“เป็อย่างไร ไม่เลวใช่หรือไม่” ิเถี่ยจู้ย่อตัวลง แล้วใช้นิ้วเขี่ยใบหน้าของิเป่าจูให้อีกฝ่ายดู
เหล่าซื่อผงกศีรษะ ก่อนล้วงเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนออกไป
ิเถี่ยจู้รีบรับไว้ เมื่อเห็นเงินสองตำลึงเต็มๆ ซึ่งสูงกว่าราคาที่ตั้งไว้เมื่อครู่ ก็ยิ้มไม่หุบ
เงินมาถึงมือแล้ว ิเถี่ยจู้ก็ไม่สนใจความเป็ความตายของิเป่าจูอีกต่อไป วางแผนจะไปหาความสำราญที่หอชุยเซียงซึ่งมีชื่อเสียงในเมืองนี้
ใกล้ค่ำแล้ว หลี่ไหวฺอวี้กับิเป่าอวี้ไม่เห็นิเป่าจูกลับมาเสียที
หลี่ไหวฺอวี้ให้ิเป่าอวี้อยู่เฝ้าบ้าน ส่วนตนเองก็เข้าไปตามหาในเมือง
ถนนเข้าเมืองมีเพียงสายเดียว ระหว่างทางบังเอิญพบิเถี่ยจู้เดินเมามายกลับมาด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง เดิมทีไม่คิดจะใส่ใจ แต่ชั่วขณะที่เดินผ่านก็ได้ยินอีกฝ่ายพึมพำบางอย่างออกจากปาก จึงหยุดฝีเท้าในทันที
“น้องชาย น้องชายแสนประเสริฐของข้า เ้าเก่งกาจนักมิใช่หรือ หืม? ถ้ามีปัญญาเ้าก็ไปปกป้องบุตรสาวของเ้าเดี๋ยวนี้เลยสิ ฮ่าๆๆ” ิเถี่ยจู้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่สังเกตเห็นดวงตาแดงก่ำปานจะสูบเืกินเนื้อของคนข้างกายสักนิด
หลี่ไหวฺอวี้คว้าข้อมือของิเถี่ยจู้ ใช้นิ้วโป้งกดไปที่จุดสำคัญแล้วบิดแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะจับเขาลงไปนอนคว่ำกับพื้นแล้วใช้หัวเข่ากดไว้
“เ้าเห็นิเป่าจูหรือไม่” น้ำเสียงเย็นะเืราวกับมารร้ายที่ลงมายังโลกมนุษย์
“โอ้ เ้ารู้เื่แล้วรึ ฮ่าๆ พี่ชายอย่างข้ารำลึกในความสัมพันธ์ทางสายเื หางานที่ดีให้บุตรสาวของเ้า ไม่มีทางถูกกระทำทารุณ เ้ายังไม่รีบขอบคุณข้าอีกรึ”
ใบหน้าของิเถี่ยจู้แนบอยู่บนพื้น เขาพยายามเอี้ยวศีรษะหันมามอง ทว่าเบื้องหน้าสายตามีแต่เงามืดสลัว จึงนึกว่าหลี่ไหวฺอวี้เป็บิดาของิเป่าจู
“คนอยู่ที่ใดกันแน่”
หลี่ไหวฺอวี้ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ไม่แจ้งชัด แต่ก็พอจับใจความโดยรวมได้ ต้องเกิดเื่บางอย่างกับิเป่าจูเป็แน่ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำ มือยิ่งบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊าก!”
ิเถี่ยจู้ร้องลั่น ความเ็ปทำให้เขาได้สติขึ้นมาบ้าง รู้แล้วว่าคนที่กดหลังตนเองอยู่คือผู้ใด
“ขะ...ข้าขายนางให้กับตลาดมืดที่ถนนเหนือในเมืองไปแล้ว โอ๊ย!”
ฝ่ามือประดุจเหล็กกระชากศีรษะ ตามมาด้วยการเตะซ้ำอีกสองครั้ง จนิเถี่ยจู้ตัวงอ ไม่มีแม้แต่กำลังจะร้องขอความเมตตา
หลังจากได้สติกลับมาอีกครั้ง หลี่ไหวฺอวี้ก็หายไปนานแล้ว ิเถี่ยจู้ข่มความเ็ปแล้วค่อยๆ คลานกลับบ้านไป
หลี่ไหวฺอวี้เร่งฝีเท้าด้วยความร้อนใจ ไม่นานนักก็มาถึงถนนเหนือ แต่กลับไม่เห็นคนตั้งแผงลอยแม้แต่แผงเดียว
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ตลาดมืดมีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือไม่ทำการค้ายามวิกาล พอถึงยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ เหล่าพ่อค้าทาสต่างก็เก็บข้าวของกลับบ้านกันไปหมดแล้ว
ขณะที่กำลังจนปัญญาว่าจะเริ่มลงมือจากที่ใด หลี่ไหวฺอวี้ก็ต้องสะดุ้งใเพราะเสียงเคลื่อนไหวจากมุมกำแพง
เป็ขอทานมอมแมมคนหนึ่งกำลังหยิบขนมเปี๊ยะเหลือทิ้งที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินยัดใส่ปากทีละน้อยๆ
“เ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่นี่พักอาศัยอยู่ที่ใด” หลี่ไหวฺอวี้มองเหยียดจากที่สูงไปยังขอทานผู้นั้น เขาไม่เคยแสดงอำนาจดุดันเช่นนี้ในบ้านของิเป่าจูมาก่อน
ขอทานพยักหน้า แล้วส่ายหน้าทันที ก่อนจะเก็บของเหลือบนพื้นขึ้นมากินต่อ
“ถ้าเ้าบอกข้า ของสิ่งนี้จะเป็ของเ้า”
หลี่ไหวฺอวี้ล้วงจี้ประดับชิ้นหนึ่งออกมาจากคอเสื้อ ที่ปลายเชือกสีแดงมีหยกเลี่ยมทองอย่างดีชิ้นหนึ่ง
แม้ว่าขอทานจะไม่รู้จักของประเภทหยก แต่ก็รู้ว่าต้องเป็ของมีราคา เขาลุกขึ้นเข้าไปกระชากมันมาจากคอของหลี่ไหวฺอวี้ พลางจดจ้องจี้หยกชิ้นนั้นด้วยสายตาวาวโรจน์
หลี่ไหวฺอวี้ไม่หลบเลี่ยง “ตอนนี้จะพาข้าไปได้หรือยัง”
ขอทานพาหลี่ไหวฺอวี้ไปทีละบ้าน ขณะที่หลี่ไหวฺอวี้ะโขึ้นไปบนหลังคาเพื่อสำรวจสภาพภายในบ้าน เขาก็ยืนรอรับลมอยู่ข้างนอกอย่างเชื่อฟัง ไม่ฉวยโอกาสหลบหนี นับว่าเป็คนที่รักษาสัญญาคนหนึ่ง
จนกระทั่งมาถึงหลังที่ห้า ในที่สุดหลี่ไหวฺอวี้ก็พบเบาะแส เรือนหลังเล็กมาก แต่กลับมีลานสวนกว้างใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยกรงเหล็กขนาดใหญ่มากมาย หลี่ไหวฺอวี้มองปราดเดียวก็เห็นิเป่าจูถูกขังอยู่ในนั้น
เขายืนอยู่บนหลังคาโบกมือให้กับขอทาน บอกเป็นัยให้เขาไปได้แล้ว ก่อนจะพลิกตัวะโเข้าไปในลานด้านในอย่างคล่องแคล่วและไร้สุ้มเสียง
ิเป่าจูตื่นขึ้นมาได้สักพักแล้ว ด้วยเพราะสูดกลิ่นเหม็นที่โชยมาปะทะจมูก ตอนนั้นนางยังอยู่ในตลาดมืด แต่มิได้ลืมตาขึ้น เพียงแค่หรี่ตาเล็กน้อยสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ
หลังจากตระหนักได้ถึงสถานการณ์ของตนเองแล้ว ก็แกล้งหลับตาหมดสติต่อไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด กรงเหล็กก็เริ่มโคลงเคลงไปมา เสียงดังจอแจรอบด้านค่อยๆ เงียบลง ดูเหมือนว่าตนเองจะถูกหามเข้ามาในเรือนหลังหนึ่ง
จนกระทั่งรอบด้านไร้สุ้มเสียงแล้วโดยสิ้นเชิง ถึงกล้าลืมตาขึ้น
ด้านข้างก็เป็กรงเหล็กเหมือนกับนาง ในนั้นยังมีคนถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน มีทั้งชายหญิง ทั้งหมดต่างหลับอยู่
มีเสียงหัวเราะดังมาจากในเรือน เห็นเงาสะท้อนของเหล่าบุรุษกำลังร่ำสุรากันอยู่
ิเป่าจูพยายามจะปลดโซ่ตรวน แต่ทดลองมาครึ่งวันก็ไร้ประโยชน์
ทันใดนั้นมีคนะโลงมาจากหลังคาอย่างเงียบเชียบ ิเป่าจูใจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอเห็นผู้มา ขอบตาเ้ากรรมของนางก็เริ่มแดงรื้น
“ท่านมาได้อย่างไร” อันที่จริงนางอยากถามว่าเขาหานางพบได้อย่างไรมากกว่า
“ไม่เป็ไรแล้ว ข้าจะพาเ้าออกไป”
หลี่ไหวฺอวี้มองไปโดยรอบ ไม่รู้ว่าไปหาเหล็กเส้นหนึ่งมาจากที่ใด ิเป่าจูเห็นเขาสอดเหล็กเส้นเข้าไปในแม่กุญแจ ขยับเพียงเล็กน้อยก็สะเดาะแม่กุญแจได้อย่างง่ายดาย
“ว้าย ผีหลอก”
ขณะที่หลี่ไหวฺอวี้พยุงิเป่าจูเดินออกมา คิดจะะโขึ้นไปบนหลังคา ก็ไม่รู้ว่ามีเสียงกรีดร้องออกมาจากกรงใด ทำให้ทุกคนในเรือนตื่นตระหนก เพียงชั่วพริบตาบุรุษพร้อมอาวุธครบมือสี่ห้าคนก็วิ่งออกมาจากข้างใน
หลี่ไหวฺอวี้ผลักิเป่าจูไปอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยก่อน แล้วเข้ามารับมือกับคนเ่าั้
ิเป่าจูรู้ว่าเขาเป็วรยุทธ์ แต่วันนี้เขามามือเปล่า ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งมีดดาบครบมือ จึงอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล
แต่หลี่ไหวฺอวี้คล่องแคล่วปราดเปรียว เขาชิงมีดเล่มใหญ่มาจากหนึ่งในนั้น เมื่อในมือมีอาวุธ การต่อสู้ก็ยิ่งช่ำชอง
คนเ่าั้ดูเหมือนจะกำยำล่ำสัน แต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนฝึกยุทธ์เช่นหลี่ไหวฺอวี้ เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็พ่ายแพ้นอนเจ็บระเนระนาดบนพื้น
“ไปกันเถอะ” หลี่ไหวฺอวี้โยนมีดทิ้ง แล้วเดินเข้าไปจูงมือิเป่าจูจะพานางไป
“ช้าก่อน”
ิเป่าจูเดินเข้าไปกลางกลุ่มของชายร่างใหญ่บนพื้นอย่างอาจหาญ แล้วคลำไปที่เอวของพวกเขาก่อนดึงพวงกุญแจออกมา หลังจากนั้นก็เปิดกรงทีละกรง ปล่อยคนที่ถูกลักพาตัวมาขายเ่าั้ออกไป
หลังจากคนไปกันหมดแล้ว นางก็ยังคงไม่ไป หลี่ไหวฺอวี้จึงถามว่า “เ้าคิดจะทำอะไรอีก”
ิเป่าจูทอยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด แต่หลี่ไหวฺอวี้กลับรู้สึกเย็นวาบอย่างบอกไม่ถูก
วันรุ่งขึ้น
มีรถเข็นคันหนึ่งปรากฏอยู่หน้าที่ว่าการอำเภอ บนนั้นมีชายฉกรรจ์หลายคนซ้อนทับกันอยู่
ทั้งหมดถูกจับมัดไพล่หลังด้วยเงื่อนห้าบุปผา [1] ที่หน้าอกมีแผ่นไม้แขวนคอไว้้าเขียนว่าข้าผู้นี้คือพ่อค้าทาส มักก่อกรรมทำเข็ญเป็เนืองนิจ ความผิดบาปยากจะให้อภัย ขอวอนใต้เท้านายอำเภอโปรดลงทัณฑ์
การมีอยู่ของคนเหล่านี้นายอำเภอย่อมรู้ แต่ปกติแล้วคนเลวทรามต่ำช้าเหล่านี้จะไปรวมตัวกันที่ถนนเหนือ ไม่มีใครกล้าไปก่อกวน จึงต้องลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด
บัดนี้มีคนส่งพวกเขามาถึงที่ว่าการ เื่ดีที่ช่วยเพิ่มคะแนนนิยมในการบริหารเช่นนี้ นายอำเภอจะไม่รับได้อย่างไร
ทั้งหมดถูกส่งเข้าคุก รอรับโทษตัดศีรษะหลังฤดูใบไม้ร่วงตามกฎหมาย
ทันทีที่มีข่าวแพร่ออกมา ชาวบ้านต่างก็ล่ำลือถึงจอมยุทธ์ไร้นามที่ออกหน้าเพื่อผดุงคุณธรรม ลงโทษคนชั่วส่งเสริมความดี
มีนิทานเื่เล่าขานมากมายที่อ้างอิงจากเื่นี้ แม้แต่พ่อค้าทาสคนอื่นๆ ที่ถนนเหนือต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมไปอีกยาวนาน
ส่วนิเป่าจูพอได้ยินว่าเื่ราวของพวกเขาสองคนถูกคนนำไปแต่งเป็เื่ราวลึกลับมหัศจรรย์ ก็ไปเล่าเื่ตลกขบขันนี้ให้หลี่ไหวฺอวี้ฟัง
เชิงอรรถ
[1] เงื่อนห้าบุปผา เป็วิธีการมัดคนแบบหนึ่ง โดยคล้องเชือกรอบคอรั้งไปด้านหลัง แล้วนำส่วนที่เหลือพันแขนทั้งสองข้างรวมถึงข้อมือที่ไพล่หลังไว้ ทำให้ผู้ถูกมักขยับตัวได้ยาก
