“ผลไม้นี้คืออะไร? เขาได้มาจากที่ใดกัน?” เยี่ยชิงหันไปมองไป๋เหลียงแล้วถามเสียงดัง
ไป๋เหลียงกล่าวอย่างขมขื่น “แน่นอนว่าเขาแย่งมันไปจากข้า เ้าคิดว่าข้ากินอิ่มไม่มีอะไรทำเลยหาเื่[1]หรืออย่างไร? การไล่ล่าสนุกนักหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นเยี่ยชิงก็รู้สึกขุ่นเคือง หากเขารู้ว่าหนิงเทียนมีผลไม้ทองคำศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ เขาจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกินมันได้อย่างไร?
โชคดีที่เด็กนั่นยังมีน้ำเต้าน้อยๆ อยู่ในมือ ซึ่งเป็สิ่งที่เยี่ยชิง้ายิ่งกว่า
“ตายเสียเถิดไอ้หนู!” ปราณกระบี่ของเยี่ยชิงไหลไปอย่างอิสระ เขาโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมด ส่วนไป๋เหลียงก็ยังคงให้ความช่วยเหลือ นั่นเพราะเขาเองก็เกลียดหนิงเทียนเข้ากระดูกดำ
ร่างกายของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความร้อน ผลไม้ทองคำศักดิ์สิทธิ์กลายเป็หินหนืดร้อนลวกที่แผดเผาอวัยวะภายใน เืเนื้อ และกระดูกจนร่างทั้งร่างแทบลุกเป็ไฟ
หนิงเทียนพุ่งออกไปสิบจั้งราวกับสัตว์ป่าพร้อมส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายแล้วรีบวิ่งเข้าไปในพงไพร
ก่อนหน้านี้เขายอมอยู่ที่นั่นเพราะเห็นแก่รอยประทับใจกลางพฤกษา ทว่ายามนี้เขาได้รอยประทับมาอยู่ในมือแล้ว มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ยังอยู่ต่อ
“เ้าบ้านั่น ตามไปเร็ว!” เยี่ยชิงกับไป๋เหลียงคำรามอย่างเดือดดาล และพยายามหยุดเขาไว้ด้วยพละกำลังทั้งหมด
หนิงเทียนหมุนเวียนพลังกายาสุวรรณะนิรันดร์ระดับแรก ยามนี้เขารู้สึกราวกับมีเตาหลอมอันเป็นิรันดร์อยู่ในกาย ปลดปล่อยความผันผวนน่าสะพรึงกลัวออกมาชำระล้างเืเนื้อและกระดูกไม่หยุดหย่อน
ผลไม้ทองคำศักดิ์สิทธิ์เป็ยาอายุวัฒนะที่ไม่ธรรมดาและเกี่ยวข้องกับกายาสุวรรณะ อีกทั้งยังจำเป็ต่อการขัดเกลาและวางรากฐาน ซึ่งเหมาะกับหนิงเทียนอย่างมาก
หนิงเทียนเปรียบเสมือนเงาเพลิง ผิวของเขาสีแดงดุจเืและมีความแข็งแกร่งมากล้น เขาวิ่งอย่างดุเดือดภายใต้การไล่ตามของกระบี่ใบพฤกษาขจี ทั้งยังพบอุปสรรคอีกมากมายระหว่างทาง
“ให้ตายเถอะ เด็กนั่นเป็ใคร? เขาร้ายกาจเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“ดูไม่คุ้นเลย ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
ชะตากรรมของบรรดาผู้สกัดกั้นที่อยู่ต่ำกว่าจิตหยั่งลึกขั้นแปด สถานเบาคือการสูญเสียรากจิติญญา ส่วนสถานหนักคือการสูญเสียชีวิต
แม้แต่ผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแปดก็ยังถูกหนิงเทียนทุบตีจนแขนขาหัก และกรีดร้องราวกับเห็นภูตผี
ผลไม้ทองคำศักดิ์สิทธิ์เพิ่มความแข็งแกร่งให้หนิงเทียนอย่างมาก กล้ามเนื้อและเืลมของเขาน่าครั่นคร้าม อีกทั้งกายาสุวรรณะนิรันดร์ก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว ยามนี้เขาบรรลุ่กลางของระดับแรกมาแล้วและกำลังมุ่งไปยัง่ต่อไป
ไป๋เหลียงโกรธจัดจนกระอักเื เดิมทีร่างกายอันทรงพลังเช่นนี้ควรเป็ของเขา ทว่าหนิงเทียนกลับพรากมันไป
“ไอ้หนู ข้าจะฆ่าเ้า!” ไป๋เหลียงคำรามลั่น ขณะที่สีหน้าของเยี่ยชิงเริ่มซีดลง คนผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม
...
ในป่าบนูเา ดวงตาของหนิงเทียนแดงก่ำ พลังการรักษาของผลไม้ทองคำศักดิ์สิทธิ์นั้นมีประสิทธิภาพน่าสะพรึงกลัวมากกว่ายาอายุวัฒนะทั่วไปถึงร้อยเท่า หากหนิงเทียนไม่มีกายาสุวรรณะนิรันดร์ก็อาจถูกเผาเป็เถ้าถ่านไปแล้ว
ร่างของหนิงเทียนกลายเป็สีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ เปลวเพลิงโลกันต์พุ่งออกมาจากรูขุมขน จนบงกชสีมรกตแทบจะเปลี่ยนเป็บงกชสีทับทิม
เมื่อเขางอแขนและดีดนิ้ว พลันใบมีดคมกริบก็ปรากฏขึ้น พลังหมัดหนักหน่วงดุจสายฟ้าฟาด และมีความแข็งแกร่งราวอสนีบาต
หนิงเทียนระบายพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่าง พร้อมบริหารกล้ามเนื้อและกระดูกผ่านวิชาทะยานหลงเงาตัดผกาและทะลวงพันชั้น เพื่อกระตุ้นอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย และทำให้การขัดเกลาร่างกายจากกายาสุวรรณะนิรันดร์สมบูรณ์แบบ!
การวิ่งตามจับคราวนี้ใช้เวลาจากวันเป็คืน จนเยี่ยชิงและไป๋เหลียงแทบกระอักเือีกครา พวกเขาไม่รู้ว่าต้องไล่ล่าเช่นนี้อีกนานเพียงใด สุดท้ายจึงยอมแพ้ด้วยความหดหู่ใจอย่างยิ่ง
หนิงเทียนวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่หลับไม่นอน เขาวิ่งทั้งวันทั้งคืนก่อนจะตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในูเาลึกกลางป่าไม้ แล้วค่อยย้ายไปหลบในถ้ำหน้าผา
ผิวสีแดงค่อยๆ กลายเป็สีทองซีด เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายด้วยแสงอุไร ทำให้เขาดูคล้ายเทพแห่งา
นิมิตแห่งสนธยากาลปรากฏขึ้นในใจพร้อมเสียงไพเราะจากลัทธิเต๋าซึ่งเป็ะนิรันดร์ มีการต่อสู้ระหว่างทวยเทพและจอมมารบน์ ทั้งยังเห็นสุริยันจันทราร่วงหล่น ดาราจักรแตกสลาย ซึ่งภาพเหล่านี้สร้างความตื่นตระหนกให้หนิงเทียนเป็อย่างยิ่ง
การฟื้นฟูร่างกายดูดซึมพลังจากผลไม้ทองคำศักดิ์สิทธิ์ไปสองในสามแล้ว ส่วนที่เหลือก็สะสมอยู่ในเส้นลมปราณที่สองต่อไป
ความแข็งแกร่งในการบ่มเพาะของหนิงเทียนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยามนี้เขามาถึง่สมบูรณ์ของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกแล้ว อีกทั้งยังเข้าสู่ระยะต้นของกายาสุวรรณะนิรันดร์ระดับสองด้วย
นี่เป็การก้าวะโครั้งใหญ่ซึ่งทำให้เืเนื้อของหนิงเทียนพุ่งสูงขึ้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ และเส้นสีทองบนหมัดก็เปรียบเสมือนถุงมือที่ยากจะต้านทาน
ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมาก็มีแสงสีทองทอประกายในดวงตา ซึ่งดูเ็าและทรงพลังจนน่าหวาดเกรง
เมื่อเปิดกำไลหยกหยวน หินิญญาทั้งหมดที่เคยอยู่ด้านในก็หายไปหมดสิ้น เหลือเพียงรากบ่มเพาะและไข่มุกอสูรหยินเท่านั้น
หนิงเทียนลอยออกมาด้านนอก เขามองหาแหล่งน้ำเพื่อชำระล้างคราบบนร่างกาย จากนั้นก็สวมเสื้อผ้าใหม่ด้วยความรู้สึกสดชื่นและมีความสุข
เป็เวลาสี่วันแล้วนับั้แ่เขาเข้าสู่แดนลับ ผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดของหนิงเทียนคือกายาสุวรรณะนิรันดร์ และยามนี้เขายังขาดรอยประทับใจกลางพฤกษาอีกหกต้น ซึ่งต้องรวบรวมให้ครบทั้งหมดก่อนจะจากไป
หนิงเทียนเคลื่อนผ่านูเาด้วยฝีเท้าแ่เบา ระหว่างทางเขามักจะได้กลิ่นอายของรากบ่มเพาะอยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่สนใจมากนัก
หลังจากปีนขึ้นไปบนูเา ภาพตรงหน้าคือคลื่นสีฟ้าเหมือนกระจก ช่างเป็ทิวทัศน์ที่น่าทึ่ง
ั้แ่เข้ามาในแดนลับนี่เป็ครั้งแรกที่หนิงเทียนได้พบทะเลสาบ จึงให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่อย่างยิ่ง
กลางทะเลสาบมีเกาะแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เกาะนั้นมีต้นไม้ั์สูงประมาณร้อยจั้ง ซึ่งดึงดูดเหล่าลูกศิษย์ทั้งสี่สำนักมาที่แห่งนี้
เมื่อมาถึงริมทะเลสาบ หนิงเทียนก็บังเอิญชนกับใครบางคน นางคือหญิงชุดเขียววัยยี่สิบเก้า ใบหน้าเปลือยเปล่า และถักผมเปีย
หนิงเทียนรู้สึกถึงความแตกต่างเล็กน้อย ศิษย์หญิงส่วนใหญ่ที่เขาเคยเจอมักจะแต่งกายด้วยชุดหรูหราและทรงเสน่ห์ ทว่าหญิงชุดเขียวนางนี้กลับมีใบหน้าละเอียดอ่อน แย้มยิ้มอย่างเอียงอาย ทั้งยังดูเป็มิตรตุ่์และสัตว์
ทั้งสองคนจ้องมองกันด้วยระยะห่างหลายจั้ง หญิงสาวเผยยิ้มบางเบา ขณะที่หนิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“จะไปที่เกาะหรือ?” นางถามด้วยเสียงแ่เบาและท่าทางเขินอาย
“แค่อยากลองไปสำรวจดู” หนิงเทียนตอบ
ศิษย์จำนวนมากจากสี่สำนักมารวมตัวกันบนเส้นทางสายนั้น แน่นอนว่าต้องมีของล้ำค่ามากมาย และเขาก็ต้องอยากไปสำรวจอยู่แล้ว
หญิงชุดเขียวเคลื่อนกายไปบนใบบัว ย่างก้าวของนางแ่เบาราวแมลงปอตัวน้อยแตะผิวน้ำ
ดวงตาของหนิงเทียนเป็ประกาย เขาเห็นใบไม้สีเขียวปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหญิงสาว แล้วหอบพานางไปยังใจกลางทะเลสาบ
“ศิษย์สำนักเชียนเฉ่า?”
หนิงเทียนก้าวออกไปโดยมีบงกชสีมรกตตามติด รากของมันยื่นทแยงออกมา ทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังเดินบนพื้นราบ
ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ทว่ามีน้ำใสสะอาดและน่าแปลกที่ไม่มีปลาให้เห็นสักตัว
ใต้ทะเลสาบสามารถมองเห็นต้นไม้แห้งเหี่ยวและใบที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ ทั้งยังมีพืชน้ำที่พลิ้วไหวไปตามแรงคลื่นอีกด้วย
เกาะใจกลางทะเลสาบมีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบจั้ง สูงจากระดับน้ำประมาณสามสิบจั้ง และพื้นดินบนเกาะเป็ดินสีแดงอ่อน
หลังจากหญิงชุดเขียวร่อนลงบนเกาะ ต้นหญ้าในบริเวณใกล้เคียงก็มีชีวิตชีวาขึ้นทันที หญ้าเ่าั้ะโไปรอบกายของนางราวกับภูติตัวน้อยที่กำลังเต้นรำ
หนิงเทียนประหลาดใจมาก หรือว่าหญิงผู้นี้ก็เป็ยอดฝีมือด้านการพัฒนาจิติญญาเช่นกัน?
บงกชสีมรกตแกว่งไกวครู่หนึ่ง มันหลีกเลี่ยงดินแดนที่หญิงชุดเขียวก้าวผ่าน และนำหนิงเทียนไปยังใจกลางเกาะจากอีกด้าน
ยามนี้ผู้คนหลายร้อยชีวิตมารวมตัวกันใต้ต้นไม้ใหญ่ และมีการต่อสู้เกิดขึ้นแล้ว
“จะส่งมาเองหรือจะให้ข้าลงมือ? หนึ่งในสามสาวงามจากฝ่ายในของสำนักร้อยบุปผา ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเ้ามาตั้งนาน เพิ่งมีโอกาสได้ัั”
“เ้าคนแซ่หลาน อย่าเกินเลยนัก!”
พลั่ก!
จากหนึ่งหมัดกลายเป็การกอดรัดฟัดเหวี่ยงในสนามรบ ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกับเืที่กระเซ็นไปทั่ว
“ศิษย์พี่เฉิน!” เสิ่นซินจู๋กรีดร้องอย่างไม่สบายใจและวิตกกังวล เนื่องจากเฉินจี๋ที่ยืนหยัดเพื่อนางกำลังได้รับาเ็สาหัสและล้มลงกับพื้น
ศิษย์สำนักร้อยบุปผาคนอื่นๆ ล้วนเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา นั่นเพราะพวกเขารู้ว่าไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับหลานซานหู่ได้
ฉินเสี่ยวเยวี่ยขมวดคิ้ว นางมองหลานซานหู่ที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา พลันร่องรอยความลังเลก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของนาง “ซินจู๋ เ้าก็แค่มอบรากบ่มเพาะให้เขาไป”
ทว่าเสิ่นซินจู๋กลับส่ายหน้าปฏิเสธ นั่นคือรากบ่มเพาะที่สำนักร้อยบุปผาจ่ายไปเจ็ดชีวิตเพื่อให้ได้มา แล้วนางจะมอบให้พวกเขาได้อย่างไร?
เฉินจี๋พยายามลุกขึ้นแล้วกล่าวกับเสิ่นซินจู๋ว่า “ขะ...ข้าจะหยุดเขาไว้ เ้ารีบหนีไปเถิด”
หลานซานหู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนี? จะหนีไปที่ใดกัน? หากเ้าไม่ส่งรากบ่มเพาะมาให้ข้าก็อย่าแม้แต่จะคิดออกไปจากที่นี่!”
เฉินจี๋เหลือบมองฉินเสี่ยวเยวี่ยและพูดเสียงแ่เบา “ศิษย์น้องฉิน ช่วยปกป้องศิษย์น้องเสิ่นในยามที่พวกเ้ารอดไปด้วย เ้าคนแซ่หลานย่อมไม่กล้าทำร้ายเ้า”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยมองหลานซานหู่อีกหน ร่องรอยความลังเลแวบขึ้นในดวงตาก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธคำขอร้องของเฉินจี๋
“เสี่ยวเยวี่ย เ้า...” เสิ่นซินจู๋ตกตะลึงและเต็มไปด้วยความผิดหวัง นางไม่คาดคิดเลยว่าใน่เวลาจนตรอกเช่นนี้ ฉินเสี่ยวเยวี่ยจะปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือนาง
หลานซานหู่ยิ้มแล้วกล่าวเย้ย “ฮ่าๆๆ ผู้มองสถานการณ์ออกคือผู้เฉลียวฉลาด แม้ศิษย์น้องฉินจะอยู่สำนักร้อยบุปผา แต่นางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับข้า ข้าย่อมไม่ทำร้ายนาง และนางก็ไม่ใช่ศัตรูของข้าด้วย เอาละ! ในเมื่อเ้าไม่ส่งให้ ข้าก็จะไปชิงมันมาเอง!”
ทันใดนั้นหลานซานหู่ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า พร้อมเอื้อมมือออกไปลวนลามเสิ่นซินจู๋
เดิมทีเขา้าจับไหล่ของนาง แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปคว้าหน้าอกของนางแทน ซึ่งนี่เป็การจงใจกลั่นแกล้งให้เสิ่นซินจู๋รู้สึกอับอาย
เฉินจี๋คำรามด้วยความโกรธและพุ่งเข้าหาหลานซานหู่พร้อมด้วยภาพมายารอบกาย เขาพยายามขัดขวางอีกฝ่าย แต่กลับถูกพลังหมัดกระแทกจนร่างกระเด็นและหมดสติไปทันที
เสิ่นซินจู๋อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหก เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า นางจึงถอยหลังกลับตามสัญชาตญาณ
“เสี่ยวเยวี่ย!” เสิ่นซินจู๋ะโขึ้นอีกครั้ง
ความลังเลฉายทั่วใบหน้าของฉินเสี่ยวเยวี่ย ริมฝีปากของนางขยับเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
“ศิษย์น้องเสิ่นระวัง!” หนึ่งในผู้ชื่นชอบเสิ่นซินจู๋ะโลั่นก่อนจะออกแรงผลักนาง เป็เหตุให้เขาถูกกรงเล็บของหลานซานหู่ปัดป่ายจนร่างปลิดปลิว
“ศิษย์พี่ิ!”
เสิ่นซินจู๋กรีดร้องอย่างเศร้าใจ ในดวงตามีเพียงความเกลียดชัง
“หลานซานหู่ ข้าจะสู้กับเ้า!”
รอยยิ้มโกรธปนโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นซินจู๋ เมื่อไม่มีทางหนีพ้น นางจึงเลือกที่จะฮึดสู้
หลานซานหู่หัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง “เ้าคิดจะสู้กับข้าหรือ? ได้! ข้าจะสงเคราะห์ให้เ้าเอง”
เขาไล่สายตามองส่วนโค้งส่วนเว้าอันงดงามของนางอย่างเย้าแหย่ และรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนมุมปาก
หลานซานหู่งอแขนเก็บกรงเล็บ ความแข็งแกร่งทะลุผ่านห้วงอากาศ เขาปัดแขนของเสิ่นซินจู๋ออกไปแล้วคว้าหน้าอกของนาง ซึ่งทำให้เสิ่นซินจู๋โกรธแทบตายด้วยความอับอาย แต่ก็ยากที่จะหลบหนี
ศิษย์สำนักร้อยบุปผาที่เห็นเหตุการณ์ล้วนเคียดแค้น ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าออกปาก พวกเขาต่างรู้สึกโศกเศร้าและละอายใจ
ดวงตาของฉินเสี่ยวเยวี่ยฉายแววซับซ้อน นางสามารถช่วยหยุดอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่หนิงเทียนเมินนาง ทว่ากลับไปพูดคุยและหัวเราะกับเสิ่นซินจู๋ นางก็รู้สึกตะขิดตะขวงขึ้นมา
“เ้าเต่าตาบอดหน้าไหนกล้ารังแกศิษย์พี่ของข้า?” ชายหนุ่มชุดขาวปรากฏตัวขึ้นข้างกายเสิ่นซินจู๋ในยามคับขัน ทันใดนั้นใบมีดคมก็เผยออกมา เพียงเขาสะบัดนิ้ว อากาศรอบด้านก็ะเิออก ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวบดขยี้กรงเล็บของหลานซานหู่ นิ้วของเขาหลั่งโลหิตจนกรีดร้องด้วยความเ็ปและถอยกลับไป
ลมกระโชกแรงอย่างเกรี้ยวกราด และหนุ่มชุดขาวก็ดูสง่างามอย่างยิ่ง
เหตุการณ์พลิกผันไปอย่างกะทันหันจนหลายคนใ แม้แต่เสิ่นซินจู๋เองก็ยังคิดว่านางคงไม่อาจหนีจากความอัปยศนี้ได้
“หนิงเทียน! เป็เ้านี่เอง” ดวงตาของเสิ่นซินจู๋เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา นางทั้งตื่นตระหนกและคับข้องใจ
ไม่เคยคิดเลยว่าหนิงเทียนจะปรากฏตัวใน่วิกฤตเช่นนี้
ฉินเสี่ยวเยวี่ยประหลาดใจอย่างมาก สีหน้านางค่อนข้างหมองคล้ำ เหตุใดเ้าบ้านี่ถึงมักโผล่มาในเวลาที่ไม่เหมาะสมอยู่เรื่อย?
“บ้าเอ๊ย!” หลานซานหู่สบถ เ้าเด็กหน้าเหม็นผู้นี้มาจากที่ใด? ทั้งยังทำร้ายตนได้ด้วย
หนิงเทียนเห็นน้ำตาแห่งห้วงอารมณ์ของเสิ่นซินจู๋ ทุกความอับอาย ความโกรธ และความเกลียดชังที่นางส่งมา ทำให้เขารู้สึกหดหู่ตามไปด้วย “ศิษย์พี่อย่าร้อง ข้าจะลากเขามาคุกเข่ารับผิดต่อหน้าท่านเอง”
“ศิษย์น้องหนิง...” เสิ่นซินจู๋ยังคงโศกเศร้า ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ นางก็ยิ่งหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความคับข้องใจ
---------------------------------------
[1] กินอิ่มไม่มีอะไรทำเลยหาเื่ (吃饱了没事) หมายถึง ผู้ที่อยู่ดีไม่ว่าดี หรือผู้ที่ว่างเกินไปจนต้องหาเื่เดือดร้อนให้ตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้