ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของจี้เจียงหยวนเต้นรัวเร็ว
การบันทึกภาพใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่เขากลับหาตัวอาจารย์หลินและศาสตราจารย์เฮ่อไม่เจอ
ขณะเดียวกันตอนนี้อาจารย์ทั้งสองท่านถูกเรียกตัวไปคุย เพื่อถามถึงความเป็ไปได้ของโอกาสที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะโกงข้อสอบ ตอนแรกอาจารย์หลินยังไม่ทันได้ตั้งตัว เธอถูกสวีกั๋วจางเรียกมาถามคำถามบางอย่าง อาจารย์หลินยังคิดอยู่เลยว่า อาจารย์สวีช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ก่อนเริ่มบันทึกภาพยังอยากทราบข้อมูลของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนอีกด้วย
แม้เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์หลิน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสวีกั๋วจาง อาจารย์หลินก็ไม่ได้แสดงออกเกินงาม เธอเพียงเอ่ยชมเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างอ้อมค้อม
บอกว่านักศึกษาคนนี้เป็คนอดทน มีพร์ทางด้านภาษาสูงมาก ถึงจะเป็เด็กจากชนบทแต่ก็สามารถสอบเกาเข่าของปีที่แล้วได้คะแนนเต็มในวิชาภาษาอังกฤษ
เื่นี้อยู่เหนือความคาดหมายของสวีกั๋วจาง แต่กรรมการอีกคนกลับคิดในแง่ร้าย
“เด็กจากชนบท เมื่อก่อนคงไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษอะไร แต่กลับสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนเต็มเช่นนี้ช่างหายากจริงๆ!”
ข้อมูลต่างๆ ของเซี่ยเสี่ยวหลานถูกส่งมาแล้ว
ศาสตราจารย์เฮ่อความรู้สึกไวกว่าอาจารย์หลิน เขารู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สวีกั๋วจางอ่านเอกสารของเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วก็รู้สึกผิดปกติเช่นกัน
เด็กคนนี้หลังเรียนจบมัธยมต้นก็พักการเรียนไปหลายปี ก่อนจะกลับเข้าเรียนอีกครั้งในปี 1983 โดยเข้าเรียนกลางคันที่โรงเรียนอันชิ่งเซี่ยนอีจง และเดือนกรกฎาคมของปี 1984 เธอก็สอบเกาเข่าได้คะแนนเป็ลำดับสามของประเทศ อีกทั้งยังได้คะแนนเต็มวิชาภาษาอังกฤษอีกด้วย!
ดูแบบนี้แล้ว ถือว่าเป็นักเรียนดีเด่นคนหนึ่งเลยทีเดียว
สวีกั๋วจางรู้ดีว่ากรรมการอีกคน้าสื่ออะไร คงกลัวว่าคะแนนเกาเข่าของเซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่โปร่งใสเช่นกันสินะ
การเรียนรู้ภาษาหนึ่งอย่างไรก็ต้องใช้เวลาและทรัพยากร แต่เด็กสาวจากชนบทที่พักการเรียนไปหลายปีอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานกลับได้คะแนนเต็มภาษาอังกฤษอย่างสบายๆ อย่างนั้นหรือ?
ความหมายของกรรมการคือ รองหัวหน้าหวังไม่เพียงแต่้าให้ทุกคน ‘ดูแล’ เซี่ยเสี่ยวหลานเป็พิเศษ ทว่าก่อนหน้านี้เขายังได้ทำผิดกฎระเบียบด้วยการแพร่งพรายข้อสอบเกาเข่าให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ล่วงหน้าอีกด้วย
สวีกั๋วจางจมอยู่กับความคิดไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “พวกคุณจำได้หรือไม่ว่าปีที่แล้วรองหัวหน้าหวังกลับมารับราชการใน่เดือนไหน”
คณะกรรมการของพวกเขาอยู่ใต้สังกัดฝ่ายอุดมศึกษาจึงค่อนข้างรู้เื่ราวภายในเป็อย่างดี
คนหนึ่งบอกว่าเดือนสิงหาคม อีกคนจำได้ว่าเป็เดือนกันยายน ทว่าการสอบเกาเข่าจัดขึ้นตอนเดือนกรกฎาคม!
รองหัวหน้าหวังที่ยังไม่ได้กลับมารับราชการ คงไม่สามารถได้รับข้อสอบเกาเข่าไปได้ แต่จะบอกว่าผลการสอบของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีปัญหาก็คงจะเป็ไปไม่ได้ เพียงโอกาสในการโกงข้อสอบนั้นมีน้อยมากนั่นเอง
ศาสตราจารย์เฮ่อเริ่มฟังออกถึงความผิดปกติ
“อาจารย์สวี คุณคงไม่ได้สงสัยว่านักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน...ไม่มีทาง นักศึกษาคนนี้มีพร์ทางภาษาสูงมาก และตั้งใจเรียนมากเช่นกัน ั้แ่รอบแรกจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ผมกับอาจารย์หลินเห็นการพัฒนาของเธอด้วยตาของตัวเอง!”
อาจารย์หลินเพิ่งรู้สึกตัว ในที่สุดเธอก็รู้สาเหตุที่สวีกั๋วจางเรียกเธอกับเหล่าเฮ่อมาที่นี่แล้ว
นั่นเป็เพราะพวกเขาสงสัยในตัวเซี่ยเสี่ยวหลาน!
“อาจารย์สวีคะ ระดับความสามารถของนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานก็เห็นๆ กันอยู่ เธอจะโกงได้อย่างไรกันคะ”
คนคนหนึ่งสามารถเสแสร้งได้เพียงชั่วขณะ แต่คงเสแสร้งไปตลอดชีวิตไม่ได้
อาจารย์หลินสอนเซี่ยเสี่ยวหลานมาหนึ่งภาคเรียนแล้ว ถ้าไม่สามารถวัดระดับภาษาอังกฤษของเซี่ยเสี่ยวหลานได้ ประสบการณ์การสอนหนังสือในหลายปีที่ผ่านมาของเธอก็คงสูญเปล่า ใช่แล้ว นักศึกษาจำนวน 200 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ระดับภาษาอังกฤษคงไม่ต่างกันมากนัก รวมถึงคะแนนสอบข้อเขียนก็คงจะไล่เลี่ยกัน ทว่าที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้อันดับ 17 เพราะระดับความสามารถของเธอ ในขณะเดียวกันก็เป็ผลมาจากเทคนิคการทำข้อสอบด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวหลิน อย่าเพิ่งใจร้อน พวกเราไม่มีทางปรักปรำเด็กคนหนึ่งอยู่แล้ว”
ทุกคนต่างก็เคยผ่านยุคสมัยแห่งความไม่สงบมาแล้ว การป้ายความผิดอย่างส่งเดชสามารถทำลายอนาคตของเด็กคนหนึ่งได้ ดังนั้นแม้กรรมการทั้งสามคนรวมถึงสวีกั๋วจาง หลังได้ฟังคำพูดของรองหัวหน้าหวังแล้วย่อมรู้สึกไม่พอใจกันทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธในตัวเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างสิ้นเชิง การที่พวกเขามาตรวจดูข้อสอบ ขอข้อมูลเพิ่มเติม เป็เพราะสงสัยในตัวเซี่ยเสี่ยวหลานจริง แต่ก็เป็การตรวจสอบเื่ราวอย่างถูกต้อง เป็การแสดงความรับผิดชอบที่มีต่อเซี่ยเสี่ยวหลานรวมถึงผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ด้วย
ตอนนี้สิ่งที่สืบหามาได้นั้นช่างน่าสนใจเหลือเกิน ศาสตราจารย์เฮ่อและอาจารย์หลินจากหัวชิงต่างก็ชื่นชมเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อย่างมาก ทั้งยังให้การยอมรับในทักษะภาษาอังกฤษของเซี่ยเสี่ยวหลาน และเชื่อว่าเธอไม่จำเป็ต้องใช้เส้นสาย
ผ่านการสอบข้อเขียนจนได้เป็ 20 คนสุดท้ายของประเทศแล้ว การคว้ารางวัลมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?
สวีกั๋วจางปิดเอกสารข้อมูลของเซี่ยเสี่ยวหลาน
“ความสามารถเป็อย่างไร ถ้าพวกเราสามคนยังช่วยกันวิเคราะห์ไม่ได้ ก็ควรลาออกจากงานกันให้หมด”
สวีกั๋วจางตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่สนใจคำพูดของรองหัวหน้าหวัง เพราะหากเขาวัดระดับความสามารถของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ เช่นนั้นเขายังจะเป็หัวหน้าคนอื่นได้อย่างไร!
“แต่ว่าถ้าเธอเห็นข้อสอบสำหรับการแข่งขันทักษะการพูดก่อนแล้วล่ะก็...”
สวีกั๋วจางไม่ตอบ
เื่นี้ไม่ยาก เดิมทีพวกเขาก็คือคนนออกข้อสอบทักษะการพูดอยู่แล้วนี่!
—--------------------------------------------------
“ถึงตอนนี้แล้ว เธอคงสอบทักษะการพูดอยู่สินะ”
วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งกับมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งตั้งอยู่ที่ถนนซีซานหวนเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองสถาบันอยู่ห่างกันไม่ถึง 3 กิโลเมตร เรียกได้ว่าอยู่บนถนนเส้นเดียวกันนั่นเอง
ครั้งก่อนเซี่ยจื่ออวี้ถูกไล่ออกมาจากบ้านตระกูลหวัง เป็เหตุให้เธอไม่ได้ไปที่นั่นหลายวันแล้ว สุดสัปดาห์เธอจึงนัดกับหวังเจี้ยนหัวในวิทยาลัย และเมื่อเซี่ยจื่ออวี้ไม่ไปบ้านตระกูลหวัง หวังเจี้ยนหัวเองจึงกลับบ้านน้อยลงทุกที
เซี่ยจื่ออวี้ออกจากบ้านหวังไปอย่างโมโห แม้หวังเจี้ยนหัวจะไม่ได้ตามไปง้อทันที แต่หลังเกิดเื่เขาก็พยายามขอโทษเธออยู่หลายครั้ง
เดิมทีหวังเจี้ยนหัวมีค่านิยมชายเป็ใหญ่ และปกติเซี่ยจื่ออวี้ต้องตามใจเขาอยู่เสมอ ดังนั้นการทำให้เขายอมก้มหัวให้ไม่ใช่เื่ง่ายเลยสักนิด แน่นอนว่าเซี่ยจื่ออวี้รู้ขอบเขตในเื่นี้ดี หลังจากเธอเห็นว่าหวังเจี้ยนหัวตั้งใจมาง้อขอคืนดีเช่นนี้เธอจึงยอมยกโทษให้
่ที่ผ่านมา หวังเจี้ยนหัวนั้นอ่อนโยนกับเธอมาก เซี่ยจื่ออวี้แค่ทำหน้ากลัดกลุ้ม หวังเจี้ยนหัวก็รีบปลอบทันทีว่า “ตอนนี้พวกเราอยู่กันสองคน จะพูดถึงเธออีกทำไม”
เซี่ยจื่ออวี้กัดริมฝีปาก “เมื่อก่อนฉันไม่เคยพูดร้ายกับเธอด้วยซ้ำ แต่พอคิดถึงมือของพ่อ คิดถึงการที่เธอได้คบหากับลูกชายตระกูลโจว ฉันก็รู้ทันทีว่าตอนนี้เธอไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทั้งร้ายกาจและเ้าเล่ห์... เจี้ยนหัว ตอนนี้เธออาจจะเปลี่ยนไป หรือไม่ก็อาจเป็พวกเราที่เมื่อก่อนดูเธอไม่ออก ฉันขอสารภาพว่าฉันกลัวเหลือเกินว่าเธอจะมาแก้แค้น!”
นี่อาจจะเป็โฉมหน้าที่แท้จริงของเซี่ยเสี่ยวหลาน เป็เพราะวิ่งชนเสา โฉมหน้านี้ถึงได้ะเิออกมา
เซี่ยจื่ออวี้เกลียดที่ตัวเองใจไม่เด็ดพอที่จะกำจัดความเสี่ยงให้สิ้นซากไปทันที เธอปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ และนั่นทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานได้มีโอกาสเหยียบย่ำเธอดั่งเช่นตอนนี้
“จื่ออวี้ ความจริงวันนั้นหลังเธอกลับไป ฉันสารภาพกับพ่อแม่แล้ว”
หวังเจี้ยนหัวไม่อยากทนเห็นเซี่ยจื่ออวี้รู้สึกวิตกกังวลอีก จื่ออวี้ควรมั่นใจในตัวเองและอ่อนโยนอยู่เสมอ เธอไม่ควรมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของเซี่ยเสี่ยวหลาน
เซี่ยจื่ออวี้ไหล่สั่น “ถ้าอย่างนั้นคุณอากับคุณน้าคงยิ่งเกลียดฉัน”
หวังเจี้ยนหัวข้ามเื่นี้ไปทันที “พ่อแม่ฉันคิดว่าจะปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ปักกิ่งต่อคงไม่เหมาะสักเท่าไร ถึงอย่างไรพวกเรากับตระกูลโจวก็อยู่ในวงสังคมเดียวกัน เวลาเจอหน้ากันคงรู้สึกอึดอัดแย่”
หวังก่วงผิงจะลงมือแล้วหรือ?
เซี่ยจื่ออวี้เริ่มตื่นเต้น นี่คือผลลัพธ์ที่เธอตั้งตารอมาโดยตลอด
หวังเจี้ยนหัวไม่ได้ลงรายละเอียด
เขาคิดว่าวิธีการของหวังก่วงผิงพ่อของเขานั้นไม่เป็ที่สะดุดตา แต่ก็สามารถสร้างความปั่นป่วนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะแผนการในครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่พวกเขาก็หาได้เป็ที่สนใจ ทว่าหากทำสำเร็จเซี่ยเสี่ยวหลานก็สมควรได้รับชะตากรรมเช่นนั้น แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่สามารถโทษตระกูลหวังได้อยู่ดี
หวังก่วงผิงไม่ได้เล่นงานเซี่ยเสี่ยวหลานซึ่งๆ หน้า แต่เขาใช้การ ‘ฝากฝัง’ กับผู้อื่น และการฝากฝังลักษณะนี้มีความหมายแฝง นี่นับว่าเป็าจิตวิทยา!
สวีกั๋วจางผู้ที่เป็หัวหน้าคณะกรรมการไม่เคยปล่อยให้มีเื่ผิดพลาดหลุดรอดสายตาไปได้ และแน่นอนว่าเขาย่อมรังเกียจเด็กที่ใช้เส้นสาย... โกงข้อสอบในการแข่งขันภาษาอังกฤษ เช่นนั้นการสอบเกาเข่าก็อาจจะโกงด้วยหรือเปล่า?
หากสร้าง ‘หลักฐาน’ บางอย่างขึ้นมา นั่นก็คงมากพอที่จะทำให้หัวชิงไล่เซี่ยเสี่ยวหลานออกได้
ตระกูลโจวเองก็คงไม่อยากได้ลูกสะใภ้ที่ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยหรอกใช่ไหม หากเป็เช่นนั้นจริงเซี่ยเสี่ยวหลานกับโจวเฉิงก็จำเป็ต้องเลิกรากัน และเซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่สามารถอยู่ที่ปักกิ่งอีกต่อไปได้ ดังนั้นมาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่นซะ!