จิ่งเซิ้งเดินส่ายไปส่ายมาจนมาถึงตรงหน้าคนทั้งสอง ฟันขาวทั้งปากส่องประกาย “พวกเ้าสองคนคุยกันเสร็จหรือยัง?”
หวางฮวายเหล่ยยังมีเื่อยากสอบถามอีกมาก แต่ท่าทางของจิ่งเซิ้งนั้นชัดเจนว่าต่อให้พวกเขาทั้งสองยังอยากซุบซิบกันอีกก็จะคอยยืนฟังอยู่ข้างๆ เขาจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ สายตาอดมองไปทางอ๋าวหรานหลายครั้งไม่ได้ “ไม่...ไม่มีอะไร ข้า...ก็แค่เมื่อก่อนเคยพบกับคุณชายอ๋าว จึงมารำลึกความหลังกันสักหน่อย”
จิ่งเซิ้งพยักหน้าราวกับเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ทำท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ
หวางฮวายเหล่ยนิ่งไป เห็นว่าคงถามอะไรต่อไม่ได้แล้วจึงรีบพูดเสียยืดยาวว่า “พี่อ๋าว จิ่งเซิ้ง ข้า...ต้องขอตัวก่อน พวกเ้าคุยกันไปเถิด”
จิ่งเซิ้งเลิกคิ้วยิ้มๆ ราวกับมองความ 'ไม่อยากไป' ของเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหวางฮวายเหล่ยไปแล้ว จิ่งเซิ้งก็ยิ้มแล้วมองอ๋าวหราน “เ้าไปสนิทกับเด็กอย่างเ้าหวางฮวายเหล่ยนี่ั้แ่เมื่อไร?”
อ๋าวหรานหัวเราะเย็นเยียบออกมาหนึ่งเสียง ถามกลับว่า “แล้วข้าไปสนิทกับเด็กอย่างเ้าั้แ่เมื่อไร? ถึงทีเ้ามายุ่งด้วยั้แ่เมื่อไร?”
จิ่งเซิ้งมุมปากกระตุก สายตามีแววโกรธเกรี้ยว “เ้านี่ความจำไม่ดีล่ะสิ อยู่ใต้ดินน้อยไปหน่อยหรือ หรือว่าโรยหญ้าว่านชุนน้อยเกินไป?”
อ๋าวหรานเหยียดริมฝีปาก “จิ่งเซิ้ง แต่ก่อนข้าอดทนยอมเ้ามาหลายครั้งแล้ว เ้าก็อย่าได้คืบจะเอาศอกเกินไป หากข้าอยากจะซัดเ้าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”
จิ่งเซิ้งรู้ดีว่าตนไม่สามารถสู้เขาได้จึงอดรู้สึกโกรธเคืองทำเป็ฮึดฮัดไม่ได้ ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แล้วยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนและไม่จริงจัง “ได้ยินว่าวันนั้นเ้าถูกจิ่งฝานช่วยกลับไป”
อ๋าวหรานหรี่ตา “แล้วอย่างไร? เ้าคิดว่าทุกคนล้วนเหมือนกับเ้า วันๆ เอาแต่กระทำผิดอย่างเหิมเกริมหรือ? เป็ลูกหลานตระกูลจิ่งเหมือนกัน ได้รับการศึกษาเหมือนกัน แต่นิสัยกลับไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย”
จิ่งเซิ้งได้ยินก็ยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม ไฟในดวงตาคู่นั้นราวกับเติมฟืนเข้าไปจนโหมลุกไหม้ก็ไม่ปาน เ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนที่จะทนโดนเอาเปรียบหรือถูกเหยียดหยามได้ คำพูดเหยียดหยามของอ๋าวหรานนี้...แน่นอนว่าต้องทำให้เขาไม่อาจทนรับได้จึงยกหมัดพุ่งเข้าใส่อ๋าวหราน ซึ่งหมัดนั้นก็หอบลมพัดดังฮูๆ ตามไปด้วย ชัดเจนว่าลงมือหนักยิ่ง อ๋าวหรานไม่หลบไม่หลีก ตอนที่เขาส่งหมัดมานั้นก็ยื่นมือไปจับไว้ทันที
จิ่งเซิ้งพยายามดึงมือกลับอยู่เป็นานก็ไม่เป็ผล รู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก “ปล่อยนะ!”
อ๋าวหรานหัวเราะเบาๆ “ดูเอาเถิด ไม่เพียงนิสัยไม่ได้เื่ แม้แต่วรยุทธ์ก็ยังอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ บอกมาว่าวันๆ เ้าเอาแต่ทำเื่โอหังอะไรอยู่? ชาติตระกูลหรือ? เ้าคิดจะพึ่งพาวงศ์ตระกูลไปตลอดชีวิตเลยหรืออย่างไร? หรือตั้งใจจะอาศัยพึ่งพิงพ่อกับพี่ชายเ้าไปตลอดชีวิต?”
จิ่งเซิ้งมีสีหน้าบิดเบี้ยวแล้ว “เ้าพูดอีกรอบดูสิ!”
อ๋าวหรานเลิกคิ้ว “ทำไม รอบเดียวยังฟังไม่พอหรือ? ถึงแม้เ้ายังฟังไม่พอ แต่ข้ากลับไม่สนใจจะพูดอีกรอบ”
จิ่งเซิ้งดูเหมือนว่าจะโกรธขึ้นมากจริงๆ เขากลับมีแรงมากอย่างน่าใจนสามารถดึงหมัดออกจากมือของอ๋าวหรานได้ จากนั้นก็รวบรวมพลังอีกแล้วซัดไปทางอ๋าวหราน แต่ครั้งนี้อ๋าวหรานกลับเอียงตัวหลบ จิ่งเซิ้งจึงพุ่งเข้าหาเพียงความว่างเปล่า ซวนเซอยู่ทีหนึ่ง ฝืนยืนให้มั่นคงแล้วก็หันมาจ้องอ๋าวหรานอย่างโเี้ ดูท่าทางไม่ยอมเลิกราแน่
อ๋าวหรานพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ยังจะสู้อีกหรือ? มีงานประลองพอดิบพอดี ไปสู้กันบนเวทีนั่นดีหรือไม่?”
จิ่งเซิ้งกัดฟัน “เ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?”
อ๋าวหรานพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์ “ก็คิดเช่นนั้นแล”
“เ้า!”
อ๋าวหราน “เ้าสู้ข้าไม่ได้ ปกติก็ทำได้เพียงใช้ลูกไม้ต่ำๆ เท่านั้น การประลองอย่างเป็ทางการเช่นนี้ อย่างเ้าก็คงทำได้เพียงมองดูผู้อื่นประลองอยู่ด้านล่างเวทีเฉกเช่นคนนอกก็ไม่ปาน”
จิ่งเซิ้งโกรธจนขนคิ้วสั่นไหว “อ๋าวหราน!”
อ๋าวหรานกลับไม่แยแสความโกรธของเขา ยังคงพูดเรียบๆ เหมือนเดิมว่า “ต่อให้เ้าอยากประลอง เกรงว่าคงทนได้ไม่เท่าไรก็ถูกซัดลงมาแล้ว เฮ้อ พูดถึงตรงนี้ ข้ายังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย วรยุทธ์เ้าอยู่อันดับที่เท่าไรของตระกูลจิ่งหรือ? คงไม่ใช่ต้องนับจากอันดับท้ายๆ หรอกใช่หรือไม่?”
จิ่งเซิ้งใช้เท้าหักท่อนไม้ที่อยู่บนพื้น ถือไว้ในมือแล้วพุ่งเข้าใส่อ๋าวหรานทั้งตัว วันนี้อ๋าวหรานพกกระบี่มาด้วย กระบี่นี้ก็คือกระบี่ที่จิ่งฝานให้มาตอนที่เพิ่งมาถึงหมู่บ้านสกุลจิ่งใหม่ๆ เขานับว่าหวงแหนยิ่ง เช็ดถูอย่างสม่ำเสมอ แค่จัดการเ้าเด็กโง่จิ่งเซิ้งกับท่อนไม้กากๆ นี่ อ๋าวหรานแม้แต่กระบี่ก็ยังไม่คิดดึงออกมา ใช้แค่ฝักกระบี่กันไม้นั่นเอาไว้ “เ้าไปเอากระบี่มาก่อนแล้วเราค่อยสู้กัน ข้าไม่เหมือนเ้า ข้าไม่ชอบรังแกคนที่ในมือไร้อาวุธเหล็ก”
จิ่งเซิ้งโกรธจนควันออกจมูก หน้าอกสะท้อนขึ้นลง แววตาเหี้ยมโหด แต่ไม่เหมือนยามปกติที่ดูเกรี้ยวกราดเวลาทำเื่ชั่ว กลับดูมีความแน่วแน่เพิ่มขึ้นอยู่หลายส่วน “เช่นนั้นเ้ารอก่อน!”
อ๋าวหรานพยักหน้า “พวกเราค่อยไปเจอกันบนเวที”
จิ่งเซิ้ง “เ้าอยากจะพูดแบบนี้อยู่นานแล้วสิ รอให้ข้าติดกับ...ยอมตกลงสู้กับเ้าบนเวทีประลอง”
อ๋าวหรานไม่ปฏิเสธ “ทำไม กลัวหรือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถูกซัดน่วมอยู่แล้ว มีอะไรต้องกลัวกัน”
จิ่งเซิ้ง “เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เ้าไม่ได้อยู่ดี!”
อ๋าวหราน “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
อยากจะซัดเ้าเด็กนี่เต็มที แค่คิดก็คันไม้คันมือแล้ว
จากนั้นอ๋าวหรานก็พูดอีกว่า “หากว่าข้าจับฉลากไม่ได้เ้า เ้าก็คงจบแล้ว ถ้าเช่นนั้น...”
จิ่งเซิ้งส่งเสียงดังเฮอะออกมาเสียงเย็น “เื่นี้ไม่ต้องลำบากเ้ากังวล ข้าย่อมมีวิธีทำให้เ้าจับฉลากได้ข้า”
อ๋าวหรานคิดจะพูดว่า 'หากไม่ได้พบกันเลย เช่นนั้นก็รอจนการประลองสิ้นสุดลงค่อยส่งคำท้าแล้วกัน' กลับไม่คิดว่าจะถูกจิ่งเซิ้งแทรกขึ้นมา อ๋าวหรานอดอึ้งไปไม่ได้ “การจับฉลากนั้นขึ้นอยู่กับดวง เ้าโกงได้หรือ?”
จิ่งเซิ้งหาได้สนใจความสงสัยของเขาไม่ ทิ้งไม้ในมือแล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เ้ารอความตายไปก็แล้วกัน”
อ๋าวหรานหมดคำจะพูด เ้าเด็กนี่เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน
แต่ว่าเื่จับฉลาก...เหตุใดจิ่งเซิ้งถึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้ว่าอ๋าวหรานจะจับได้เขา หรือว่าสามารถจัดการควบคุมจากที่ลับได้?
อ๋าวหรานในใจรู้สึกตกตะลึง งานประลองครั้งนี้เป็จิ่งเหวินซานจัดการทั้งหมด แค่ควบคุมเื่การจับฉลากเสียหน่อยคงไม่ใช่เื่ยากกระมัง หรือจิ่งเซิ้งจะรู้อะไรมา? หรือว่าแค่ขอร้องจิ่งเหวินซานก็สามารถทำให้เขาจับโดนตัวเองได้แล้ว
หากว่าเขาอยากให้จิ่งเคอชนะก็แค่ทำให้เขาจับฉลากได้ลูกหลานตระกูลจิ่งที่อ่อนแอในทุกรอบ สุดท้ายอย่างน้อยก็คงได้อันดับต้นๆ แต่ได้อันดับต้นๆ แล้วอย่างไร เขารับประกันได้หรือว่า 'อันดับต้นๆ นี้' จะสามารถเหนือกว่าจิ่งฝานได้?
เช่นนั้นเขาจะจัดการจิ่งฝานอย่างไร? อ๋าวหรานยิ่งคิดก็ยิ่งใ วรยุทธ์ของจิ่งฝานวันนั้น...หวางฮวายเหล่ยกับจิ่งเคอล้วนเห็นแล้ว เขาไม่เชื่อว่าจิ่งเคอจะไม่กลับไปรายงานจิ่งเหวินซาน ต่อให้จัดให้จิ่งฝานสู้กับพวกหลัวฉี่ จิ่งเหวินซานจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจิ่งฝานจะสู้พวกหลัวฉี่ไม่ได้?
ตกลงว่าแท้จริงแล้วจิ่งเหวินซานคิดจะทำอะไรกันแน่?
อ๋าวหรานอดกังวลเล็กน้อยไม่ได้ ถึงแม้จะบอกว่าจิ่งฝานเป็หลานแท้ๆ ของจิ่งเหวินซาน แต่อ๋าวหรานไม่อาจรับประกันได้อย่างแท้จริงว่าจิ่งเหวินซานจะไม่ทำร้ายจิ่งฝาน อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีอะไร ในนิยายต้นฉบับ เมื่อตระกูลจิ่งพบเจอภัย เขาก็เลือกที่จะรักษาชีวิตไว้โดยผลักจิ่งฝานออกไป แม้จะบอกว่าบทสรุปสุดท้ายไม่ได้ตายดี แต่เขาก็ยังดูออกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะสนใจความสัมพันธ์ญาติมิตรแต่อย่างใด
อ๋าวหรานกัดฟัน ตัดสินใจว่าจะไปสืบดูที่เรือนตะวันออกสักเล็กน้อย พอดีถือโอกาสที่จิ่งเซิ้งไปหาจิ่งเหวินซาน ไม่แน่อาจจะได้ยินอะไรมาก็เป็ได้ ไม่รู้ว่าจะสามารถเข้าไปในเรือนตะวันออกได้หรือไม่ หวังว่าการคุ้มกันของเรือนจิ่งเหวินซานในวันนี้จะหย่อนยานอยู่บ้าง
แม้อ๋าวหรานจะยังไม่เคยมาที่เรือนตะวันออก แต่ก็พอรู้ตำแหน่ง พอดีว่าสองสามวันมานี้คนในหมู่บ้านมีมากมาย อ๋าวหรานอาศัยฝูงคนที่เดินไปเดินมาแฝงตัวเข้าไป ไม่นานก็ไล่ตามจิ่งเซิ้งทัน เ้าเด็กนี่ฝีเท้านับว่าค่อนข้างรีบร้อน คาดว่าคงยังโกรธเคืองคำพูดนั้นของอ๋าวหรานอยู่จึงเดินอย่างตะบึงตะบอนไปตลอดทาง คนที่เจอเขาก็รีบหลบไปอย่างรวดเร็วจะได้ไม่ต้องไปเจอเื่ลำบากเข้า อ๋าวหรานทำท่าทางสบายๆ เดินตามหลังเขาไปอย่างไม่ใส่ใจ โชคดีที่เ้าเด็กนี่ไม่มีความสามารถรับรู้ถึงตัวตนเขาได้ จึงถือว่าราบรื่นมาตลอดทาง
ป่าที่หวางฮวายเหล่ยกับอ๋าวหรานนัดกันนั้นค่อนข้างห่างจากเรือนตะวันออก อ๋าวหรานเดินตามจิ่งเซิ้งอยู่ครึ่งชั่วยามจึงมาถึง กำแพงล้อมของเรือนตะวันออกสูงมาก ก็ต้องเป็เช่นนั้นอยู่แล้ว จิ่งเหวินซานผู้ที่ในหัวมีแต่แผนการนู่นนี่เต็มไปหมด...ไม่มีทางที่จะเปิดเผยรังของตัวเองให้ผู้อื่นได้เห็นอยู่แล้ว อ๋าวหรานแนบตัวไปกับกำแพง จับความรู้สึกอยู่นานก็จับอะไรไม่ได้เลยจึงบินขึ้นไปบนกำแพง ส่วนจิ่งเซิ้งนั้นเดินอย่างเปิดเผยอยู่ในเรือน
ถึงแม้อ๋าวหรานจะเคยได้ยินจิ่งเซียงพูดถึงมาก่อนว่าเรือนของลุงใหญ่ของนางนั้นตกแต่งอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่คิดว่าจะหรูหราฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ วันนี้ได้มาเห็นแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ดูหรูหรางดงามมากจริงๆ แค่ดูก็รู้แล้วว่าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ทั้งเรือนนี้จึงเต็มไปด้วยพันธ์ุไม้หายาก สวนถาดมีน้ำไหล งดงามโดดเด่น
อ๋าวหรานสายตามองไปหกถนน หูฟังไปแปดทาง1 เมื่อััได้ว่าไม่มีคนอยู่แล้วจึงะโลงจากกำแพง การที่มีูเาหินจำลองเป็ของตกแต่งเยอะๆ เช่นนี้ก็มีข้อดี ช่วยให้คนที่ทำเื่ลับๆ ล่อๆ อย่างเขาทำงานสะดวกขึ้น แต่ไม่ว่าจะสะดวกอย่างไรก็ต้องระมัดระวังคนคุ้มกันให้ดี อีกทั้งเด็กรับใช้ที่ผ่านไปมาก็มีไม่น้อย อ๋าวหรานระมัดระวังอย่างเต็มที่ เกรงว่าจะหลงกับจิ่งเซิ้งเข้า โชคดีเพียงอย่างเดียวคือไม่ได้พบกับพวกยอดฝีมือเลย คงคิดกันว่านี่เป็เรือนพักของจิ่งเหวินซาน...ไม่มีทางที่ใครจะบุกเข้ามาอย่างเปิดเผยหรอก หรือไม่ก็คงยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานประลองจึงส่งคนออกไปหมดแล้ว
อ๋าวหรานเดินอ้ะวันออกทีตะวันตกทีตามจิ่งเซิ้งไป จนกระทั่งมาถึงเรือนด้านใน เรือนด้านในดูงดงามโดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด คนคุ้มกันก็มีมากขึ้น อ๋าวหรานเดินหนึ่งก้าวหยุดสามก้าว เดินไปอย่างเปลืองสมองยิ่ง
โชคดีที่ผ่านไปไม่นานจิ่งเซิ้งก็หยุดลงตรงหน้าประตูแล้วเคาะ อ๋าวหรานดีใจ นี่คงจะเป็ห้องของจิ่งเหวินซานแล้ว
ในห้องเหมือนจะมีคนตอบ จิ่งเซิ้งจึงผลักประตูเข้าไป
อ๋าวหรานถือโอกาสที่ไม่มีคนตีลังกาขึ้นไปบนหลังคา การเก็บเสียงภายในดีมาก ไม่มีเสียงพูดแม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงยกกระเบื้องบนหลังคาออก แต่ก็ยังเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่เช่นเดิม เขาอดค่อนแคะไม่ได้ ที่เคยเห็นในหนังซีรีส์นั้นล้วนหลอกลวงคนแล้ว เขาไม่ได้ยินสักนิดเดียว
เมื่อทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงตีลังกาลงมาทางด้านหลังห้อง พอดีตรงนี้มีหน้าต่างอยู่หลายบาน อ๋าวหรานประชิดตัวเข้าไปอย่างแ่เบา อยู่ใกล้ข้างหน้าต่างเช่นนี้อย่างน้อยก็พอได้ยินเสียงพูดบ้างแล้ว อ๋าวหรานแทบไม่กล้าหายใจหรือขยับเขยื้อนใดๆ
“พ่อ ท่านให้ข้าจับได้เขาไม่ได้หรือ?”
เป็เสียงของจิ่งเซิ้งนั่นเอง
“ข้าได้ยินพี่ใหญ่เ้าบอกว่าเ้าสู้เ้าเด็กแซ่อ๋าวนั่นไม่ได้แม้แต่น้อย เ้าจะเข้าไปร่วมทำอะไร?”
ในน้ำเสียงของจิ่งเหวินซานเต็มไปด้วยความรำคาญ
“ท่านจะสนทำไมว่าข้าจะชนะเขาได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องได้คู่กับเขา...ข้ารู้ว่าท่านมีวิธี...”
อ๋าวหรานอดค่อนแคะไม่ได้ เ้าเด็กนี่...คำพูดของเ้าเด็กนี่ค่อนข้างกำกวม ราวกับว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนดีมากอย่างนั้นแหละ
“เอาละๆ รู้แล้ว เ้าออกไปก่อนเถิด ข้ายังมีเื่สำคัญต้องสั่งการ...”
จิ่งเซิ้งได้รับการรับรองเช่นนั้นก็คร้านจะรั้งอยู่ต่อ อ๋าวหรานได้ยินเสียงฝีเท้าเขาจากไปไกลแล้วตามมาด้วยเสียงเปิดปิดประตู ในใจอดรู้สึกดูถูกไม่ได้ จิ่งเหวินซานอายุปูนนี้แล้วยังทำตัวเป็ผู้ใหญ่ที่ไม่น่าเคารพ เพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลกลับกระทำการฉวยโอกาสเช่นนี้ นับเป็ดอกไม้ประหลาดดอกหนึ่งจริงๆ2
แต่ว่าเขายังมีอะไรให้สั่งการอีก? อย่าบอกนะว่าเป็เื่ทำร้ายคนอีกแล้ว
หูของอ๋าวหรานแนบไปกับหน้าต่าง หายใจแ่เบาคล้ายมีคล้ายไม่มี
จิ่งเหวินซาน “ยังหาอาลิ่วไม่เจออีกหรือ?”
อ๋าวหรานอดคาดเดาไม่ได้ว่าอาลิ่วเป็ผู้ใด? ในใจนึกสงสัย จากนั้นก็มีอีกคนหนึ่งตอบว่า “ไม่เจอขอรับ ส่งคนคุ้มกันลับไปหลายคนแล้ว แม้แต่เงาก็ยังหาไม่เจอ”
คนผู้นี้น้ำเสียงทุ้มต่ำ ในความเคารพนอบน้อมมีความลังเลอยู่เล็กน้อย
“ปัง...”
อ๋าวหรานถูกเสียงนี้ทำให้ใจนแทบจะะโ รีบเก็บอาการลุกลี้ลุกลนลง ไม่กล้าขยับส่งเดช ทำได้เพียงฟังเสียงเกรี้ยวกราดของจิ่งเหวินซานที่สูงขึ้นหลายระดับจากด้านใน “แค่คนคนเดียวยังหาไม่เจอ! มีเ้าไว้ทำอะไร? จิ่งเซิ้งไม่ใช่บอกว่าเห็นเขากับตาแล้วหรือ? คนเป็ๆ จะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร!”
ถึงแม้อ๋าวหรานจะไม่รู้ว่าอาลิ่วเป็ผู้ใด แต่เขาก็อดรู้สึกขอบคุณคนผู้นี้สักหน่อยไม่ได้ ฟังจากที่จิ่งเหวินซานพูดแล้ว คนในเรือนของเขามีหลายคนที่ออกไปตามหาคนผู้นี้จึงมีที่ว่างให้เขาได้ยืนพอดี
แล้วคนอีกผู้ก็พูดว่า “ข้าน้อยเดาว่าอาลิ่วคงเจออันตรายเข้า ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่หายไปอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้”
จิ่งเหวินซานเหมือนจะส่งเสียงดังหึออกมาทีหนึ่ง “ข้าจะรู้หรือ? แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คนเป็ต้องเห็นคน ตายแล้วต้องเห็นศพ!”
คนผู้นั้นรีบตอบรับว่า ‘ขอรับ’
เมื่อเงียบไปพักหนึ่ง จิ่งเหวินซานก็ราวกับทำน้ำเสียงให้สงบลงได้แล้ว “เื่นี้เอาไว้ทีหลัง ทางด้านหวาหวาจิ่วนั่นเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”
อ๋าวหรานงุนงง หวาหวาจิ่วนี้เป็ผู้ใดอีก?
“นายท่านโปรดวางใจ รับรองว่าไม่มีพลาด จะต้องให้จิ่งฝานจับได้เขาอย่างแน่นอน”
อ๋าวหรานแค่ได้ยินว่าจิ่งฝานก็หูผึ่งขึ้นมาทันทีจึงเพ่งสมาธิไป
จิ่งเหวินซานดูเหมือนจะพอใจ ส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง “คนอื่นๆ ที่เหลือเล่า?”
“จัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”
คนอื่นๆ ที่เหลืออะไรกัน? ล้วนเอามาจัดการจิ่งฝานทั้งหมดเลยหรือ? อ๋าวหรานแนบหูไปกับหน้าต่าง พยายามรวบรวมสมาธิ แต่ที่คนทั้งสองพูดมาประมาณสองสามประโยคนี้ เขาเอามารวมเข้าด้วยกันไม่ได้เพราะไม่เข้าใจจริงๆ
โชคดีที่จิ่งเหวินซานพูดขึ้นมาอีกประโยคว่า “ครั้งนี้ต้องทำให้จิ่งฝานกลับมาไม่ได้อีก หึ! ข้าไม่เชื่อว่าต่อให้เขาจะเก่งกาจเพียงใด ยังจะสามารถเอาชนะหวาหวาจิ่วได้หรือ?”
อ๋าวหรานได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง หวาหวาจิ่วฟังดูแล้วน่าจะเป็คน แต่ในรุ่นราวคราวเดียวกันนี้ยังจะมีใครร้ายกาจอีก...ถึงขนาดทำให้จิ่งเหวินซานแน่ใจได้ว่าจิ่งฝานไม่มีทางสู้ได้อย่างแน่นอน
หวาหวาจิ่ว...ยังมีคนแซ่นี้นามนี้ด้วยหรือ?
อ๋าวหรานอยากรู้ว่าจิ่งเหวินซานจัดให้เ้าหวาหวาจิ่วนี้อยู่รอบไหน น่าเสียดายที่บทสนทนาของทั้งสองจบลงเพียงเท่านี้แล้ว
“นายท่านควรไปสนามประลองได้แล้วล่ะขอรับ สายมากแล้ว”
อ๋าวหรานไม่ได้ยินคำตอบของจิ่งเหวินซาน แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดประตู คาดว่าคงออกไปทั้งสองคน อ๋าวหรานไม่กล้าขยับตัวส่งเดชและยังไม่กล้าออกไปเพราะเกรงว่าจะโผล่ไปปะทะกันเข้า จึงนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าต่างอย่างนั้นจนถึงครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งแน่ใจได้ว่าคนทั้งสองจะไม่กลับมาแล้ว อ๋าวหรานจึงบีบนวดขาที่ชา หลบพวกผู้คุ้มกันแล้วรีบเล็ดลอดออกไปทันที
เชิงอรรถ
สายตามองไปหกถนน หูฟังไปแปดทาง1 หมายถึงใช้หูและตาสอดส่องไปทั่ว
นับเป็ดอกไม้ประหลาดดอกหนึ่งจริงๆ2 (奇葩一朵)หมายถึงคนประหลาดและการกระทำที่ทำให้คนพูดไม่ออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้