การตายของโหยวเช่าหลงทำให้ชางจื่อเฟิงโกรธมาก
โหยวเช่าหลงเป็เสมือนแขนขาของชางจื่อเฟิง แต่เขากลับถูกฆ่าตายในตอนที่ออกหน้าให้ชางจื่อเฟิง เื่นี้เหมือนเป็การตบหน้าชางจื่อเฟิงอย่างแรง และชางจื่อเฟิงที่มีสถานะเป็ถึงองค์ชายแห่งอาณาจักรชางย่อมไม่สามารถอดทนได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ชางจื่อเฟิงคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวแล้ว ชายคนหนึ่งก็ะโออกมาทันที
นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนมากที่เริ่มจะแสดงท่าทางประจบประแจงชางจื่อเฟิง
“กระหม่อมจ้าวิรื่อถวายพระพรองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มที่ะโออกมาโค้งคำนับชางจื่อเฟิง “กระหม่อมมีฉายาว่ามือพันมีดซึ่งมีที่มาจากการเป็บุคคลที่ทรมานคนอื่นด้วยมีดนับพันเล่มโดยที่คนคนนั้นไม่ตายพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี!”
ดวงตาของชางจื่อเฟิงเป็ประกาย “เช่นนั้นเ้าก็ค่อยๆ แล่เนื้อพวกมันสี่คนออก ข้าจะรอดูว่าสุดท้ายแล้วพวกมันจะเปล่งเสียงออกมาหรือไม่”
“กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์ชายต้องผิดหวังอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวิรื่อพูดเสียงดัง
เขาพลิกข้อมือตัวเองขึ้นมา จากนั้นกริชแวววาวที่มีรูปทรงโค้งขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น
ภายใต้แสงแดดที่แผดเผา ไอความเย็นะเืได้คืบคลานเข้ามาปกคลุมพื้นที่แห่งนี้แล้ว
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ล้วนถูกธนูปักเข้าที่ร่างกายกันคนละดอกถึงสองดอก แต่พวกเขาก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสังหารโหยวเช่าหลง ตอนนี้พวกเขาไม่มีแรงหลงเหลืออยู่แล้ว นอกจากนี้จ้าวิรื่อก็ไม่ใช่เด็กแต่เขาเป็ชายหนุ่มที่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในขั้นสุดท้ายของระดับหยินหยางแล้ว แน่นอนว่าความแตกต่างทางพลังระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่ายย่อมมีมาก
ตอนนี้ใครๆ ก็สามารถสังหารขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ได้แล้ว
จ้าวิรื่อยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาลูบคมมีดที่อยู่ในมือของตัวเองเล่น “สถิติสูงที่สุดที่ข้าเคยทำได้คือข้าได้กรีดเนื้อของคนคนหนึ่งไปราวหนึ่งพันสามร้อยแผลแล้วคนคนนั้นถึงตายลง พวกเ้าทั้งสี่ต้องอดทนหน่อยนะ อดทนเพื่อให้ข้าสามารถทำลายสถิตินี้ได้”
ผู้คนที่ฟังอยู่หลายคนสั่นสะท้านเมื่อได้ยินประโยคนี้ของจ้าวิรื่อ
การโดนกรีดด้วยมีดนับพันกว่าครั้งแล้วยังไม่ตายนั้นคงให้ความรู้สึกดั่งการอยู่ไม่สู้ตายโดยแท้
สมาชิกนับสามร้อยคนในกลุ่มเต่าสุพรรณต่างพากันขมวดคิ้วกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเกลียดที่หลัวเลี่ยทำให้สำนักอูอวิ๋นเซียนต้องตกต่ำและอยากจะทำร้ายหลัวเลี่ยมากแค่ไหน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ช่างเป็การกระทำที่ไร้ยางอายและโหดร้ายเหลือเกิน ซึ่งเื่นี้อาจส่งผลทำให้ผู้คนคิดว่าการที่หลัวเลี่ยเข้าฌานไปฝึกฝนพลังนั้นจะทำให้ไก้อู๋ซวงตายในการต่อสู้นี้อีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปทางเกาอวิ๋นเหลิ่ง
เกาอวิ๋นเหลิ่งเป็ผู้รับผิดชอบเื่นี้ภายใต้คำสั่งของสำนักอูอวิ๋นเซียน
เกาอวิ๋นเหลิ่งมองไปยังขุนพลแห่งตระกูลโม่ทั้งสี่ที่นอนอยู่บนพื้น บอกตามตรง เกาอวิ๋นเหลิงอิจฉามาก ใช่แล้ว เขาอิจฉา
ตอนนี้เกาอวิ๋นเหลิ่งกำลังคิดว่า ถ้าเขาเป็หลัวเลี่ย จะมีใครยอมตายเพื่อเขาไหม
แม้ว่าเขาจะมีสถานะสูงส่งและถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมาย แต่เขาไม่เคยคิดถึงเื่การมีคนคนหนึ่งเต็มใจที่จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อเขามาก่อน อีกทั้งคนคนนั้นยังรู้ว่าการมาช่วยในครั้งนี้อาจจะทำให้ตายได้ แต่คนคนนั้นก็ยังมา ดังนั้นเขาจึงอิจฉา
“พอแล้ว!”
น้ำเสียงที่เ็าดังขึ้นขัดความคิดของเกาอวิ๋นเหลิ่ง
มีคนเดินแหวกออกมาจากฝูงชนด้วยใบหน้าเ็าแล้วะโใส่หน้าจ้าวิรื่อว่า “ไป!”
“เ้าเป็ใคร ไม่รู้หรือว่าองค์ชาย...” จ้าวิรื่อะโ
ชายคนนั้นพูดอย่างเ็าว่า “ข้าบอกว่า ไป!”
พลังจากคลื่นเสียงที่มองไม่เห็นทำให้จ้าวิรื่อลอยขึ้นไปในอากาศและตกลงบนพื้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มเต่าสุพรรณในทันที
ชิ้ง!
สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มเต่าสุพรรณหยิบกระบี่ขึ้นมาฟันในทันที
จากนั้นร่างของจ้าวิรื่อก็ถูกแบ่งออกเป็สองส่วน
ครั้งนี้ชางจื่อเฟิงโกรธยิ่งกว่าเดิม เขารู้ว่าจริงๆ แล้วกลุ่มเต่าสุพรรณไม่จำเป็ที่จะต้องฆ่าจ้าวิรื่อเลย จ้าวิรื่อแค่ลอยกระเด็นไปทางนั้น แต่กลุ่มเต่าสุพรรณก็ยังลงมือฆ่าจ้าวิรื่อ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารังเกียจการตอบโต้เช่นนี้
แต่ชางจื่อเฟิงก็ไม่กล้ามีปัญหากับกลุ่มเต่าสุพรรณเช่นกัน เพราะกลุ่มเต่าสุพรรณเป็คนของสำนักอูอวิ๋นเซียน
จากนั้นชางจื่อเฟิงก็หันไประบายความโกรธใส่คนที่กล่าวส่งเสริมให้ส่งจ้าวิรื่อออกไปแทน “หลงนู่ เ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
หลงนู่คือชายหนุ่มผู้ฝึกวรยุทธ์ฝีมือดีที่เคยต่อสู้กับหลัวเลี่ยตอนที่หลัวเลี่ยอยู่ในฐานะ “ผู้มีัอยู่ในเป้า” ในลานประลองัแห่งภพจิตั เขาก็มาชมการต่อสู้ระหว่างหลัวเลี่ยกับไก้อู๋ซวงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
“ข้าไม่ได้คิดอะไร” หลงนู่พูดอย่างเฉยเมย “พวกเขาทั้งสี่คนทำให้ข้ารู้ว่าการเป็คนต้องมีมิตรภาพแห่งเพื่อน!”
“หึ! เ้าอย่าได้พูดถึงมิตรภาพต่อหน้าข้า ครั้งนี้ข้าจะฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน” เจตนาสังหารอย่างแน่วแน่ที่ส่งออกมาจากชางจื่อเฟิงนั้นน่ากลัวมาก
หลงนู่ไม่ตอบกลับ เขากลับหลังหันและยืนขวางอยู่ด้านหน้าขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่
หลงนู่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขา้าช่วยขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ซึ่งทำให้ชางจื่อเฟิงสับสนมาก
ชางจื่อเฟิงเอ่ยเสียงเย็นว่า “เ้าหยุดข้าไม่ได้หรอก!”
ผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งของชางจื่อเฟิงที่มาจากอาณาจักรชางรีบแสดงตัวออกมาอย่างรวดเร็วและยืนอยู่ข้างหลังชางจื่อเฟิงเพื่อพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ
“หากรวมข้าด้วยเล่า”
เหลยเจิ้นจื่อเดินออกมาช้าๆ และหยุดยืนอยู่เคียงข้างหลงนู่
มีคนบางคนจากอาณาจักรโจวที่ไม่อยากให้เหลยเจิ้นจื่อออกหน้า แต่เหลยเจิ้นจื่อก็ออกหน้าไปแล้ว และพวกเขาก็ทำได้เพียงยืนหยัดร่วมกับเหลยเจิ้นจื่อเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ตามเหลยเจิ้นจื่อก็ดำรงตำแหน่งเป็ถึงองค์ชาย นอกจากนี้ยังเป็องค์ชายที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโจวให้ความสำคัญพระองค์หนึ่งอีกด้วย
กำลังของทั้งสองอาณาจักรเทียบเคียงกัน นอกจากนี้ยังมีหลงนู่ที่คอยกดดันชางจื่อเฟิง ทำให้ชางจื่อเฟิงขบกรามด้วยความเกลียดชังในทันที เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดอย่างขมขื่นว่า “เหลยเจิ้นจื่อ เ้าหมายความว่าอย่างไร”
“พวกเขามีมิตรภาพระหว่างเพื่อน” เหลยเจิ้นจื่อกล่าวเบาๆ
“เ้า ฮึ่ม!”
แม้ว่าชางจื่อเฟิงจะเกลียดมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจลงมือได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงเพื่อสื่อถึงความกรุ่นโกรธที่อยู่ภายในจิตใจ
เหลยเจิ้นจื่อกวักมือเรียกนักเวทสองคนของเขาให้เข้ามารักษาขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่
ในวันต่อมาขณะที่หลัวเลี่ยกำลังเข้าฌานอยู่นั้น สถานการณ์ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบเช่นกัน
สองวันต่อมา หลงเยียนหรันองค์หญิงสามแห่งเผ่าัพร้อมด้วยนายพลทั้งสี่ก็ได้มาปรากฏตัวที่เมืองหลวงแห่งแคว้นเหยียนหลง
และในวันถัดมาสาวงามที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดในแปดร้อยแคว้นก็ได้มาปรากฏตัวที่นี่อีกเช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ดึงดูดชายหนุ่มนับไม่ถ้วนและดึงดูดผู้คนจำนวนมาก
ซึ่งสามสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้ก็คือหลิวหงเหยียน เทพีสายน้ำ เย่เิหลงเทพีจันทรา และจัวชิงหยิ๋งเทพีน้ำแข็ง
นอกจากนี้ยังมีเสวี่ยปิงหนิงอีกคนที่มีความงามไม่ด้อยกว่าพวกนางทั้งสามก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย
การปรากฏตัวของพวกนางทำให้ชางจื่อเฟิงองค์ชายแห่งอาณาจักรชางและเหลยเจิ้นจื่อองค์ชายแห่งอาณาจักรโจวถูกดึงให้ออกมาอยู่ข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับพวกนาง
พลังแห่งความเป็สาวงามนั้นยิ่งใหญ่มาก
สาวงามทั้งสี่แบ่งออกเป็สองกลุ่ม
เย่เิหลงเทพีจันทราและจัวชิงหยิ๋งเทพีน้ำแข็งอยู่กลุ่มเดียวกัน ทั้งสองดูงดงามราวกับเทพเซียน พวกนางยืนอย่างสง่างามอยู่บนต้นไม้โบราณที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งทางตอนเหนือของจัตุรัสเหยียนหลง
หลิวหงเหยียนและเสว่ยปิงหนิงยืนอยู่ในห้องแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจัตุรัสเหยียนหลง
หน้าต่างในห้องเปิดออก
หญิงสาวสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีแดงอีกคนหนึ่งสวมชุดสีขาว คนหนึ่งดั่งไฟและอีกคนหนึ่งดั่งหิมะ ภาพลักษณ์ของพวกนางทำให้คนที่มองดูพวกนางอยู่รับรู้ได้ถึงความดุดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนต่างตระหนักขึ้นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางกับหลัวเลี่ยนั้นแน่นแฟ้นมาก
ไม่ว่าจะเป็การปรากฏกายของหลงเยียนหรัน หรือการปรากฏกายสาวงามทั้งสี่ ก็ไม่อาจเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนไปจากเหตุการณ์ที่หลัวเลี่ยตื่นขึ้นจากการเข้าฌานก่อนที่ไก้อู๋ซวงจะกำเนิดขึ้นอีกครั้งในสามวันได้
เดิมทีพลังวรยุทธ์ของหลัวเลี่ยก็มาถึงจุดสูงสุดในขั้นต้นของระดับหยินหยางแล้ว ตอนแรกหลัวเลี่ยอยากเข้าฌานเพื่อทะลวงพลังไปขั้นต่อในครั้งเดียว แต่ในภายหลังเขาก็ถูกบีบบังคับให้ออกจากการเข้าฌานก่อนเวลาที่กำหนดไว้ ทว่าครั้งนี้การเข้าฌานฝึกฝนพลังในม่านหมอกก็ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเหมือนตอนที่เขาฝึกฝนในระฆังจันทราก่อนหน้านี้เช่นกัน
กลางดึกคืนนี้ดวงจันทร์และดวงดาวสว่างไสวพร่างพรายอยู่บนท้องนภา ทุกสิ่งเงียบสงัด
แต่ที่จัตุรัสเหยียนหลงยังคงมีไอพลังเยือกเย็นแผ่กระจายอยู่เล็กน้อย
มีเพียงคนจากกลุ่มเต่าสุพรรณเท่านั้นที่อยู่ปกป้องสถานที่แห่งนี้
ทันใดนั้นในขณะที่หลัวเลี่ยกำลังฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงพลังภายในร่างกายของตนเองอย่างรุนแรง พลังของเขาไหลเวียนหมุนวนปรับเปลี่ยนจากหยินกลายเป็หยาง นอกจากนี้พลังภายในของเขายังว่ายออกมาจากจุดตันเถียนของเขา พลังวรยุทธ์สายหนึ่งไหลผ่านเส้นลมปราณทางด้านซ้ายของร่างกายและอีกเส้นหนึ่งไหลผ่านเส้นลมปราณทางด้านขวาของร่างกาย
ผ่านไปได้สักพักร่างกายบริเวณด้านซ้ายของหลัวเลี่ยก็ร้อนเหมือนตัวเขากำลังจะถูกย่าง
ส่วนร่างกายบริเวณด้านขวาของเขาก็เย็นราวกับว่าเขาไปคลุกคลีอยู่กับน้ำแข็งมา
ตอนนี้ร่างกายของเขารู้สึกถึงความร้อนสลับกับความเย็น และถ้าเมื่อทั้งความร้อนและความเย็นมารวมกัน ร่างกายของหลัวเลี่ยก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม
เมื่อความร้อนและความเย็นมารวมกันที่ศีรษะของหลัวเลี่ย มันก็เหมือนกับจุดประกายความคิดทางหยินและหยางในทันที ทำให้ทั้งร่างกายของหลัวเลี่ยรู้สึกสบาย ระหว่างคิ้ว ความร้อนและความเย็นรวมกันเป็พลังมหาศาลซึ่งพุ่งตรงไปที่จุดตันเถียน
ตูม!
การทลายระดับขั้นพลังวรยุทธ์เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ตอนนี้หลัวเลี่ยมีพลังวรยุทธ์อยู่ในขั้นกลางของระดับหยินหยางแล้ว