ถึงแม้โลกมายาจะวุ่นวาย แต่โรงจวี้ฉ่างก็ยังไม่เคยมีใครกล้าบุกเข้ามาแบบนี้เคยมีคนพูดเอาไว้ว่า เมื่อโรงจวี้ฉ่างเปิดประตูจะต้อนรับคนจากทั่วสารทิศ แต่เมื่อปิดประตูแล้วแม้แต่แมลงเล็กๆ ก็ไม่อาจเข้ามาได้ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่บุกเข้ามา แต่ยังพังประตูจนแหลกเป็เสี่ยงๆ อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็ใครเมื่อพังประตูเข้ามาเช่นนี้ย่อมไม่ได้รับการต้อนรับในฐานะแขกแน่นอน
ถึงแม้จะมีผ้าบาง ๆ ปิดบังอยู่แต่อันเจิงก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบบนใบหน้าของจวงเฟยเฟย
คนเฝ้าประตูสองคนของโรงจวี้ฉ่างกำลังนอนครวญครางอยู่บนพื้นอย่างเ็ปแขนและขาของพวกเขาถูกหักจนบิดเบี้ยวไปหมด คนผู้นี้ช่างโหดร้ายจริง ๆถึงได้ลงมือทำร้ายคนเฝ้าประตูอย่างทารุณเช่นนี้
อันเจิงหันไปมองตามเสียงผู้มาใหม่คนที่เข้ามาเป็ชายหนุ่มที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า ส่วนสูงราวหนึ่งร้อยเก้าสิบเิเร่างกายบึกบึนดั่งเสือแลดูน่าเกรงขาม เขาสวมเสื้อคลุมที่ทำมาจากหนังสัตว์ด้านในเป็เสื้อที่ทำมาจากผ้าเนื้อหยาบ ่ล่างสวมกางเกงผ้าฝ้ายตัวใหญ่ ในมือซ้ายหิ้วกระเป๋าใบใหญ่มาด้วยแต่ดูเหมือนกระเป๋าจะแบนเรียบมาก น่าจะมีสิ่งของคล้ายโล่บรรจุอยู่ภายในส่วนมือขวาถือสามง่ามที่เปล่งประกายคมเฉียบออกมา
ด้านหลังของชายคนนี้ ยังมีชายหนุ่มร่างกำยำที่แต่งกายคล้ายกันเดินตามมาอีกสิบกว่าคนอาวุธของพวกเขาก็เป็สามง่ามเช่นเดียวกัน แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือในกลุ่มคนเหล่านี้มีเด็กสาวหน้าตาสะสวยรวมอยู่ด้วยดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะมีอายุเพียงสิบสองถึงสิบสามปีเท่านั้น
“คนของเผ่ากู่เลี่ยรึ?”จวงเฟยเฟยขมวดคิ้วแล้วถามไปหนึ่งประโยค
ชายหนุ่มที่บุกเข้ามาคนแรกพยักหน้า “ใช่! พวกข้าได้ยินมาว่าพวกเ้ามีการประเมินสมบัติวิเศษในวันนี้จึงอยากมาดูว่าเป็สมบัติวิเศษอะไร ล้ำค่าเท่าสมบัติวิเศษในมือข้าได้หรือไม่”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากอาจมีการปะทะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแต่ไม่มีใครในที่นี้โง่ถึงขนาดออกตัวแทนโรงจวี้ฉ่างหรอกนะเพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าในโรงจวี้ฉ่างมียอดฝีมือมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนี้ยังเป็คนจากเผ่ากู่เลี่ย จึงไม่มีใครอยากเข้าไปมีเื่ด้วย
เกาซานตัวกดเสียงลงต่ำแล้วพูดข้างหูอันเจิง“ชนเผ่ากู่เลี่ยเป็ชนเผ่าเก่าแก่ที่อยู่บนเทือกเขาชางหมาน ใน่รุ่งโรจน์ที่สุดชนเผ่านี้มีประชากรหลายล้านคน และมีทหารหลักแสนคนเลยทีเดียว แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนเพราะเข้าไปยุ่งกับาของเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นอย่างไม่เจียมตัว ชนเผ่ากู่เลี่ยจึงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงคนในเผ่าที่เหลือจึงอพยพลึกเข้าไปในเทือกเขาชางหมาน ปัจจุบันจึงมีน้อยครั้งเท่านั้นที่จะได้พบกับคนในชนเผ่านี้พวกเขามีนิสัยดิบเถื่อน ไม่มีกฎหมายควบคุม ดังนั้นพวกเขาอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรงจวี้ฉ่างคือที่ใดกันแน่”
ชายหนุ่มร่างกำยำพูดขึ้นเสียงดัง “ข้าชื่อกู่หมานเดิมทีอยากจะเข้ามาแลกเปลี่ยนสมบัติวิเศษด้วยมารยาทแต่คนเฝ้าประตูของพวกเ้าไม่ยอมให้ข้าเข้ามา ข้าจึงจำต้องพังเข้ามาเอง”
ปัง! เขากระแทกสามง่ามในมือจากนั้นก็นำถุงบางอย่างออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนลงบนพื้น “พวกข้าชนเผ่ากู่เลี่ยมีเหตุผลในเมื่อทำร้ายคนจนาเ็ก็ต้องชดใช้เม็ดทองในถุงนี้ก็ถือเป็ค่ารักษาของคนเฝ้าประตูสองคนนั้นก็แล้วกัน”
จวงเฟยเฟยไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี เดิมทีนางอยากจะลงมือฆ่าพวกนั้นทิ้งซะแต่หลังจากได้ยินเขาพูดว่ามาแลกเปลี่ยนของ ความคิดของนางก็เปลี่ยนไปทันที
“ทำร้ายคนของข้า ทั้งยังพังประตูโรงจวี้ฉ่างของข้าอีกคิดจะจบเื่ด้วยเม็ดทองแค่ถุงเดียวงั้นรึ?”
จวงเฟยเฟยหัวเราะเสียงเย็น “จริงอยู่ที่คนกู่เลี่ยมีนิสัยป่าเถื่อนแต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเ้าจะมาทำร้ายคนอื่นอย่างนี้ ฉะนั้นไม่ว่าพวกเ้ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร นั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้วที่สำคัญคือวันนี้พวกเ้าจะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีก”
กู่หมานหันไปมองหญิงสาว จากนั้นก็พูดขึ้น“เช่นนั้นเ้าบอกมาสิว่าข้าควรทำอย่างไร ในเมื่อคนของเ้าไม่ให้ข้าเข้ามาแต่ข้าจำเป็ต้องเข้ามาให้ได้”
อันเจิงดูออกว่าจวงเฟยเฟยเพียงแค่้าต่อรองเท่านั้น เขามองไปรอบด้านตอนนี้ยอดฝีมือในโรงจวี้ฉ่างได้ล้อมเข้ามาแล้ว และพร้อมจะลงมือทุกเมื่อเลยด้วย
“ในเมื่อเ้าบอกว่ามีเหตุผลที่จะต้องเข้ามาให้ได้เช่นนั้นก็ลองพูดออกมาสิ”
อันเจิงลุกขึ้นยืนจากนั้นก็หันไปมองกู่หมานแล้วพูดขึ้น “ที่โรงจวี้ฉ่างสามารถเปิดกิจการใหญ่โตได้ขนาดนี้เพราะพวกเขามีความซื่อสัตย์และคุณธรรม หากพวกเ้ามีเหตุผลที่ต้องเข้ามาให้ได้ก็พูดออกมาให้แม่นางจวงตัดสินว่าเหตุผลที่เ้ามีเพียงพอต่อการเสียมารยาทในครั้งนี้หรือไม่”
กู่หมานกวาดตามองไปที่อันเจิง “เ้าเป็ใคร”
“ลูกค้าคนหนึ่ง”
“กู่หมานเอาให้เขาดู”
ในเวลานี้เอง เด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นอย่างกะทันหันคำนี้ทำให้ความสนใจของอันเจิงเปลี่ยนไปที่เด็กสาวคนนั้นทันที เดิมทีอันเจิงคิดว่านางคือบุตรสาวของกู่หมานแต่คำพูดเมื่อครู่คล้ายเป็คำสั่งเสียมากกว่า หลังจากที่นางพูดจบกู่หมานก็วางกระเป๋าใบใหญ่ลงบนพื้นจากนั้นก็คุกเข่าลงแล้วเปิดกระเป๋าด้วยสีหน้าจริงจัง
“นายข้าสั่งให้เอาให้พวกเ้าดู เช่นนั้นพวกเ้าก็ดูนี่แล้วกัน”
ทันทีที่กู่หมานเปิดกระเป๋าภายในห้องก็เต็มไปด้วยแสงที่ส่องประกาย
“ปิดตายประตู!”
จวงเฟยเฟยะโขึ้นทันที บรรยากาศเปลี่ยนมาตึงเครียดจนแทบจะหายใจไม่ออกจากนั้นเงานับสิบก็พุ่งเข้ามาจากรอบด้าน พวกเขาโยนประตูที่พังออกไปด้านนอกแล้วนำไม้ออกมาตอกปิดตายประตูอย่างรวดเร็ว หลังจากเสียงตอกประตูดังขึ้นชั่วครู่ภายในห้องก็มืดลงทันที
เกาซานตัวแสดงสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อยเขาคว้ามืออันเจิงเอาไว้ “โรงจวี้ฉ่างปิดตายประตูแล้วเป็เวลานานมากแล้วที่ไม่ได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ “
“นี่มันเื่อะไรกันหรือ?” อันเจิงถาม
เกาซานตัวพูดอธิบาย “โรงจวี้ฉ่างมีกฎอยู่ข้อหนึ่งหากแขกคนไหนมีสมบัติวิเศษที่ล้ำค่ามากจนโรงจวี้ฉ่างให้ความสำคัญและมาเพราะ้าความช่วยเหลือโรงจวี้ฉ่างจะปิดตายประตูในทันทีและจะปกป้องผู้ที่มาขอความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”
อันเจิงพยักหน้า “มีกฎแบบนี้ด้วยหรือนี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้ยิน”
เกาซานตัวหัวเราะแล้วพูดขึ้น “เ้าอายุแค่เท่าไหร่กันครั้งก่อนที่โรงจวี้ฉ่างปิดตายประตู ก็ตั้งสามสิบเจ็ดปีก่อนแล้ว”
“ตอนนั้นท่านอายุเท่าไหร่?”
เกาซานตัวนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบกลับอย่างตั้งใจ “ปีนั้นข้าเพิ่งสิบแปดปี”
ขณะที่พูดอยู่นั้นกู่หมานได้เปิดกระเป๋าออกเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างเดินไปข้างหน้าแล้วดูว่าของในกระเป๋าคืออะไรเหตุใดถึงทำให้จวงเฟยเฟยตัดสินใจปิดตายประตูด้วยเวลาที่รวดเร็วขนาดนี้ จริง ๆแล้วนี่ไม่ใช่เื่ที่นางจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองแต่ต้องให้ผู้ดูแลทุกคนในโรงจวี้ฉ่างหารือกันก่อนแล้วค่อยรายงานไปที่ส่วนกลางเมื่อได้รับการยินยอมแล้วจึงจะสามารถปิดตายประตูได้
ดังนั้นในตอนที่จวงเฟยเฟยสั่งให้ปิดตายประตูทุกคนในโรงจวี้ฉ่างจึงชะงักไปชั่วขณะ
“ของนี่คืออะไรรึ?”
เห็นได้ชัดว่าเจินจวงปี้ตื่นเต้นเป็อย่างมากการที่สามารถเห็นโรงจวี้ฉ่างปิดตายประตูได้ถือเป็วาสนาอย่างยิ่ง ไม่แน่เขาอาจมีโอกาสได้เห็นสมบัติวิเศษที่หายไปนานสมบัติวิเศษที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง
จวงเฟยเฟยยืนอยู่หน้าฝูงคนและย่อเข่าลงไปดูสมบัติวิเศษเช่นกันคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างดูไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่แต่แน่นอนว่าอันเจิงไม่ได้ตื่นเต้นเลยสักนิด เขาเคยเจอสมบัติวิเศษมามากแล้ว อีกทั้งตัวเขาเองก็ยังมีสมบัติวิเศษระดับสีม่วงอยู่ไม่น้อยฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดทำให้เขาตื่นเต้นได้อีก
‘เป็สิ่งนี้ได้อย่างไรกัน!’ เมื่ออันเจิงเห็นของสิ่งนั้นชัดๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ของที่อยู่ในกระเป๋าไม่ใช่ของที่สมบูรณ์แต่เป็ของที่มีตำหนิแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าของชิ้นนี้มีค่าอย่างไรและไม่มีใครรู้ว่ามันคือสมบัติวิเศษระดับไหนกันแน่
เป็ชิ้นส่วนครึ่งหนึ่งของเกล็ดมัจฉานั่นเอง
เกล็ดมัจฉาแค่ครึ่งเดียวกลับทำให้อันเจิงรู้สึกราวมีคลื่นั์โหมกระหน่ำอยู่ในใจหากไม่ใช่เพราะเคยเข้าไปในเทือกเขาชางหมานละก็เขาคงไม่รู้เหมือนกันว่าของสิ่งนี้คืออะไร เกล็ดมัจฉานี้เป็เกล็ดของปลาั์ที่เขาเคยเจอในเทือกเขาชางหมานที่อันเจิงมั่นใจขนาดนี้เพราะเคยเห็นมันะโขึ้นมากินอินทรีลมกรดในระยะประชิดนั่นเอง
ขนาดใหญ่โตของปลานั่น แม้อันเจิงนึกขึ้นมาในตอนนี้ก็ยังรู้สึกตกตะลึงไม่หาย
ที่อันเจิงรู้ว่ามันคืออะไรเพราะเขาเคยเห็นมันมาก่อน แต่นับเป็เื่แปลกที่จวงเฟยเฟยก็รู้จักเหมือนกันก่อนหน้านี้อันเจิงเคยทำงานอยู่ในกรมตุลาการย่อมเคยเห็นของต่าง ๆ มามากกว่าจวงเฟยเฟยเป็ธรรมดาแต่ถึงกระนั้น หากไม่ใช่เพราะเคยเจอปลาั์ตัวนั้นด้วยความบังเอิญละก็อันเจิงคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร จวงเฟยเฟยเป็เพียงผู้ดูแลโรงจวี้ฉ่างสาขาหนึ่งเท่านั้นเป็ไปได้อย่างไรที่นางจะรอบรู้มากกว่าอันเจิง?
เวลานี้เด็กสาวจากเผ่ากู่เลี่ยก็เดินเข้ามานางมองผู้คนในห้องโถงแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สดใสแต่ก็แฝงไปด้วยการเหยียดหยาม “ดูแล้วคาดว่าคงมีเพียงพี่สาวท่านนี้ที่รู้ว่ามันคืออะไรส่วนคนที่เหลือก็เป็เพียงคนไร้น้ำยาเท่านั้น” เด็กสาวคนนี้อายุเพียงสิบสองถึงสิบสามปีเท่านั้นแต่กลับพูดจาไม่ไว้หน้าใครเลยสักคน
อันเจิงมองสำรวจนางหัวจรดเท้าสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวนางก็คือผิวขาว ๆ นั่นเอง ผิวของนางไม่ได้ขาวซีดแบบคนป่วยแต่เป็ความขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสดใสต่างหาก นางมีดวงตากลมโตมีจมูกโด่ง ถึงแม้หน้าผากจะสูงไปเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความงามของนางลงเลย นางมีผมลอนสีดำประกายแดงและมีเครื่องประดับตกแต่งอยู่บนหัวสวมชุดกระโปรงที่ถักขึ้นมาด้วยเส้นใยพิเศษของชนเผ่ากู่เลี่ยและสวมรองเท้ายาวหุ้มข้อที่ทำมาจากหนังกวาง
ดูท่าทางเด็กสาวคนนี้คงจะเอาแต่ใจไม่น้อย
“มองอะไรกัน?” เด็กสาวมองเขม็งไปทางอันเจิง
“หากเ้ายังมองข้าด้วยสายตาไม่สุภาพแบบนี้อีกข้าจะควักลูกตาเ้าซะ”
อันเจิงยักไหล่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป
แต่นั่นกลับทำให้กู่หมานโมโหอย่างมาก “นายข้ากำลังคุยกับเ้าอยู่!”
อันเจิงไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาเลยสักนิดแต่กลับลูบขนแมวน้อยในอ้อมแขนอย่างปลอบประโลมแทน เพราะั้แ่กู่หมานเดินเข้ามาเ้าแมวน้อยก็ตัวสั่นอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนที่เขาเปิดกระเป๋า แมวน้อยก็ยิ่งสั่นมากขึ้นหลายเท่าอาจเป็เพราะมันนึกถึงตอนที่ไปเทือกเขาชางหมานกับอันเจิงแล้วใเพราะปลาั์ก็ได้
กู่หมานลุกขึ้นอย่างฉับพลันแล้วชี้สามง่ามไปทางอันเจิง“คุกเข่าลงแล้วขอโทษซะ!”
จวงเฟยเฟยยังไม่ละสายตาจากเกล็ดมัจฉาแต่กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า“หากเ้ากล้าบังอาจ ข้าจะฆ่าพวกเ้าทิ้งทุกคนแขกของข้าเป็คนที่พวกเ้าลงมือได้อย่างตามใจงั้นรึ?”
กู่หมานชะงักฝีเท้าลงทันทีแล้วหันไปมองเด็กสาวคนนั้นด้วยสัญชาตญาณเด็กสาวส่ายหน้าเล็กน้อย กู่หมานจึงถอยกลับไปยืนข้างนางดังเดิม
“ในเมื่อเ้ารู้จักมันก็ควรจะรู้ว่ามันมีค่ามากเท่าไหร่”
เด็กสาวเดินไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็ผู้ใหญ่ “พวกเราชนเผ่ากู่เลี่ยไม่ถนัดเื่การค้าขายจึงมักจะโดนหลอกอยู่เรื่อยแต่กับของชิ้นนี้ พวกเราต่างรู้ดีว่ามันมีค่ามากแค่ไหน ปลาวิเศษปรากฏตัวออกมาแสดงว่าใต้หล้ากำลังจะจมเข้าสู่ความวุ่นวายแต่เมื่อมีเกล็ดมัจฉาก็เหมือนมีโล่ป้องกันตัวอยู่ด้วย”
จวงเฟยเฟยลุกขึ้นยืนแต่ก็ยังไม่ละความสนใจจากเกล็ดมัจฉา“นั่นก็เป็แค่เื่เล่า อาจไม่ใช่เื่จริง”
เด็กสาวพูดขึ้น “พวกเราชนเผ่ากู่เลี่ยไม่เคยสงสัยในคำทำนายเหล่านี้มาก่อนหลายร้อยปีก่อนตอนที่ปลาวิเศษปรากฏตัว ใต้หล้าก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เมื่อจักรวรรดิต้าซีแห่งแดนใต้ยิ่งใหญ่ขึ้นและยุติความวุ่นวายเ่าั้ใต้หล้าจึงมีความสงบสุขตลอดหลายร้อยปีมานี้ ว่ากันว่า ที่ราชสำนักต้าซีสามารถรวบรวมแผ่นดินได้สำเร็จก็เพราะได้รับความคุ้มครองจากปลาวิเศษ”
อันเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเป็ถึงคนที่เคยทำงานอยู่ในกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีแต่กลับไม่เคยได้ยินเื่เล่าพวกนี้มาก่อน เป็ไปได้อย่างไรที่ชนเผ่ากู่เลี่ยจะรู้เื่นี้อีกอย่าง ที่จักรวรรดิต้าซียิ่งใหญ่ขึ้นได้นั้น เป็เพราะมีนักรบที่มีพลังวัตรอยู่ในขอบเขตแห่ง์อันแข็งแกร่งต่างหากไม่ได้เกี่ยวข้องกับปลาวิเศษอะไรนั่นเลย
แต่จากที่ดูจวงเฟยเฟยกลับไม่มีท่าทีสงสัยในคำพูดของเด็กสาวคนนั้นแม้แต่น้อย
“ทุกครั้งที่ปลาวิเศษปรากฏตัวล้วนเป็สัญญาณว่าใต้หล้ากำลังจะเกิดความวุ่นวายขึ้น”
เด็กสาวพูดต่อ “เมื่อมีเกล็ดมัจฉาก็เหมือนได้รับการนำทางจากปลาั์ว่ากันว่า ผู้จะได้รับการคุ้มครองจากเกล็ดมัจฉาทำให้สามารถหนีจากอันตรายใน่ที่เกิดความวุ่นวายได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังช่วยให้ตามหาขุมสมบัติจนเจอได้อีกด้วย และคนที่ได้ขุมสมบัติก็จะได้ใต้หล้าด้วยเช่นกัน”
“แล้วทำไมเ้าไม่เก็บเกล็ดมัจฉาไว้แล้วไปหาขุมสมบัติเ่าั้เองเล่า?” อันเจิงถามขึ้น
เด็กสาวมองเขม็งไปที่อันเจิงแต่กลับตอบด้วยเสียงที่สุภาพ “เพราะว่า...ข้ารู้ดีว่าชนเผ่าของเราปกป้องสมบัติวิเศษชิ้นนี้ไม่ไหวแน่และยิ่งไปกว่านั้น มันยังจะนำความเดือดร้อนมาสู่ชนเผ่าอีกด้วย สู้เอามาแลกเปลี่ยนเป็สมบัติวิเศษอย่างอื่นจะดีกว่า”
“แล้วเ้าไม่กลัวว่าจะเกิดเื่เดือดร้อนขึ้นที่นี่รึ?” อันเจิงถามต่อ
เด็กสาวเลิกคิ้ว “แค่โลกมายาไม่คู่ควรให้ข้าเก็บมาใส่ใจหรอกชนเผ่ากู่เลี่ยถึงแม้จะไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ยังมีทหารอยู่หลายหมื่นคน หากวันนี้ข้าเป็อะไรไป โลกมายาต้องโชกไปด้วยเือย่างแน่นอน”
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงแตรสัญญาณดังก้องออกไปไกลไม่นานก็มีเสียงคนะโมาจากถนนด้านนอกด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
“ทหารเผ่ากู่เลี่ย!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้