล้ามเนื้อชัดเจน ด้านกายเนื้อพัฒนาอย่างก้าวะโ แม้ดูแล้วไม่ถือว่าล่ำมากนัก แต่กลับให้ความรู้สึกเปี่ยมพลัง ราวกับผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นทั้งตัว เค้าหน้าหล่อเหลามีความแน่วแน่เพิ่มขึ้นหลายส่วน
ทำให้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนเดิมเติบโตเป็ผู้ใหญ่
ส่วนเปลวอัคคีศักดิ์สิทธิ์หงสาบนร่างของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังจากโลหิตแก่นชีวิตของวานรั์ค้ำยันฟ้าถูกหล่อหลอมจนหมด เซียวเฉินก็เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นเสวียนฟ้าสี่ชั้นฟ้า ความสามารถเพิ่มขึ้นแบบก้าวะโ เปลวอัคคีผสมสายฟ้าตัดสลับบนร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง
ร่างของเซียวเฉินมีเสียงปะทุไม่ขาดสาย เป็เสียงกระดูกและเส้นเอ็นเคลื่อนดังเพี๊ยะพะ
เซียวเฉินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็หัวเราะ
“ในที่สุด...ก็สำเร็จ...”
หลังจากนั้น เซียวเฉินก็เหนื่อยล้า เขานำสมุนไพริญญาจากแหวนเก็บของออกมาเคี้ยวเพื่อเสริมพลัง
แต่ในเวลานี้เอง เซียวเฉินพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน
มีกลิ่นอายน่าสะพรึงขุมหนึ่งส่งมาแต่ไกล ทำเอาเซียวเฉินสั่นสะท้าน กลิ่นอายน่ากลัวเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกขลาดเขลา ราวกับอยู่ใกล้ความตาย ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขามีสีหน้าน่าเกลียด และถึงขั้นมีเหงื่อซึมบนหน้าผาก
“เกิด...เกิดอะไรขึ้น?”