ในขณะที่ยุ่งอยู่กับงานมากมาย เวลาก็ก้าวเข้าสู่เดือนสอง
เดือนสองต้นฤดูใบไม้ผลิ สภาพอากาศยังคงหนาวแต่บรรยากาศกลับแฝงความชุ่มชื้นอยู่ด้วย แสงแดดปรากฏออกมาเป็ครั้งคราว อุณหภูมิของทุกวันตอนเที่ยงตรงสูงขึ้นเล็กน้อย กิ่งไม้แห้งเหี่ยวในฤดูหนาวค่อยๆ แตกหน่ออ่อนสีเขียวออกมา พงหญ้ารกเหี่ยวเฉาแตกหน่ออ่อนตัดสลับกันอยู่ข้างทาง สรรพสิ่งต่างๆ ในต้นฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ มีชีวิตชีวาปรากฏขึ้น
ภาพสกุลหูยังคงยุ่งอยู่กับงาน อาหารหมักที่สือหลี่เซียงสั่งทำได้กรอกเสร็จตามจำนวนไม่กี่วันก่อนแล้ว อาหารหมักที่ทำการหมักชุดแรกก็ส่งไปแล้วเช่นกัน
กุนเชียงและเนื้อตากแห้งของสือหลี่เซียงขายดีนัก จึงมีร้านอยู่ไม่น้อยที่ทำเลียนแบบตามความนิยม
ระหว่างทางที่หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยไปส่งสินค้ากลับมาครั้งนี้ ก็ได้ยินว่าในเมืองมีหลายโรงเตี๊ยมได้ขายอาหารหมักตามแล้ว ลักษณะรสชาติค่อนข้างใกล้เคียง
หูฉางหลินและหูฉางกุ้ยใจนหน้าถอดสีทันที เวลาเพิ่งจะไม่นาน สินค้าลอกเลียนแบบก็ปรากฏออกมา
เส้นทางความมั่งคั่งของที่บ้านเพิ่งบุกเบิกตลาดเอง หรือว่าต้องยุติแล้วหรือ?
สองคนเร่งรีบกลับมาบ้าน แม้แต่น้ำยังไม่ทันได้ดื่มสักอึก รีบกล่าวเื่ราวให้กับทุกคนฟัง
หวังซื่อตื่นใจนสีหน้าเปลี่ยนไปมาก การค้าขายอาหารหมักเพิ่งทำมาสองสามเดือนสั้นๆ เอง เส้นทางนี้จะทำต่อไปไม่รอดแล้วหรือ?
เจินจูกลับไม่สะทกสะท้าน นี่เป็เื่ที่อยู่ในความคาดหมาย อาหารที่ทานทุกชนิดขอแค่คนครัวมีฝีมือล้ำลึก ได้ลองชิมมากหน่อยสักสองสามหน ก็สามารถเลียนแบบออกมาได้หกถึงเจ็ดส่วนแล้ว
เนื้อตากแห้งเมื่อเทียบกับกุนเชียงแล้ว ยิ่งง่ายต่อการทำเพราะเป็สินค้าสำเร็จรูปที่พอทำออกมาแล้วจะมีรสชาติใกล้เคียงกันได้มากกว่า ตัวของมันเองก็ไม่ได้มีเคล็ดลับส่วนประกอบมากมายด้วย
ส่วนกุนเชียง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะยุ่งยากเล็กน้อย แต่หากมีใจมุ่งมั่นที่จะทำเลียนแบบก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร แม้คนธรรมดาจะใช้เครื่องเทศมาหมักอาหารน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าเหล่าคนครัวที่มากประสบการณ์จะชิมไม่ออก ปัญหาหลักอยู่ที่เื่กำหนดส่วนผสมให้ดีว่าปริมาณมากหรือน้อยเท่าใด
แน่นอนว่าเจินจูมีความมั่นใจต่อกุนเชียงที่ตนเองปรุงรสมาก ใช้ความจำตอนนี้ของนางที่สามารถย้อนนึกถึงส่วนประกอบเครื่องเทศอย่างละเอียดออกมาได้ ดังนั้นบวกลบอีกที ตอนนี้ส่วนประกอบกุนเชียงของครอบครัวนางโดยรวมก็เป็มาตรฐานแน่นอนแล้ว รสชาติที่ตากแห้งออกมาย่อมอร่อยมาก
แต่จะปรุงรสให้ถูกปากทุกคนได้เป็การยาก แล้วก็ยากที่จะกล่าวว่ากุนเชียงของโรงเตี๊ยมอื่นทำออกมาแล้วไม่อร่อยหรือไม่ได้รับความนิยม
“ท่านลุง เ้าของร้านเหนียนได้กล่าวอะไรถึงเื่นี้หรือไม่เ้าคะ?” เจินจูถาม
“เอ่อ… เหมือนว่าจะไม่นะ” หูฉางหลินขมวดคิ้วหวนคิดเล็กน้อย
“อืม... เช่นนั้นก็ไม่เป็ไร เ้าของร้านเหนียนไม่กล่าว พวกเราก็ไม่ต้องกังวลใจ หากเขาขายอาหารหมักไม่ออก จะยิ่งกระวนกระวายใจมากกว่าพวกเรา” เจินจูยิ้มอย่างมีเลศนัย
เหนียนเสียงหลินไม่กล่าวอะไรจริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็ต้องกล่าวอะไร ในฐานะที่เป็โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไท่ผิง ระดับแขกที่มาของเขาย่อมไม่เหมือนโรงเตี๊ยมร้านอาหารทั่วไป
คหบดีครอบครัวขุนนางตระกูลใหญ่ระดับสูงในเมือง แม้กระทั่งเ้าหน้าที่ศาลาว่าการ ล้วนเป็แขกที่มานั่งของสือหลี่เซียง สาเหตุในนั้น แน่นอนว่าไม่เพียงเพราะอาหารของสือหลี่เซียงมีมากมายหลากหลายและเลิศรส แต่ยังเป็เพราะมีคนที่สนับสนุนอยู่เื้ัของเขาด้วย
เมืองไท่ผิงอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอำเภอเจิ้นอัน เหนียนชิงย่วนฮูหยินปลัดอำเภอของอำเภอเจิ้นอันเป็ลูกพี่ลูกน้องของเขา สกุลเหนียนของพวกเขาอยู่ในอำเภอนี้นับว่าเป็เพียงครอบครัวใหญ่โตฐานะทางบ้านมั่งคั่งเท่านั้น ดั้งเดิมตลอดมาไม่เคยติดต่อกับคนในแวดวงทางการเลย จนกระทั่งไม่กี่ปีก่อน ใต้เท้าจางเซี่ยวอันปลัดอำเภอที่มารับตำแหน่งใหม่้าแต่งงานสู่ขอภรรยาใหม่หลังจากภรรยาเดิมสิ้นไป เหนียนชิงย่วนคุณหนูสี่ของสกุลเหนียนที่ทั้งอ่อนเยาว์และโฉมงามก็เป็ตัวเลือกในนั้น รอจนพ่อสื่อแม่ชักมาสู่ขออย่างเป็ทางการถึงหน้าประตู ทุกคนในสกุลเหนียนล้วนดีใจกันเป็บ้าเป็หลัง ใต้เท้าปลัดอำเภอนั่นเป็ขุนนางที่มีระดับชั้นเลยเชียวนะ ใต้เท้าจางผู้นี้เพิ่งอายุสามสิบต้นๆ ภรรยาที่สิ้นไปเหลือไว้เพียงบุตรสาวหนึ่งคนอายุแปดปี บุพการีฝ่ายชายไม่ได้ตามมารับตำแหน่งด้วย เหนียนชิงย่วนแต่งออกไปไม่ต้องคอยปรนนิบัติแม่สามี ตัวเองสามารถตัดสินใจดูแลเื่ภายในบ้านได้เลย
ตามหลักธรรมดา ถึงจะเป็ภรรยาที่แต่งหลังจากภรรยาเดิมสิ้นไป สกุลเหนียนก็มีฐานะและชื่อเสียงสูงส่งกว่าญาติสนิทมิตรสหายแล้ว
ตามที่ได้ยินมา ใต้เท้าจางผู้นี้พบกับคุณหนูสี่ของสกุลเหนียนบนถนน พอสายตามองไปเห็นเหนียนชิงย่วนที่งดงามราวบุปผา หลังจากที่สืบถามฐานะลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลออกมาแล้ว ก็ได้ส่งพ่อสื่อแม่ชักทางการไปขอแต่งงานอย่างเป็ทางการอีกครั้ง
หลังเหนียนชิงย่วนแต่งออกไป ผู้เป็สามีที่มีอายุค่อนข้างมากและได้ภรรยาสาวเช่นนาง ย่อมได้รับความโปรดปรานเป็ธรรมดา ผ่านไปไม่ถึงสองปีก็ให้กำเนิดบุตรออกมา ตำแหน่งยิ่งน้ำขึ้นเรือย่อมสูง
สกุลเหนียนหยิบยืมสถานการณ์นี้ ทำให้การค้าขายต่างๆ โดยตลอดมาทำได้รุ่งเรืองใหญ่โต ส่วนสือหลี่เซียงแค่เป็หนึ่งในนั้นเท่านั้นเอง
สินค้าอาหารที่ออกมาใหม่ถูกทำเลียนแบบ เป็การยากที่จะหลีกเลี่ยง ลูกชิ้นปลาครั้งก่อนก็ถูกเลียนแบบไปนานแล้ว แน่นอนว่าลักษณะรสชาติล้วนไม่ได้ดีกว่าของเขาเลย ครั้งนี้ เหนียนเสียงหลินก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเหมือนเช่นเคย เดิมทีลูกค้าที่สือหลี่เซียงกำหนดไว้ก็ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอยู่แล้ว หากพวกเขาได้เป็ที่แรกในการนำเสนอเมนูใหม่ รสชาติของต้นตำรับย่อมดีและเอร็ดอร่อยกว่าโรงเตี๊ยมอื่นๆ คนครอบครัวใหญ่โตพิถีพิถันมากนัก ยิ่งมีเงินมีอำนาจก็ยิ่งให้ความสำคัญกับฐานะและหน้าตาในสังคมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมนูพะโล้ของสือหลี่เซียงผ่านการปรับเปลี่ยนตำรับเฉพาะของสกุลหูมา ขณะนี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นแล้ว ลูกค้าใหม่เก่าทานเสร็จล้วนพากันยกนิ้วกล่าวชมเชยทั้งนั้น นี่ก็เป็รายการอาหารที่เป็เอกลักษณ์ของร้านเช่นกัน การค้าขายของร้านเขาหากผู้อื่นคิดจะมาปะทะแย่งชิงไม่ใช่เื่ง่ายเพียงนั้น
อย่างน้อยเมืองไท่ผิงก็เป็ตำบลหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับอำเภอเจิ้นอัน
เื่ราวกลับเป็เช่นนี้... เมื่ออาหารหมักถูกลอกเลียนแบบออกมา เหนียนเสียงหลินเคยแอบชิมในที่ลับอยู่สองสามหน แม้รสชาติจะคล้ายสองถึงสามส่วน แต่ล้วนมีรสชาติสู้สกุลหูไม่ได้ ระดับความหอมและสดหลังนึ่งดีแล้วต่างกันมาก ในเวลานั้นเหนียนเสียงหลินยิ่งพึงพอใจอาหารหมักสกุลหูมากขึ้นไปอีก
พอมีของเปรียบเทียบก็ยิ่งสามารถขับความเป็เอกลักษณ์อาหารหมักของสือหลี่เซียงให้เด่นยิ่งขึ้น เพราะเหตุนี้เหนียนเสียงหลินจึงไม่กังวลใจเลยสักนิดว่าการค้าขายอาหารหมักของร้านตนเองจะถูกแบ่งกำไรแจกจ่ายออกไป
เป็ไปดังที่คาด เวลาไม่กี่วันก็มีตัวแทนในการจัดซื้อพวกอาหารการกินตามร้านต่างๆ ส่งให้แก่ตระกูลร่ำรวยใหญ่โตที่สนิทกันกับเขา แอบมาบอกเป็การส่วนตัว ว่ามีเถ้าแก่โรงเตี๊ยมสองสามร้านอาศัยเส้นสายให้หาลู่ทางนำอาหารหมักจากโรงเตี๊ยมของตนเข้ามาในจวน ผลสุดท้ายเหล่านายท่านในจวนต่างทยอยกันทานแล้วพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างแปลกไป พอตรวจสอบดูจึงไม่พอใจอย่างมาก ดุด่าและลงโทษผู้ที่แอบสับเปลี่ยนเนื้อหมักในที่ลับ หลังจากนั้นจึงมอบหมายให้พวกเขาไปจัดซื้ออาหารหมักของสือหลี่เซียงมาใหม่อีกครั้ง
ในใจเหนียนเสียงหลินสบายอารมณ์อย่างยิ่ง ในเวลานั้นจึงฝากให้ลูกจ้างไปบอกสกุลหูอีกครั้งว่าจะสั่งกุนเชียงเพิ่มหนึ่งพันชั่งและเนื้อตากแห้งอีกแปดร้อยชั่ง
หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยกลับตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ใช่บอกว่าโรงเตี๊ยมมากมายล้วนทำเลียนแบบอาหารหมักร้านของเขาออกมาหรือ? สือหลี่เซียงไม่ได้รับผลกระทบหรืออย่างไร? กลับยังจะสั่งเพิ่มอีก? จะขายออกไปได้หรือ?
“ฮ่าๆ” เจินจูหัวเราะไปพักหนึ่ง แล้วจึงอธิบายมูลเหตุในนั้นให้พวกเขาฟัง ขอแค่คงคุณภาพสินค้าของครอบครัวตนเองให้มีรสชาติที่ดี จะกลัวขายไม่ออกทำไมกัน
...กลางเดือนสองเข้ามาแล้ว บ้านใหม่ของครอบครัวหูฉางกุ้ยก็สร้างเสร็จไปกว่าครึ่ง เพราะจวนจะถึง่ฤดูกาลหว่านไถเมล็ดข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ยังมีเวลาอีกสิบกว่าวันแต่ละครอบครัวล้วนต้องไปดูแลที่นาของบ้านตนเอง หลิ่วฉางผิงจึงหาชาวไร่ชาวนามาเพิ่มอีกเจ็ดถึงแปดคน พยายามเร่งให้ทันก่อนฤดูเพาะปลูก สร้างส่วนที่สำคัญของบ้านให้เสร็จ
ส่วนที่เหลือของพื้นบ้าน หน้าต่าง ประตูทำได้เพียงค่อยๆ จัดการทำวันละหน่อยแล้ว
เจินจูหาเวลาจูงหูฉางกุ้ยไปดูหนึ่งหน สถานที่ก่อสร้างยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย บนพื้นเต็มไปด้วยอิฐ ไม้ ทราย และหินกองซ้อนกันอยู่ ชาวไร่ชาวนาที่ร่างกายแข็งแรงกำยำสิบกว่าคนกำลังยุ่งอยู่กับงาน ะโขึ้นรอบด้านอยู่เป็ระยะๆ
หูฉางกุ้ยมองเหตุการณ์นี้ ใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นอย่างหาได้ยาก สถานที่ก่อสร้างคนมากมายและไม่เป็ระเบียบ เขาบอกเจินจูห้ามไปอีก เด็กสาวตัวเล็กที่บอบบางงดงามเช่นนางไม่สมควรไปปรากฏอยู่ที่นั่น
เจินจูเผลอยิ้มออกมา ไม่ได้โต้แย้งความคิดเห็นของเขา อย่างไรเสียหลิ่วฉางผิงก็มาบ้านครอบครัวหูแล้วรวบรวมความคืบหน้ามารายงานอยู่ตลอด นางจะไปดูหรือไม่ก็ไม่เป็ไร หาได้ยากที่ท่านพ่อของนางจะทำหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวเช่นนี้ นางย่อมแสดงภาพลักษณ์ของบุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายเสียหน่อย ยอมกลับไปทำตัวเป็เด็กสาวไม่ดื้อที่เชื่อฟัง
เห็นว่าบุตรสาวไม่ได้เศร้าใจ กลับพูดแล้วเชื่อฟัง ข้างในหูฉางกุ้ยก็โล่งใจอย่างมาก
...การใช้ชีวิตในโรงเรียนส่วนตัวของผิงอันกับผิงซุ่น เพราะพวกเขาเล่าเรียนกับหลัวจิ่งอยู่นานหลายวัน วิชาของโรงเรียนส่วนตัวสำหรับพวกเขาแล้ว ระดับความยากลำบากไม่มากนัก
ท่านอาจารย์หลิวค่อนข้างพึงพอใจพวกเขาสองคน ผิงอันพร์ไม่เลว ทั้งขยันขันแข็งแน่วแน่ ความตั้งใจตอนเข้าเรียนทำให้ตัวท่านอาจารย์เองกดดันเล็กน้อย กลัวว่าตนเองไม่ระวังเพียงนิดบรรยายเนื้อหาบางอย่างผิดไป จะทำให้บัณฑิตที่ขยันหมั่นเพียรตั้งใจเรียนดีเช่นนี้เสียเวลาเอาได้
ส่วนผิงซุ่นน่ะหรือ แม้จะไม่นิ่งไปสักหน่อย แต่รู้หนังสือ ท่องหนังสือและเขียนตัวอักษรได้เหมือนกับผิงอันทุกอย่างไม่มีบกพร่อง ไม่แย่ไปกว่าบัณฑิตที่เข้าเรียนมาหนึ่งปีหรือสองปีเลย แม้อายุจะมากไปนิด แต่ตามสติปัญญาของทั้งสองคนอยู่กลุ่มให้ความรู้ในระดับที่สูงขึ้นหนึ่งปี น่าจะสามารถเลื่อนขั้นไปยังอีกกลุ่มได้แล้ว
โรงเรียนส่วนตัวจะหยุดทุกสิบวัน เวลาปกติสองพี่น้องล้วนรู้ความอย่างมาก เลิกเรียนกลับบ้านมายังช่วยทำงานเล็กน้อย หลังทานอาหารเย็นเสร็จก็เริ่มทำการบ้านที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้จนเสร็จลุล่วง
“สองพี่น้องนี่รู้ความจริงๆ ไปเรียนกลับมายังช่วยที่บ้านทำงาน น้องสะใภ้ เ้าช่างมีวาสนาจริงๆ มีบุตรสาวบุตรชายหนึ่งคู่ที่เฉลียวฉลาดแล้วยังรู้ความอีก ทำให้ผู้ใหญ่เช่นพวกเ้าสบายใจได้แล้วจริงๆ” ผู้ที่กล่าวคือจางซื่อผู้เป็ภรรยาของเจิ้งซวงหลิน น้ำเสียงมีความอิจฉาเล็กน้อยและมีความปีติยินดีซ่อนอยู่
ในมือจางซื่อกำลังกรอกกุนเชียงอย่างคล่องแคล่ว นางมาช่วยงานสกุลหูได้ห้าวันแล้ว งานนี้คุ้นเคยอย่างมาก ตอนเช้าหนึ่งชั่วยาม ตอนบ่ายอีกหนึ่งชั่วยาม ค่าตอบแทนวันละสิบเหวิน
“เด็กครอบครัวยากจนดูแลงานในบ้านนานแล้ว สิ่งเหล่านี้ทุกคนล้วนเหมือนกัน เอ้อร์หนิวบ้านท่านก็เป็เด็กดีเช่นกัน อายุเพียงน้อยนิดก็ช่วยท่านดูแลทั้งบ้านได้หมดแล้ว” หลี่ซื่อยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน
ที่นางกล่าวเป็ความจริงทั้งนั้น จางซื่อมาช่วยงานที่บ้านสกุลหู ที่บ้านมีเพียงเอ้อร์หนิวที่พกพาซานนีอยู่ติดตัว เอ้อร์หนิวทั้งต้องดูแลซานนี ทั้งต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่และเลี้ยงกระต่าย เด็กชายอายุสิบปีสามารถทำงานนี้ได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เจิ้งเถี่ยหนิวบุตรชายคนโตของจางซื่อ ตอนอายุสิบสองก็เริ่มฝึกงานในร้านช่างตีเหล็กแห่งหนึ่งในอำเภอ โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีค่าตอบแทนสามปี เพียงมอบเงินไม่กี่เหวินเป็เงินพิเศษใน่ปีใหม่และวันเทศกาล เจิ้งเถี่ยหนิวทำมาได้สองปีแล้ว การใช้ชีวิตของเด็กฝึกงานในร้านทุกข์ยากอย่างมาก เป็งานที่ต้องใช้แรง ในร้านทั้งสกปรกและเหนื่อย ล้วนเป็งานของเด็กฝึกงาน ทำไม่ดีโดนด่าเป็เื่เล็ก ถูกตีล้วนเป็เื่ที่เกิดขึ้นปกติ จำนวนครั้งที่กลับบ้านใน่เวลาสองปีสามารถนับได้ด้วยฝ่ามือเดียว
เจิ้งชุนฮวาบุตรสาวคนโตของจางซื่อแต่งงานออกไปนานแล้ว เจิ้งจวี๋ฮวาบุตรสาวคนที่สองตอนอายุเจ็ดปีกลับเสียชีวิตั้แ่เยาว์วัยด้วยอาการป่วยรุนแรง
ปัจจุบันนี้ในบ้านนางมีเพียงเอ้อร์หนิวและซานนีเด็กสองคนที่อยู่บ้าน
จางซื่อฟังแล้วอดหัวเราะตาหยีไม่ได้ “ต้องเป็เช่นนั้นสิ หากไม่ใช่ว่าที่บ้านมีเอ้อร์หนิวดูแล ข้าคงหาเวลาว่างออกมาช่วยครอบครัวเ้าทำงานไม่ได้จริงๆ”
เจิ้งซวงหลินอยู่ทางเข้าหมู่บ้านปลูกบ้านให้สกุลหู จางซื่ออยู่ท้ายสุดของหมู่บ้านกรอกไส้ให้สกุลหู สามีภรรยาหาค่าตอบแทนสองส่วน คนในหมู่บ้านล้วนอิจฉาตาร้อนกันเลยทีเดียว
เจิ้งซวงหลินหนึ่งวันได้เงินสิบสองเหวิน จางซื่อหนึ่งวันได้เงินสิบเหวิน สองคนหนึ่งวันก็สามารถหาเงินได้ยี่สิบสองเหวิน สิบวันก็มีสองร้อยยี่สิบเหวิน หากสามารถทำได้หนึ่งเดือน เช่นนั้นก็เป็หกร้อยหกสิบเหวินเลยเชียวนะ เงินเหล่านี้ล้วนเพิ่มรายได้ให้พวกเขาไปหลายเดือนเลย จะไปหางานที่ดีเช่นนี้ได้จากไหนอีก
จางซื่อเป็คนซื่อสัตย์จริงใจผู้หนึ่ง นางรู้สึกขอบคุณสกุลหูจากก้นบึ้งของหัวใจ สกุลเจิ้งอยู่ในหมู่บ้านวั้งหลินก็ยากจนมากเช่นกัน สองสามปีก่อนเพราะบุตรสาวคนรองป่วยหนักจึงติดค้างหนี้ไว้ไม่น้อย ผลสุดท้ายคนยังไม่สามารถช่วยชีวิตกลับมาได้ เงินก็จ่ายไปมากมายแล้ว จนถึงบัดนี้ยังมีจำนวนนิดหน่อยที่ยังไม่สามารถใช้คืนได้
ครานี้ หากสามารถทำงานได้ระยะหนึ่ง หนี้สินเหล่านี้น่าจะสามารถคืนได้ทั้งหมด
จางซื่อแอบใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดหางตา การกระทำในมือก็ยิ่งเพิ่มความคล่องแคล่วขึ้น