“ดินแดนทางใต้เกิดภัยพิบัติ เมืองหนานชิงตั๊กแตนระบาดทำลายพืชผลทางการเกษตร แม่น้ำฮวยเอ่อล้น ดินถล่มน้ำทะลักท่วมอู่หลิง ราชสำนักเคยให้ความช่วยเหลือหรือไม่? ราชวงศ์ใต้ถอยร่นจนแทบติดดินแดนอันหนาน [1] ราชวงศ์เหนือรุกล้ำดินแดนไม่เว้นว่าง ชาวฮั่นพลัดถิ่น บิดามารดาพลัดพรากจากบุตร สามีพลัดพรากจากภรรยา แมลงน้อยใหญ่ทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหาย ราษฎรทุกหนแห่งอดอยากปากแห้ง ราชสำนักเคยหาหนทางแก้ไขหรือไม่? ตระกูลขุนนางกุมอำนาจ พุทธเต๋าแพร่หลาย ขุนนางน้อยใหญ่เอาแต่วิจารณ์วรรณกรรม ไม่สนใจการเกษตร ท้องพระคลังว่างเปล่า ตระกูลร่ำรวยที่ดินหลายพันหมู่ ส่วนประชาชนแทบไม่มีที่ยืน ราชสำนักเคยเห็นใจหรือไม่? โรคร้ายเรื้อรังหลายร้อยปี มีเพียงคนเลี้ยงไข้ ไม่มีผู้ใดคิดจะตัดเนื้อร้ายนี้ทิ้ง หากปล่อยให้เป็เช่นนี้ต่อไปโรคร้ายจะลามเข้าไปถึงไขกระดูก”
เฉินปั๋วถามต่อ “ท่านมาพูดเื่พวกนี้กับข้าเพื่อสิ่งใด”
“ข้ารู้ว่าฝู่จวินทราบเื่พวกนี้ดีอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่เขียนฎีกาพวกนั้น หากมิใช่เพราะฎีกาของท่าน โหวอิงคงไม่มีเหตุให้มาพบท่านในวันนี้ ยามนี้ใต้หล้าโกลาหล และคงไม่สิ้นสุดในสิบปียี่สิบปีนี้เป็แน่ ต้นเพลิงนี้คงเกิดจากที่ใดสักแห่ง”
โหวอิงอธิบายต่อ “สิ่งที่ข้า้าจะพูดก็คือ ไม่ว่าต้นเพลิงนี้จะเกิดจากที่ใดก็ตาม มันจะต้องไม่เกิดจากมือท่าน เฉินฝู่จวิน กาลเวลายาวนานนับหมื่นปี ประวัติศาสตร์คงอยู่นิจนิรันดร์”
“แล้วความโกลาหลเกิดขึ้นที่ใด?”
“เกิดขึ้นตรงหน้า”
“แล้วจะเริ่มแก้ไขความโกลาหลจากที่ใด?”
“เริ่มแก้ไขจากปัญหาที่อยู่ตรงหน้า”
ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง รู้กันดีว่ากำลังพูดถึงคดีความที่เป็ปัญหาอยู่ตอนนี้ ความขัดแย้งระหว่างตระกูลขุนนางกับวัดพุทธส่งผลกระทบต่อคนนับไม่ถ้วน ชาวบ้านยากไร้ขาดแคลนอาหารเครื่องนุ่งห่มมานาน เก็บงำความขุ่นเคืองไว้ในใจมาโดยตลอด ปัญหาเล็กน้อยอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา โหวอิงช่างมาได้เหมาะเจาะ เพราะตอนนี้เฉินปั๋วกำลังจะออกไปไกล่เกลี่ย
“ท่านช่วยอธิบายให้ละเอียดกว่านี้หน่อย”
“ข้าเห็นฝู่จวินแต่งตัวเต็มยศ กำลังจะออกไปข้างนอกหรือ?”
“ท่านคาดเดาได้ไม่ผิด เราไปด้วยกันเถิด จะได้พูดคุยระหว่างทาง”
......
“พระอาจารย์ฝ่าคง เื่ของเมื่อวานก็คือเื่ของเมื่อวาน ไม่เกี่ยวอันใดกับคดีความที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้บุตรชายของข้าต้องทุกข์ทรมานในศาลเพราะคำร้องเรียนของท่าน เขากำลังจะตายอย่างไม่ยุติธรรม พอถึงยามนั้นข้าคงทำได้เพียงตายตามเขาไป และศพเราจะต้องฝังที่สุสานบรรพชน ข้าให้ท่านอาจารย์จางช่วยคำนวณดูแล้วว่าวันนี้ฤกษ์ดีเป็วันมงคล ข้าจึงมาขุดหลุมของเราสองพ่อลูกไว้ก่อน ขุดเสร็จแล้วข้าถึงจะยืดคอให้ท่านบั่น!” หลิวเวยในชุดไว้ทุกข์รับพลั่วจากบ่าวข้างกาย ตั้งใจขุดดินด้วยตัวเอง
“อมิตาพุทธ ช้าก่อนประสกทั้งหลาย” พระอาจารย์ฝ่าคงเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยนามพระพุทธองค์ “คุณชายหลิวยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดกล่าวถึงความตายเสียแล้ว อีกทั้งพระพุทธองค์ทรงเมตตาคนดีมีคุณธรรม ป่าสนหลังวัดนี้มีหลุมศพผู้คนนับไม่ถ้วน แม้แต่ศพไร้ญาติก็ฝังไว้ที่นี้ได้”
ฝ่าคงไม่สนใจคำพูดของหลิวเวย แถมยังตอบกลับแบบไม่ไว้หน้า “แต่สุสานบรรพชนที่ประสกพูดถึง อาตมาไม่เคยได้ยินมาก่อน วัดก่วงจี้อยู่ห่างจากจวนของท่านถึงสิบลี้ ตระกูลท่านมีสุสานบรรพชนอยู่ที่เหอซีด้วยมิใช่หรือ เหตุใดสวนหลังวัดถึงยังเป็สุสานบรรพชนของตระกูลท่านอีก? อีกทั้งในบันทึกพิธีกรรมตลอดห้าสิบปีที่ผ่านมาของอดีตเ้าอาวาสทั้งห้า จวบจนอาตมาจำวัดอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีบันทึกว่าท่านมาเซ่นไหว้ถวายทานให้บรรพชนเลยสักหน หากสุสานบรรพชนของท่านอยู่ที่นี่จริง เหตุใดถึงเป็เช่นนี้? ที่ดินแบ่งตามโฉนด หากวัดนี้เป็ทรัพย์สินของตระกูลท่าน ไหนเล่าโฉนดที่ดิน?”
เอ่ยจบก็ให้สัญญาณมือให้พระหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ถือถาดที่มีสมุดบันทึกหนาหลายเล่มออกมาข้างหน้า
“พระอาจารย์ฝ่าคงวาทศิลป์เป็เลิศ ได้สนทนากับท่านช่างเป็เกียรติยิ่งนัก แต่เหตุใดถึงเล่นลูกไม้ [2] ไม่อายฟ้าดิน เรามิใช่เด็กกันแล้ว ตระกูลหลิวมิได้พึ่งย้ายมาตั้งรกรากที่อำเภอนี้แค่วันสองวัน แต่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน หากท่านลองถามคนท้องถิ่นดู ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าวัดก่วงจี้เป็วัดเล็กๆ ที่ตระกูลหลิวสร้างขึ้นเพื่อปกปักรักษาสุสานบรรพชน”
“ใช่แล้ว! พระอาจารย์ฝ่าคงเดิมทีก็มิได้มีพื้นเพอยู่ที่นี่ ท่านเดินทางไกลจากที่อื่นมาเป็เ้าอาวาสที่วัดนี้ เกรงว่าคงมิทราบเื่เก่าๆ ยิ่งไม่ควรเอาแต่ค้านผู้อื่นหัวชนฝาเช่นนี้!”
“หากข้าจำไม่ผิด ปีที่แล้วคนของวัดยังทำร้ายบ่าวรับใช้ตระกูลหลิวอีกด้วย ทั้งที่เป็เพียงเื่บาดหมางทั่วไป เหตุใดต้องถึงขั้นติดสินบนเ้าหน้าที่เพื่อใส่ร้ายบุตรชายคนอื่น ปล่อยให้เด็กผู้น่าสงสารถูกโบยจนตาย!”
นอกจากหลิวเวยแล้วยังมีประมุขตระกูลใหญ่อื่นๆ มาร่วมด้วย และแน่นอนว่าพวกเขานัดแนะกันมาเรียบร้อยแล้ว ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง คนตกทุกข์ได้ยากหันหน้าพึ่งวัด พวกตระกูลใหญ่้าซื้อที่ดินและแรงงานทาสในราคาถูกๆ ก็ทำไม่ได้ อยากซื้อเก็บไว้แบ่งให้ลูกหลานยามแยกจวน รักษาสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ไม่ใช่เื่ง่าย นับประสาอะไรกับจะนำพาตระกูลสู่ความรุ่งเรือง การที่พุทธศาสนาเป็ที่นิยมมากขึ้น วัดขยับขยายพื้นที่กว้างใหญ่ มันทำให้พวกเขาต้องเสียผลประโยชน์ พวกเขาจึง้าใช้โอกาสนี้ทำให้อิทธิพลของวัดก่วงจี้ลดลง
“ประสกหยาง พวกท่านแต่ละตระกูลมีความสัมพันธ์กัน พวกท่านย่อมต้องเห็นพ้องต้องกัน”
“ประสกสวี่ แม้อาตมามิใช่คนพื้นเพ แต่ก็ทำนุบำรุงวัดแห่งนี้เป็อย่างดี หากทรัพย์สินของวัดสูญหายภายใต้ความดูแลของอาตมา จะไม่เป็การทำให้เ้าอาวาสรุ่นก่อนอับอายหรอกหรือ? แถมอาตมายังมีบันทึกเป็หลักฐานพิสูจน์ได้ เป็เช่นนี้ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าพระต่างถิ่นสวดมนต์เก่งกว่าพระท้องถิ่น [3]”
“ประสกหยวน เื่ปีที่แล้วพูดเมื่อปีที่แล้ว เื่วันนี้พูดวันนี้ อย่างที่ประสกหลิวเคยกล่าวไปก่อนหน้า คดีความที่ผ่านมาแล้วไม่เกี่ยวกัน เื่ของคดีเก่านั้น หากท่านไม่พอใจก็สามารถยื่นอุทธรณ์ให้ศาลพิจารณาใหม่ได้ แต่ตอนนี้บุตรชายของประสกหลิวแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในศาสนสถานของเรา ทำร้ายผู้อื่น เป็ต้นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต อย่างไรเสียท่านก็ช่วยให้คำอธิบายแก่ครอบครัวพวกเขาด้วย”
ฝ่าคงเอ่ยด้วยใบหน้าเปี่ยมรสพระธรรม ทอดสายตามองต่ำดูเหมือนปล่อยวางจากทางโลก เอ่ยโต้แย้งฝ่ายตรงข้ามทีละคน เพ่งหูฟังเสียงจากทิศทั้งหก กวาดสายตาสังเกตผู้คนรอบๆ อย่างถี่ถ้วน จนฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในความงุนงงใ
ด้านชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้องได้ะโเสียงดัง “เราไม่้าคำอธิบาย ขอเพียงชีวิตแลกด้วยชีวิต!”
หลิวเวยโต้กลับอย่างดุเดือด “แลกด้วยชีวิต? ชีวิตพวกเ้ามีค่าไม่ถึงก้วน หากนายอำเภอซานหยางทำให้ทายาทคนโตของตระกูลหลิวต้องตาย พวกเ้าจะชดใช้อย่างไร! ชีวิตของพวกเ้าทั้งหมดยังมิอาจชดใช้!”
“คนก็ยังไม่ตายมิใช่หรือ! รอเขาตายจริงๆ ก่อน ถึงตอนนั้นเราจะจุดประทัดฉลอง!”
“มันจะมากเกินไปแล้ว! พวกเ้าจัดการ!” หลิวเวยโกรธจัด เอ่ยสั่งคนของตน สั่งสอนฝ่ายตรงข้ามพร้อมถือดาบวิ่งนำหน้าพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม
คนอื่นๆ รีบเข้าร่วมวงวิวาทพลางะโด่าทอฝ่ายตรงข้าม “อุตส่าห์มาเจรจาดีๆ พวกเ้ากลับไม่้า! คุณชายใหญ่ของเราคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด พวกเ้ามันชั้นต่ำ เทียบเศษฝุ่นใต้รองเท้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ แค่คนไม่กี่คนตายจะออกมาโวยวายอันใดนักหนา ลืมสิ้นไปแล้วหรือว่าผู้ใดให้ข้าวให้น้ำให้ที่ดินเพาะปลูกพวกเ้า นอกจากจะไม่สำนึกบุญคุณแล้ว พวกเ้ายังสร้างปัญหา! ยังมีหน้ามาเรียกร้องอันใดอีก!”
ต่างฝ่ายต่างะโด่าทอกันอย่างสาดเสียเทเสีย แต่ฝ่ายชาวบ้านล้วนเป็ชาวนาผู้ไม่รู้จักวาทศิลป์ “เ้ามันก็แค่ฝุ่นใต้ตีนเหมือนกันนั่นแหละ คิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือไร? กลิ่นผายลมของนายท่านของพวกเ้าหอมนักหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ แต่หากเป็ขี้ของนายท่านแล้ว พวกเขาก็ต้องชมว่าสีมันสวยเหมือนทอง กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้อยู่ดี!”
“ฮ่า!!!”
“พวกเ้ามันรนหาที่!”
หลิวเวยไม่สนใจจะรักษาภาพลักษณ์ประมุขของตระกูลอีกต่อไป พุ่งตัวเข้าร่วมวงวิวาท ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม สองฝ่ายต่อสู้กันชุลมุน ล้วนเป็บุรุษล่ำสันแขนขาดี ต่างคนต่างเดือดดาลไม่แพ้กัน ทั้งสู้ด้วยหมัดทั้งสู้ด้วยอาวุธ มีทั้งไม้หน้าสาม ไม้พลอง จอบ และเสียม ไม่รู้ผู้ใดเป็ผู้ใด
ท่ามกลางเสียงะโด่าทอกันไปมา ทันใดนั้นก็มีเสียงะโอันโกรธเกรี้ยวดังขึ้น “ทุกคนอยู่ในความสงบ!”
เสียงเกือกม้าดังเข้ามาใกล้ คนกลุ่มหนึ่งขี่ม้ามาด้วยความเร็วราวกับสายลม ตามมาด้วยเสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนเดินมาอย่างพร้อมเพรียง มีทั้งพลม้า พลเดินเท้ากระทืบดินเสียงดังหนักแน่น นำหน้ามาด้วยคนสามคน คนตรงกลางสวมชุดขุนนาง คนด้านซ้ายสวมชุดเกราะสีเงิน คนด้านขวาเป็สามัญชน
ทันทีที่พวกเขาหยุด ทหารสามร้อยนายแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ราวกับน้ำไหล วิ่งเข้าไปในฝูงชนเพื่อคุ้มตัวคนทั้งหลาย เนื่องจากต่างฝ่ายต่างปะปนกัน พวกเขาจึงต้องแบ่งเป็กลุ่มๆ ละสิบคน แยกชาวนา คนงาน และบ่าวรับใช้ออกจากกัน เหล่าทหารยืนถือดาบล้อมคนเอาไว้ สั่งให้นั่งประสานมือไว้บนหัวอยู่กับที่ เฉินปั๋วสะบัดแขนเสื้อพลางจ้องคนทั้งหลายด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ
“ถึงขั้นแบกโลงศพมาหาเื่ผู้อื่น? ได้! อยากลงไปนอนในนั้นนักหรือ เช่นนั้นข้าจะช่วยสงเคราะห์สั่งคนขุดหลุมฝังให้ ที่นี่มีคนไม่น้อย ทั้งยังมีแต่คนมีกำลัง! ไม่อยากนอนในนั้นหรือ? เช่นนั้นยิ่งดี ข้าพึ่งได้รับร้องเรียนอีกสามคดี ล้วนเป็คดีที่เกี่ยวข้องกับพวกเ้าทั้งหมด ฉะนั้นไปกับข้าให้หมด!”
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป [4] วัดก่วงจี้บัดนี้เงียบเหงาไร้ผู้คน เหลือเพียงผ้าขาวกระจัดกระจาย จอบเสียมวางระเกะระกะ ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้ง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] อันหนาน (安南) หมายถึง เวียดนาม
[2] เล่นลูกไม้ (耍无赖) หมายถึง ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกง
[3] พระต่างถิ่นสวดมนต์เก่งกว่าพระท้องถิ่น (外来的和尚也会念经) หมายถึง ไม่เชื่อคำพูดของคนรอบข้าง แต่เชื่อคำพูดของคนอื่นอย่างง่ายๆ
[4] หนึ่งก้านธูป (一炷香) หมายถึง ครึ่งชั่วยาม ซึ่งเท่ากับหนึ่งชั่วโมง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้