บางคนหลังจากผ่านประสบการณ์อันน่าหวาดกลัวมาแล้วอาจจะร้องไห้ใหญ่โต บางคนอาจจะหลับสนิท แต่เสี่ยวหมี่นั้นแปลกหน่อย หลังผ่านประสบการณ์อันน่าหวาดกลัวกระเพาะของนางจะขยายใหญ่ขึ้น
ตอนที่เฝิงเจี่ยนกลับมานั้น นางฆ่าไก่ทั้งสองตัวไปเรียบร้อยแล้ว ควักเอาเครื่องในออกมา แล้วยัดเครื่องปรุงกับสมุนไพรที่นำมาจากบ้านเข้าไปแทน นางเอาดินโดยรอบพอกไก่จนทั่วแล้วโยนไปในกองฟืน
เฝิงเจี่ยนกลับมาถึงก็คิดว่าไก่สองตัวนั้นหนีไปแล้ว เขาจึงโยนไก่ป่าอีกสองตัวที่เพิ่งจับมาได้ลงบนพื้น จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะไปจับปลาในแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“เ้ารอสักครู่ ข้าจะไปจับปลาก่อน รอข้ากลับมาค่อยฆ่าไก่”
เสี่ยวหมี่โบกมือ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องแล้ว พี่ใหญ่เฝิง ท่านฆ่าปลาเสร็จแล้วก็เอามาให้ข้า พวกเราเอามันไปเผากิน ส่วนไก่สองตัวนั้น เราค่อยเอากลับบ้าน”
เฝิงเจี่ยนรักและเอ็นดูเสี่ยวหมี่เป็อย่างมาก ไม่ว่านางพูดอะไรเขาย่อมไม่ขัด อีกอย่างเมื่อครู่นางเพิ่งพบเจอเื่น่ากลัวมา ต่อให้นางอยากได้พระอาทิตย์บนท้องฟ้า เขาก็คงจะยิงลงมาให้นาง
“ได้”
เสี่ยวหมี่คิดว่าเฝิงเจี่ยนคงจะเข้าใจผิดแต่นางก็ไม่ได้อธิบายอะไร รอจนปลาสามตัวถูกเสียบไม้ปิ้งไว้เหนือไฟจนด้านนอกไหม้เกรียมด้านในสุกพอดีแล้ว นางก็เขี่ยเอาไก่สองตัวที่ถูกห่อด้วยดินโคลนออกมาจากกองไฟ
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว จากนั้นก็เดาว่าเสี่ยวหมี่คงจะคิดทำอะไรใหม่ๆ ออกมาอีกแล้ว จึงคลี่ยิ้มออกมา
เสี่ยวหมี่เห็นเช่นนั้นก็เชิดริมฝีปากขึ้น “ไม่สนุกเลย พี่ใหญ่เฝิงนี่ฉลาดจริงๆ ท่านไม่แปลกใจสักนิดเลยหรือ”
เฝิงเจี่ยนรู้สึกขบขัน รีบโอ๋ทันที “ข้าก็แค่เดาได้ว่าของสิ่งนี้ดูแปลกตาดี คงเป็ฝีมือเ้าที่คิดอะไรใหม่ๆ ออกมา แต่จริงๆ ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร”
“ค่อยยังชั่ว” เสี่ยวหมี่อารมณ์ดีขึ้นมา นางคิดจะฝืนทนความร้อนแกะโคลนด้านนอกที่พอกเอาไว้ แต่น่าเสียดาย เนื่องจาก่นี้สกุลลู่มีคนช่วยมากมายเหลือเกิน งานของเสี่ยวหมี่ที่พอจะหนักหนาอยู่บ้างก็คือการเข้าครัว แต่่นี้ก็มีท่านป้าเจียงมาช่วยแล้ว นางจึงแทบไม่ได้ทำงานหนักอะไรเลย นิ้วนุ่มนิ่มของนาง จึงไม่อาจทนความร้อนได้
เฝิงเจี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา เคาะลงบนดินโคลนแข็งๆ ไปทีหนึ่งดินก็แตกออกทันที
เผยให้เห็นเนื้อไก่ที่อยู่ด้านในได้ถนัดตา ความลับถูกเปิดเผยเสียแล้ว นางหันไปถลึงตาใส่เฝิงเจี่ยนทีหนึ่ง จากนั้นจึงใช้ไม้เขี่ยดินโคลนแข็งๆ ออกจากตัวไก่ ขนไก่ติดไปกับดินที่พอกไว้จนเหลือแค่เนื้อไก่สีขาว เมื่อผ่าท้องมันออกก็เห็นด้านในที่มีเนื้อสับผสมเห็ดและข้าวเหนียวยัดเอาไว้กำลังส่งกลิ่นหอมฟุ้งออกมา
“ไก่นี่ขึ้นชื่อมากนะ กรรมวิธีการทำก็ไม่เหมือนอาหารชนิดใด”
เฝิงเจี่ยนรีบหยิบจานในตะกร้าออกมารองรับไส้ที่ยัดอยู่ภายใน แบ่งได้สองจานพอดิบพอดี
เสี่ยวหมี่ชิมไปคำหนึ่งแล้วดวงตาก็เป็ประกาย “อร่อยจัง สิ่งนี้เรียกว่าไก่ขอทาน ข้าเพิ่งเคยลองใช้ดินพอกเพื่อลอกขนไก่ออกเช่นนี้เป็ครั้งแรก ตอนแรกยังกลัวว่ามันจะอบอวลไปด้วยกลิ่นดิน ดีจริงๆ ที่ไม่เปลืองวัตถุดิบไปโดยเปล่าประโยชน์”
คนทั้งสองนั่งหันหน้ามองทะเลสาบสีมรกต ตากอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขา กินไก่ขอทานกับปลาย่างในมือไปพลางสนทนากันอย่างสนุกสนาน
สายลมบนยอดเขาพัดให้กลิ่นอาหารให้ฟุ้งไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้คนที่ซุ่มตัวรออยู่รอบๆ พากันกลืนน้ำลายไม่หยุด โชคดีที่ลมพัดมาแล้วก็พัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหมี่กินอิ่มแล้วก็รู้สึกง่วงนอน นางจึงรีบทำตัวกระปรี้กระเปร่าเก็บข้าวของเพื่อเตรียมลงเขาไป
เฝิงเจี่ยนกำลังล้างจานชามและตะเกียบอยู่ เมื่อล้างเสร็จแล้วหันกลับมาก็เห็นว่าเสี่ยวหมี่พาดร่างไปบนหินก้อนใหญ่นอนหลับอยู่
เขาโบกมือเบาๆ เสวียนอีก็รีบวิ่งเข้ามาแบกข้าวของอื่นๆ ขึ้นหลังตัวเอง
เฝิงเจี่ยนค่อยๆ แบกเสี่ยวหมี่ขึ้นหลังอย่างระมัดระวังแล้วลงเขาไปด้วยความรวดเร็ว
ที่หมู่บ้านเขาหมีทุกคนกำลังยุ่งกันอยู่เช่นเคย ครัวของแต่ละบ้านมีควันขาวลอยคลุ้ง
เมื่อเห็นเ้านายและเสี่ยวหมี่กลับมาแล้ว เกาเหรินส่งเสียงโวยวายเป็คนแรก “เหตุใดพวกท่านถึงเพิ่งกลับมา ข้าหิวจะตายแล้ว คืนนี้จะกินอะไร?”
พูดจบเขาก็เดินวนรอบคนทั้งสองทำจมูกฟุดฟิดราวกับสุนัข แล้วจึงะโว่า “พวกท่านแอบกินไก่ย่างกันมาหรือ?”
เฝิงเจี่ยนกลัวเขาจะเสียงดังรบกวนเสี่ยวหมี่ ตอนที่คิดจะดุเขานั้น กลับได้ยินเสียงเกาเหรินเอ่ยว่า “แย่แล้ว เหตุใดเสี่ยวหมี่ถึงหน้าแดงขนาดนี้”
เฝิงเจี่ยนใทันที ยังไม่ทันกลับไปถึงเรือนหลังก็รีบแบกเสี่ยวหมี่เข้าไปในโถงหลักก่อน
แล้วก็เป็จริงดังว่า เสี่ยวหมี่พิงร่างไปบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ท่าทางเหมือนกำลังหลับฝันหวาน แต่ดวงหน้ากลับแดงก่ำ เื่นี้ช่างแปลกประหลาดมากจริงๆ
เฝิงเจี่ยนรูม่านตาหดเล็ก เขาหันไปสั่งเกาเหรินที่เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ “ไปเรียกลุงสามปี้มา”
เกาเหรินยังไม่ทันเดินออกไป จู่ๆ บิดาลู่ก็เดินเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ ท่าทางร้อนใจอย่างยิ่ง เขาขึ้นหน้าไปดูบุตรสาวแล้วะโออกมาอย่างโมโห
“มันเกิดเื่อะไรขึ้น? เสี่ยวหมี่จะตัวร้อนไม่ได้”
เขากระชากคอเสื้อของเฝิงเจี่ยน “บอกมา ตกลงเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวหมี่ไปที่ไหนมา”
เฝิงเจี่ยนใเล็กน้อย เขายกมือห้ามเกาเหรินที่คิดจะเข้ามาลากตัวบิดาลู่ออกไป เฝิงเจี่ยนตอบด้วยท่าทางรู้สึกผิด “ข้าผิดเอง วันนี้พาเสี่ยวหมี่ขึ้นเขา เสี่ยวหมี่ลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบน้ำร้อน นางเกิดใขึ้นมาเพราะงูน้ำ เดิมคิดว่าไม่เป็อะไรแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะไข้ขึ้นขึ้นมาอีก...”
“ไม่คิด เ้าไม่คิด แต่เสี่ยวหมี่จะทำเช่นไร เ้าจะทำให้นางต้องตาย”
บิดาลู่ปล่อยเฝิงเจี่ยน เขาเข้าไปอุ้มบุตรสาวขึ้นมาคิดจะพาไปเรือนหลัง “ไปเรียกเ้าสามปี้มา เร็วเข้า”
เกาเหรินกลอกตาพึมพำว่า “หากไม่ใช่เพราะเ้ามาขวางไว้ ตอนนี้คนคงมาถึงแล้ว”
ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ขาเขาก็พุ่งออกไปพาลุงสามปี้มาอย่างรวดเร็ว
ลุงสามปี้ถูกเกาเหรินลากมาตลอดทางด้วยความว่องไว จนเขาหายใจแทบไม่ทัน เมื่อจับชีพจรให้เสี่ยวหมี่แล้ว ก็บ่นว่า “พวกเ้าวางใจ อาการของเสี่ยวหมี่เบากว่ามารดานางในตอนนั้นมาก ไม่เป็อะไรหรอก ครั้งหน้าไม่ต้องร้อนใจขนาดนี้ นางอาจจะไม่เป็อะไร แต่ตัวข้าผู้ชราคนนี้คงได้ไปพบยมบาลก่อน”
เฝิงเจี่ยนได้ยินสายตาก็วาววับอย่างน่ากลัว แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
ครั้นบิดาลู่ได้ยินว่าบุตรสาวไม่เป็อะไรแล้ว ก็หมดเรี่ยวแรงทรุดลงบนเก้าอี้ “ข้านึกว่า นึกว่า...”
“วางใจเถอะ แค่ต้องลมหนาวเท่านั้น กินยาสักสองถ้วยก็หายแล้ว”
ไม่รู้ว่าลุงสามปี้คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาเอื้อมมือออกไปตบบ่าบิดาลู่เพื่อปลอบโยน
บิดาลู่ดึงสติกลับมาได้ เขาเห็นว่าเฝิงเจี่ยนนายบ่าวอยู่ในห้องด้วยก็ไม่พูดอะไรมาก เดินตามลุงสามปี้ออกไป
เหลือเพียงเฝิงเจี่ยนนั่งอยู่ข้างกายเสี่ยวหมี่ เขาวางผ้าบิดหมาดไปบนหน้าผากนาง สีหน้าแปลกประหลาด คิ้วของเขาขมวดมุ่น...
ใจเขาคันยุบยิบเหมือนจะััได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่กลับคว้ามันไว้ไม่ได้สักที ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก ตกลงมันคืออะไรกันนะ?
ตอนที่เสี่ยวหมี่ตื่นขึ้นมาฟ้าก็สางแล้ว นางยังไม่รู้ว่าตนไข้ขึ้นอีก จู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่าต้องไปทำกับข้าว
นางจึงรีบสวมเสื้อคลุมสวมรองเท้าลงจากเตียง ท่านป้าเจียงกำลังต้มโจ๊ก เตานอกประตูครัวกำลังต้มยาน้ำจนเดือดปุดๆ อยู่
เสี่ยวหมี่เดินเข้าไปในครัว “ท่านป้าเจียงเหตุใดถึงต้มโจ๊กเ้าคะ ใครป่วยหรือ?”
ท่านป้าเจียงรีบเข้ามาลากนางไปนั่งลงตรงบริเวณที่อากาศอบอุ่นและถ่ายเทได้ดี ดวงตามองนางทั้งร่างอย่างห่วงใย
เสี่ยวหมี่กำลังสงสัยอย่างยิ่ง ตอนนี้เองเฝิงเจี่ยนเหมือนจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเดินเข้ามา
ท่านป้าเจียงรู้ความเป็อย่างดี นางเดินแยกออกไปดูยาที่กำลังต้มอยู่
เฝิงเจี่ยนยื่นมือออกไปลูบหน้าผากเสี่ยวหมี่ เห็นว่าสีหน้านางดีขึ้นมาก เขาจึงเบาใจลง
เสี่ยวหมี่กลอกตาไปมา นางยิ้มแย้ม “พี่ใหญ่เฝิง อืม เมื่อคืนนี้ข้าไข้ขึ้นอีกแล้วหรือ? สงสัยจะสำลักน้ำในทะเลสาบมากเกินไป วันหน้าข้าจะไม่ไปอีกแล้ว ท่านอย่า...อืม อย่าโกรธเลยนะเ้าคะ?”
เฝิงเจี่ยนจะโกรธนางได้อย่างไร เขาถอนใจ พึมพำเบาๆ “เ้ารู้ก็ดีแล้ว...”
เขายังคิดจะพูดอะไรอีก เกาเหรินกับซูอีก็เดินเข้ามา เด็กสองคนนี้ไม่ได้รู้ความเหมือนท่านป้าเจียง พวกเขาเข้ามาล้อมรอบเสี่ยวหมี่
“เสี่ยวหมี่ เ้าตื่นแล้วหรือ เมื่อวานเ้าบอกเองว่าจะกลับมาทำของอร่อยให้ข้า สุดท้ายเ้ากลับไข้ขึ้นตัวแดงเสียยิ่งกว่ากุ้ง เกิดอะไรขึ้น หรือว่านายน้อยของเรา...หึหึ”
เกาเหรินทำสีหน้าล้อเลียนจนเสี่ยวหมี่หน้าแดง ยื่นมือไปเคาะหน้าผากเขา
“พูดเหลวไหลอะไร ข้าตกลงไปในน้ำ รักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว”
ซูอีดึงแขนเสื้อของเสี่ยวหมี่เบาๆ เขาขมวดคิ้วมุ่น เสี่ยวหมี่รีบปลอบใจเขา “วางใจเถอะ เมื่อครู่ข้าก็บอกพี่ใหญ่เฝิงแล้วว่าวันหน้าจะไม่ไปอีก”
สีหน้าของซูอีถึงได้ดีขึ้น เสี่ยวหมี่รีบไล่เด็กทั้งสองไปทำงาน ให้คนหนึ่งผ่าฟืน อีกคนไปตักน้ำ เฝิงเจี่ยนพับแขนเสื้อนั่งลงช่วยเติมฟืน ทำให้เสี่ยวหมี่ที่เดิมทีคิดจะไล่คนกลับไปพักผ่อนต้องกลืนประโยคนั้นลงไป
อากาศในหุบเขาเหมือนจะหนาวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเสี่ยวหมี่กินข้าวเช้าเสร็จ ก็ลงไปเดินดูที่ตีนเขา นางรู้สึกว่าเวลากระชั้นเข้ามามากแล้ว จึงรีบกลับไปเรียกเกาเหรินให้ไปเชิญคนสำคัญๆ มา
เพียงไม่นาน นายท่านเฝิง ท่านลุงหลิว รวมถึงท่านลุงท่านอาในหมู่บ้านที่ค่อนข้างมีความสำคัญก็มารวมตัวกันที่บ้านสกุลลู่
เสี่ยวหมี่รินชาให้ทุกคน รอจนบิดาลู่ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำมุดออกมาจากกองหนังสือในห้องเขาแล้วนั่งลงประจำที่ นางถึงได้เอ่ยสาเหตุที่เรียกทุกคนมา
“ท่านผู้าุโทุกท่าน ท่านลุงท่านอาทั้งหลาย ยามนี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ แล้ว เกรงว่าพวกเราทุกคนคงต้องรีบสร้างเรือนกระจกต่อเพิงเพาะต้นกล้ากันแล้ว ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ดินแข็งหมดแล้วจะยิ่งยาก”
เพาะต้นกล้า?
เนื่องจากมีประสบการณ์จากปีที่แล้ว ดังนั้นคำนี้สำหรับชาวบ้านแล้วราวกับได้ยินคำว่าเงินทองก็ไม่ปาน
ดังนั้นทุกคนจึงพากันส่งเสียงอย่างตื่นเต้น
“ดีๆ ข้ายังคิดจะสอบถามเ้าเื่นี้อยู่เลย”
นายท่านเฝิงอายุมากที่สุดลูบเคราหัวเราะออกมา “เสี่ยวหมี่ เ้าเฉลียวฉลาดที่สุด ้าให้เราทำอะไรก็รีบบอกมาเถอะ เราทุกคนจะทำตามที่เ้าบอก”
“ใช่แล้ว ใครไม่เชื่อฟังก็ตีมันให้ขาหัก นี่ถือเป็เื่ใหญ่ของหมู่บ้านเรา ทุกคนต้องร่วมมือกัน”
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็รีบโบกมือห้ามทันที “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกเ้าค่ะ เป็แค่งานง่ายๆ เท่านั้น ก่อนหน้านี้พวกนายช่างหม่าได้ทำเครื่องใช้ที่จำเป็ไว้แล้ว ทางข้าเองก็เตรียมผ้าทะเลเอาไว้แล้ว แค่ขอแรงพวกท่านสักสองสามวันก็พอเ้าค่ะ”
“ผ้าทะเลคงราคาสูงมากล่ะสิ”
ชาวบ้านบางคนเอ่ยประเด็นสำคัญออกมา เสี่ยวหมี่ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ “ปีที่แล้ว ตอนที่ผ้าทะเลยังราคาไม่สูงขนาดนี้ ข้าได้ให้เถ้าแก่เฉินกักตุนเอาไว้ให้ประมาณหนึ่งแล้ว ทุกท่านใช้ได้อย่างวางใจเ้าค่ะ ไม่นับว่าแพงนักหรอก ค่อยหักเอาจากค่าผักที่ขายได้ก็พอเ้าค่ะ”