แววตาของหนานกงหลิงกลายเป็เ็าราวกับคมดาบ
ฉู่ชิ่ง เป็ประมุขของนิกายเฮ่าเยว่ และเป็บิดาของต้าเผิง
ห่านเสวี่ยเทียน เป็ผู้นำของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน
เถิงอูซาน เป็รองประมุขของนิกายโมโซ่ว
ส่วนต้วนเทียนหลาง เป็องค์ชายแห่งราชวงศ์ฮวง และบิดาขององค์ชายน้อยต้วนหานที่ถูกนิกายหยุนไห่ขับไล่เมื่อไม่กี่วันก่อน
นอกจากนี้ในดินแดน ณ ตอนนี้มีนิกายหลั่วเซี่ยรวมทั้งตระกูลฮวงและตระกูลอวี่แห่งเมืองจักรพรรดิ รวมถึงราชวงศ์ฮวงและสี่กองกำลังได้ปรากฏตัวในเวลาเดียวกันอย่างแขกที่ไม่ได้รับเชิญ และยังเจาะจงมาในวันที่นิกายหยุนไห่มีการทดสอบ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้มาเพื่อเฉลิมฉลองแต่อย่างใด
“ท่านประมุขหนานกง ที่พวกข้ามาก็เพื่อชมการทดสอบเท่านั้น อย่าได้ถือสาเลย”
ส่วนต้วนเทียนหลางที่ยืนอยู่บนดาบั์ เขาสวมชุดเกราะสีขาวที่สวยตระหง่าน และค่อยๆ ลอยต่ำลงจนถึงเหนือที่นั่งอัฒจันทร์ เสียงของมันดังคำรามอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายของดาบได้ทำลายที่นั่งอัฒจันทร์จนกลายเป็ฝุ่นผง
ในเวลาเดียวกัน ฉู่ชิ่ง หานเสวี่ยเทียน และคุนเผิง ก็ค่อยๆ ชะลอลงบนอัฒจันทร์ ด้วยท่าทางอวดดีและหยิ่งยโส
ข้างๆ ต้วนเทียนหลางคือต้วนหาน ที่กำลังจ้องมองหนานกงหลิงด้วยสายตาเย็นะเื วันนั้นเขาถูกหนานกงหลิงกลั่นแกล้ง จึงมีความแค้นมาโดยตลอด ในวันนี้เขาจะต้องจับตาดูนิกายหยุนไห่ให้ดี
“ฮ่าๆ องค์ชายเทียนหลางมาเป็แขกของนิกายหยุนไห่ นิกายหยุนไห่ของข้ารู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่ง” หนานกงหลิงกล่าวเสียงเย็น แต่ยังคงยิ้มและกล่าวอีกว่า “ไม่ทราบว่าองค์ชายต้วนเทียนหลางและท่านประมุข เหตุใดพวกท่านถึงได้มาที่นี่กัน?”
“เมื่อไม่นานมานี้ต้วนหานได้มาที่นี่ สาเหตุที่เขามาท่านประมุขหนานกงหลิงคงจะเข้าใจดี ฝ่าานั้นมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเตรียมที่จะสร้างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ จำเป็ต้องมีทุกคนเพื่อช่วยสร้าง อีกทั้งท่านประมุขและผู้นำท่านอื่นๆ ล้วนรับปากฝ่าาแล้ว แต่ทางด้านนิกายหยุนไห่…”
เมื่อต้วนเทียนหลางพูดจบ เขาก็ยิ้มออกมาและไม่พูดต่อ
“หืม?” หนานกงหลิงทำหน้าแปลกๆ ฉู่ชิ่งและห่านเสวี่ยเทียน ทั้งคู่เป็คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก มันจะเป็ไปได้อย่างไรที่จะส่งมอบศิษย์ที่มีพร์ของนิกายให้ พวกเขาควรจะรู้ว่าถ้าส่งมอบใครไปแล้ว ในภายภาคหน้าอาจตกอยู่ในอำนาจของราชวงศ์ฮวงได้ แทนที่จะเป็คนของพวกเขา
เมื่อฉู่ชิ่งได้ยินคำพูดของต้วนเทียนหลางแต่สีหน้าของเขากลับนิ่งสงบ ดูเหมือนว่าเื่นี้จะเป็เช่นนั้น นี่ทำให้หนานกงหลิงมึนงงเป็อย่างมาก
“องค์ชายเทียนหลางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?” หนางกงหลิงถาม
“ในเมื่อท่านประมุขหนานกงไม่คิดที่จะส่งมอบศิษย์ให้กับฝ่าา ข้าจึงมาในฐานะตัวแทนของฝ่าาเพื่อมาเลือกด้วยตัวเอง แต่บังเอิญว่าวันนี้เป็การทดสอบของนิกายหยุนไห่ ข้าสามารถค้นหาศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ และข้าจะเลือกหนึ่งในพวกเขา” ต้วนเทียนหลางกล่าวตรงไปตรงมา
สีหน้าของเหล่าศิษย์นิกายหยุนไห่เปลี่ยนไปทันที พวกเขาคิดว่านิกายหยุนไห่เป็อะไรกัน ศิษย์ของนิกายหยุนไห่จะต้องถูกเลือกโดยพวกเขา?
“ถ้าหากข้าไม่ตอบตกลงล่ะ?” หนานกงหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
“ถ้าท่านประมุขหนานกงตอบตกลง ก็เหมือนกับท่านประมุขและผู้นำคนอื่นๆ ที่ตอบตกลง” คำพูดของต้วนเทียนหลางเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าไม่มีใครสามารถต่อต้านเขาได้
“ท่านประมุขหนานกงอย่าทะเลาะกันเลย ให้ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ดำเนินการการทดสอบเถิด แล้วค่อยส่งมอบศิษย์ ตราบใดที่สามารถเข้าร่วมในลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้ อาณาจักรเสวี่ยเยว่จะสนับสนุนเ้า และจะได้เม็ดยากับอาวุธ แล้วก็สามารถเลือกเคล็ดวิชากับทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดได้ แล้วจะกลายเป็เสาหลักของเสวี่ยเยว่”
ต้วนเทียนหลางพูดให้ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ฟัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความล่อลวง เพียงแค่เข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็จะได้ทั้งเม็ดยา อาวุธ เคล็ดวิชาและทักษะอย่างไร้ขีดจำกัด นี่เป็สิ่งน่าสนใจเป็อย่างมาก สำหรับศิษย์ที่ปรารถนาความแข็งแกร่งและพละกำลังอันทรงพลัง
พวกเขามายังนิกายหยุนไห่ก็เพื่อบ่มเพาะพลัง เพื่อกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ในเมื่อลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้เสนอโอกาสที่ดีกว่า แล้วพวกเขาจะอยู่ในนิกายหยุนไห่ต่อไปอีกทำไม?
ในขณะนั้นศิษย์จำนวนมากหลายคนรู้สึกสับสนขึ้นมา และมีหลายคนเตรียมออกจากการทดสอบของนิกายหยุนไห่ไป
“ช่างเลวทรามเสียจริง”
หนานกงหลิงด่า คำพูดล่อลวงของต้วนเทียนหลางเป็แผนการที่ไม่ฉลาด แต่กลับได้ผลเกินคาด
สิ่งที่หนานกงหลิงทนไม่ได้กว่า นั่นก็คือการที่พวกเขามาก่อกวนและบุกรุกนิกายหยุนไห่
“งั้นข้าจะคอยดูว่าใครจะทรยศนิกายหยุนไห่” หนานกงหลิงกล่าวอย่างเ็า และกล่าวกับต้วนเทียนหลางว่า “ในเมื่อองค์ชายเทียนหลาง้าชมการทดสอบของนิกายหยุนไห่ งั้นข้าหนานกงหลิงจะทำให้การทดสอบสมบูรณ์แบบที่สุด”
“การทดสอบของศิษย์สายนอกและศิษย์หลักได้ล่าช้า จึงเลื่อนไปเป็วันอื่น ในวันนี้เป็การต่อสู้ของศิษย์สายในเท่านั้น”
เมื่อหนานกงหลิงได้ยินเสียงโวยวายของเหล่าศิษย์ แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เข้าใจว่าทำไมหนานกงหลิงถึงตัดสินใจเช่นนี้
ศิษย์สายนอกอ่อนแอเกินไป ในขณะนี้นิกายหยุนไห่กำลังอับอายขายขี้หน้า และศิษย์หลักเป็เสาหลักของนิกาย ในภายภาคหน้าก็จะกลายเป็ผู้สืบทอดของนิกายหยุนไห่ เพราะฉะนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงไม่ควรถูกเปิดเผยเร็วเกินไป และจึงเป็จังหวะเหมาะแล้ว สำหรับศิษย์สายในที่จะเข้าร่วมการทดสอบของนิกาย
ั์ตาของต้วนเทียนหลางส่องประกายไปด้วยรอยยิ้มที่แตกต่างออกไปจากเดิม เป็เช่นนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?
“ศิษย์สายในที่มีชื่อสลักอยู่ผนังหิน เข้าไปในลานประลองเป็ตาย และจัดแถวตามลำดับที่ระบุไว้”
เมื่อหนานกงหลิงกล่าวจบ ทันใดนั้นเ้าของชื่อทั้ง 81 ชื่อที่สลักอยู่บนผนังหิน ได้เดินขึ้นไปบนลานประลองเป็ตาย โดยได้รับความสนใจจากฝูงชนอย่างรู้สึกเป็เกียรติยิ่ง
“ข้าจะเปลี่ยนแปลงกฎการทดสอบของศิษย์สายในครั้งนี้ ผู้ที่้าเข้าร่วมการจัดอันดับการต่อสู้ จำเป็ต้องท้าทายศิษย์สายในทั้ง 81 คน และผู้ชนะจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือก ผู้ท้าชิงจะไม่สามารถท้าทายซ้ำคนได้”
หนานกงหลิงยังคงพูดต่อไป ฝูงชนเกิดโวยวายขึ้นอีกครั้ง ทำให้หลายคนต่างเกิดความผิดหวัง การทดสอบในครั้งนี้จะเป็การทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่ายังไม่เห็นโอกาสอีกครั้งเลย
“และในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีข้อจำกัด… ในการต่อสู้”
“ตูม” หัวใจของทุกคนต่างสั่นไหว ไม่มีข้อจำกัด… ในการต่อสู้
ถ้าพวกเขาศิษย์สายในท้าทายศิษย์สายใน 81 คน ก็จะถูกอีกฝ่ายเกลียดอย่างแน่นอน และมีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือ สามารถเอาชีวิตของพวกเขาได้ แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาจะเกิดการสูญเสียขึ้น
ผู้ที่ชนะจะมีชื่ออยู่ในการจัดอันดับการต่อสู้ และผู้แพ้จะมีผลกระทบที่ร้ายแรง อาจถึงชีวิตก็เป็ได้
“ไม่คุ้มเอาเสียเลย”
“การเอาชีวิตไปเดิมพันในการจัดอันดับ ช่างอันตรายเกินไปแล้ว ข้าจะพยายามอีกครั้งในปีหน้า”
เหล่าศิษย์จำนวนมากมายต่างส่ายหัว การทดสอบครั้งนี้มันเสี่ยงเกินไปและไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
“หลินเฟิง ท่านประมุขช่างเป็คนที่โเี้เสียจริง ตอนนี้ข้าได้ทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 เท่านั้น และคนที่อ่อนแอที่สุดใน 81 คนที่มีชื่อสลักอยู่บนผนังหิน พวกเขาล้วนอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ประมาณว่าข้านั้นไม่มีความหวังเลยแม้แต่น้อย”
หานหมานยิ้มอย่างขมขื่น เพราะเขาตั้งใจจะเข้าร่วมการทดสอบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็เช่นนี้
หลินเฟิงจ้องมองไปยังหนานกงหลิงที่ยืนอยู่บนลานประลอง กฎนี้ช่างเด็ดขาดอย่างที่สุด แต่จริงๆ แล้วเป็การกำจัดผู้ที่อ่อนแอรวมทั้งผู้ที่ไม่กล้าหาญพอ แล้วคัดกรองให้มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งและทรงพลังอย่างแท้จริงเท่านั้นที่เข้าร่วมการต่อสู้ นี่คือผลลัพธ์ที่หนานกงหลิง้า เพื่อให้คนภายนอกที่มาชม ได้มาชมศิษย์สายในที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“ศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับทั้ง 81 คนที่อยู่บนลานประลองเป็ตายนั้น และในตอนนี้ท่ามกลางลานประลอง เหล่าศิษย์สายในคนอื่นๆ สามารถท้าทายพวกเขาคนไหนก็ได้”
เมื่อหนานกงหลิงพูดจบก็นั่งลง และเหลือบไปมองต้วนเทียนหลาง
“ข้าหลัวเลี่ย ้าท้าโหย่วหลิน”
มีร่างเงาของคนหนึ่งะโมายังลานประลองเป็ตายและประกาศขึ้น เนื่องจากไม่สามารถต่อสู้กับคนเดิมได้ การได้ท้าทายคนแรกไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีประโยชน์แค่ไหน เพราะสามารถท้าทายอันดับสุดท้ายในรายชื่อ 81 คนได้ และนั่นคือโหย่วหลินผู้อยู่ในอันดับที่ 81
ในขณะนั้นสีหน้าของโหย่วหลินดูซีดเซียว นี่เป็การท้าทายครั้งแรกของเขา จึงทำให้เขารู้สึกอับอาย
“ผู้ท้าทาย สามารถฆ่าได้โดยไม่โดนลดหย่อนโทษ”
เหวินเริ่นเหยียนที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดได้กล่าวอย่างเ็า จนทำให้เหล่าศิษย์สายในที่อยู่ด้านหลังล้วนสั่นไหว เ้าเด็กนี่…
“เยี่ยม”
โหย่วหลินพยักหน้าให้เหวินเริ่นเหยียน จากนั้นะโไปบนลานประลองเป็ตาย และปล่อยหมัดัใส่ทันที ที่เหวินเริ่นเหยียนไม่เตือนก็เพราะว่า้าฆ่าเขา
…
หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป หุบเขาเมฆพายุ เขตลานประลองเป็ตาย ก็เงียบสงบลงทันที
สายตาของฝูงชนต่างไปหยุดอยู่ที่ที่หนึ่ง คือใจกลางลานประลองเป็ตาย ซึ่งขณะนี้ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดง บนลานมีซากศพทั้งห้าร่างซึ่งเป็ของผู้ท้าชิงทั้งสิ้น พวกเขาล้วนพ่ายแพ้จึงไม่มีข้อยกเว้นต้องถูกฆ่าเท่านั้น แม้กระทั่งซากศพก็ไม่คนมาเก็บและทำความสะอาดแต่อย่างใด
พ่ายแพ้ ก็เท่ากับความตาย
มันเป็บทเรียนแสนโหดร้ายและนองไปด้วยเื ทำให้จิตใจที่ลุกโชนดั่งเปลวเพลิงของผู้ท้าชิงทั้งหลายค่อยๆ มอดดับลงไป
ผู้ท้าชิงทั้งห้าคนนี้ ไม่เพียงเป็ห้าคนจากอันดับสุดท้ายของการจัดอันดับเท่านั้น แต่ในเมื่อต้องท้าทายคนต่อไป ก็จำเป็ต้องเลือกคนที่มีอันดับสูงขึ้นเรื่อยๆ
เกียรติยศของศิษย์สายในที่ชนะการต่อสู้จะสามารถจารึกชื่อบนผนังได้
หนานกงหลิงที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์มองด้วยสายตาที่ไม่แยแส บางทีบทเรียนนองเืครั้งนี้จะสามารถทำให้เหล่าศิษย์ตระหนักได้อย่างถ่องแท้ และรู้ซึ้งถึงความโเี้ในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง
ต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งและแน่วแน่เท่านั้นถึงจะกล้าได้กล้าเสีย เพราะความโเี้และการนองเืที่มีแต่ผู้แพ้เท่านั้นที่หวาดกลัว และไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแสวงหาในเส้นทางการบ่มเพาะ
“ขยะพวกนี้ ยังกล้าวางแผนเพื่อให้ตัวเองติดอยู่ในผลการจัดอันดับต่อสู้ หยุดสิ่งที่พวกเ้าฝันไปเถอะ”
เหวินเริ่นเหยียนชี้ไปยังซากศพที่เกลื่อนกลาดบนลานประลอง และปรายตามองเหล่าศิษย์ราวกับเขาอยู่บนจุดสูงสุดที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
เขาเป็ถึงศิษย์สายในอันดับหนึ่ง แต่คนเหล่านี้กลับไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการจัดอันดับต่อสู้
สีหน้าของทุกคนดูซีดเผือด ไม่มีใครกล้าเข้าปะทะกับเหวินเริ่นเหยียน เพราะพร์ที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกคน จึงไม่มีศิษย์คนไหนกล้าไปยั่วยุเขา
“ท่านประมุข ข้าว่าเราเริ่มการจัดอันดับการต่อสู้เถิด พวกเขานั้นล้วนหมดหวังแล้ว”
เหวินเริ่นเหยียนหันไปกล่าวกับหนานกงหลิง
หนานกงหลิงกวาดสายตามองฝูงชนและพยักหน้าเล็กน้อย แม้เหวินเริ่นเหยียนจะเย่อหยิ่ง แต่เขาก็เป็ถึงศิษย์อัจฉริยะของนิกายหยุนไห่ที่หาได้ยาก ในอนาคตเขาจะกลายเป็เสาหลักของนิกายหยุนไห่
“ไร้สาระ”
ในขณะนั้นพลันได้เสียงดังขึ้นฉับพลัน ทำให้ฝูงชนต่างพากันใ
เหวินเริ่นเหยียนขมวดคิ้วมุ่น มองหาต้นเสียงท่ามกลางฝูงชน หลังจากนั้นสายตาเขาได้ไปหยุดอยู่ที่หนึ่ง พลันแววตาเปล่งประกาย
“เ้าอีกแล้ว” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื และแฝงไปด้วยจิตสังหาร
“เ้าคิดว่ามันไร้สาระตรงไหนกัน?”
“เ้าเป็ศิษย์สายในอันดับหนึ่งซึ่งตอนนี้ได้ยืนอยู่ที่จุดสูงสุด สามารถมองเห็นผู้คนด้านล่างได้ชัดเจน และยังด่าคนอื่นๆ อีก ทั้งที่เมื่อก่อนเ้าเองก็เริ่มต้นจากการเป็ขยะมิใช่หรือ? ถึงได้มีตำแหน่งที่เป็อยู่ถึงทุกวันนี้?”
มุมปากของหลินเฟิงปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น เพื่อกระตุ้นให้เหวินเริ่นเหยียนผู้เย่อหยิ่งได้รู้สึกตื่นตัว
