แต่สิ่งที่ทำให้มารตีรู้สึกแปลกใจกว่าทุกวันคือ... สายตาของเขาที่แอบเหลือบมองมาทางเธอ แล้วก็รีบหลบอย่างลนลานอยู่หลายครั้ง
"หึ" เธอหลุดหัวเราะในลำคอเบาๆ ขณะหันกลับมาดูเอกสารบนหน้าจอ “เด็กน้อยเอ๋ย... เริ่มหวั่นไหวก่อนฉันอีกมั้งนั่น” เธอลุกขึ้นช้าๆ เดินไปที่โต๊ะของนัทพงษ์ด้วยท่าทีปกติแต่แฝงความตั้งใจเล็กๆ “คุณนัทพงษ์... ว่างรึเปล่าคะ?”
เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเก้อๆ ลุกขึ้นทันที “ครับๆ ว่างครับ พี่รตี เอ่อ คุณมารตี มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?”
“พอจะมีเวลาเดินไปคุยที่ห้องเล็กตรงนั้นมั้ยคะ? ฉันมีเอกสารบางอย่างอยากสอนให้คุณจัดเรียงให้ถูกต้องในอนาคต”
“ครับ ได้เลยครับ” น้ำเสียงเขายังฟังดูตื่นๆ เหมือนเด็กนักเรียนถูกเรียกไปพบอาจารย์ใหญ่
ในห้องประชุมเล็กที่มีแสงธรรมชาติส่องลอดม่านบางเข้ามาได้ มารตีนั่งลงตรงข้ามนัทพงษ์ วางแฟ้มบนโต๊ะก่อนพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
“เื่เอกสารเมื่อวันก่อน พี่เข้าใจว่าเธอยังใหม่ ไม่ชินกับระบบภายในบริษัทเรา... และความผิดพลาดนั้น ก็ถือว่าเป็การเรียนรู้ไปแล้วกัน”
นัทพงษ์พยักหน้า สีหน้ารู้สึกผิดยังไม่จางหายไป “ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ ผมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกแน่นอนครับ ผม... ผมซ้อมจัดแฟ้มที่บ้านมาหลายรอบแล้วครับ”
หญิงสาวเลิกคิ้วนิด ยิ้มน้อยๆ อย่างพึงใจ “ถึงขั้นนั้นเลยเหรอคะ?”
“ครับ ผมไม่อยากทำให้พี่ เอ่อ คุณมารตี ผิดหวังอีก”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจเธอสะดุดน้อยๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว
เงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็วางมือพิงแก้ม เอียงศีรษะพลางพูดเหมือนบ่นกับตัวเอง “พี่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะ ว่าทำไมถึงยังให้เธออยู่ต่อ ทั้งที่เด็กฝึกงานคนก่อนผิดแบบเธอ พี่ก็ให้ลาออกแล้ว”
นัทพงษ์ชะงัก “พี่รตี…หมายถึง…”
“อื้ม พี่เห็นอะไรบางอย่างในตัวเธอ… บางอย่างที่พี่ไม่อยากให้มันหายไปเพียงเพราะความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ”
เขานั่งนิ่ง ตัวตรงขึ้นเล็กน้อยอย่างประหม่า ใจเต้นแปลกๆ แม้ไม่ได้เข้าใจความหมายที่เธอสื่อทั้งหมด แต่คำว่า "บางอย่าง" นั่น… ทำเอาความกล้าเกิดขึ้นมากลางใจของเขาเกินกว่าครึ่งแล้ว
ผู้จัดการสาวมองเขาเงียบๆ เหมือนกำลังสังเกตปฏิกิริยา แล้วพูดต่อแบบทิ้งท้าย “กลับไปทำงานเถอะค่ะ ก่อนที่ใครจะแซวว่าพี่เรียกเธอมาเพราะเื่... อย่างอื่น”
นัทพงษ์ลุกพรวดขึ้นยืนทันที หูแดงแจ๋อย่างชัดเจน “คะ ครับ! ขอบคุณครับ!”
แล้วเขาก็ออกจากห้องไปอย่างลนๆ ทิ้งให้สาวสวยนั่งยิ้มอยู่คนเดียวอย่างอดกลั้นไม่ไหว เธอกระซิบกับตัวเองเบาๆ “ก็เล่นเกมน่ะค่ะพี่ปพนต์... เริ่มแล้วจริงๆ ด้วย”
เช้าวันอังคารเริ่มต้นด้วยกาแฟอเมริกาโน่ไม่ใส่น้ำตาล และความรู้สึกหวานนิดๆ ที่ไม่ได้มาจากคาเฟอีน
หญิงสาววางถ้วยกาแฟลงข้างกายบนโต๊ะทำงาน ก่อนเปิดแฟ้มเอกสารที่ต้องใช้ในประชุม่สาย ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาอย่างสุภาพ
“เอกสารประชุมของวันนี้ครับ” เสียงทุ้ม ๆ ที่เธอเริ่มจำโทนได้แล้ว ดังขึ้น
นัทพงษ์ยื่นแฟ้มสีฟ้าให้ด้วยสองมือ สีหน้ายิ้มเจื่อนๆ แต่พยายามปรับให้เหมือนมั่นใจเต็มที่
“ขอบคุณค่ะ” มารตีรับแฟ้มอย่างปกติ แต่สายตากวาดผ่านแฟ้ม…แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ผิด… แถมผิดในหน้าแรก เลขงบประมาณคลาดเคลื่อนไปหนึ่งหลัก หญิงสาวหลับตาลงชั่วอึดใจ ก่อนสูดลมหายใจเข้าเบาๆ แล้วเปิดแฟ้มออก พลิกหน้าไปอีกสองหน้า อีกนิด…ผิดอีก... เธอปิดแฟ้มลงอย่างเรียบเฉย เงยหน้ามองเขา
“คุณนัทพงษ์คะ” เสียงเธอนุ่ม แต่มีความหนักแน่นซ่อนอยู่
“ครับ…?” นัทพงษ์ชะงัก กลืนน้ำลายฝืดคอ ใจเต้นแรง
“ทำไมเลขถึงผิดเกือบทุกหน้าเลยคะ? คุณตรวจเองก่อนส่งแล้วใช่มั้ย?”
“ผม…ผมตรวจแล้วครับ แต่สงสัยจะรีบไปหน่อย…” นัทพงษ์ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดสุดๆ
ผู้จัดการสาวสวยมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เธอก็หัวเราะเบาๆ พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “เด็กชายตาโตของฉัน… ยังต้องฝึกอีกเยอะเลยนะ”
นัทพงษ์เงยหน้าขึ้นทันที ใบหูแดงก่ำ รอยยิ้มของหญิงสาวรุ่นพี่ ทำให้กำลังของเขาลดฮวบลง ยิ่งกว่าคำตำหนิร้อยเท่า
“แต่ไม่เป็ไรค่ะ… แค่ผิดวันนี้ พรุ่งนี้แก้ไขใหม่ก็ได้ พี่จะช่วยคุณเอง”
มารตีเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก หยิบกระดาษโน้ตสีเหลืองพาสเทลออกมา แล้วเขียนอะไรบางอย่างลงไปเร็วๆ ก่อนพับครึ่งแล้วยื่นให้เขาพลางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
ชายหนุ่มรับมาด้วยหัวใจที่เต้นจนจะหลุดออกมาจากอก เขาคลี่โน้ตแผ่นนั้นช้าๆ และอ่านมัน
“ไม่เป็ไร เด็กดีของพี่”
หญิงสาวยังใช้ปากกาวาดหน้ายิ้มน่ารักตรงปลายประโยคอีกด้วย
นัทพงษ์หน้าแดงก่ำทันที แล้วรีบพับโน้ตใบนั้นซ่อนไว้ใต้แฟ้ม เรียวปากขยับจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่กล้า มารตีแค่ยิ้ม แล้วหันกลับไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้หนุ่มน้อยนั่งนิ่งราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนอยู่กับที่ แต่ในใจของหญิงสาว กลับไม่ได้นิ่งขนาดนั้น
เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เบาๆ ลอบถอนหายใจ แล้วหลับตา “ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย…” มารตีถามตัวเองเงียบๆ ในใจ เด็กคนนั้น…ดูน่ารัก อ่อนโยน และขยันขันแข็ง (แม้จะทำผิดบ่อยก็ตาม) เขาทำให้เธอรู้สึกอ่อนโยนลงแบบที่ไม่เคยรู้สึกมานานมากแล้ว
แต่…นี่คือการจีบใช่ไหม? หรือแค่หยอกล้อเล่น? ถ้าเธอเดินหน้าจริงจังมากกว่านี้… ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปไหม? คำถามเ่าั้วนเวียนในใจ แต่เมื่อเสียงแจ้งเตือนประชุมดังขึ้น เธอก็สลัดมันทิ้งไปจากใจ
เพราะสำหรับวันนี้ เธอพอใจแล้ว ที่เห็นแก้มแดงๆ ของเด็กชายตาโต…ที่ไม่ยอมจางลงทั้งวัน
เที่ยงตรงของวันพุธ แสงแดดจ้าแต่ไม่ร้อนจัด บริเวณสวนหย่อมเล็กๆ ข้างออฟฟิศที่คนมักไม่ค่อยใช้เป็จุดนัดหมายจริงจัง แต่กลับกลายเป็สถานที่ซึ่งมารตี “บังเอิญ” ผ่านไปขณะที่นัทพงษ์กำลังยืนง่วนอยู่กับเครื่องถ่ายเอกสารชั่วคราวในมุมห้อง
“คุณนัทพงษ์คะ” เสียงเธอดังขึ้นเรียบๆ แต่นัทพงษ์สะดุ้งราวกับโดนฟ้าผ่า
“ค…ครับ!?” เขาหันมาทันที มือที่ยังถือแผ่นเอกสารสั่นไหว
“่เที่ยงนี้ว่างไหมคะ? พี่ว่าจะชวนไปกินข้าวใกล้ๆ อยากคุยเื่โปรเจกต์ใหม่หน่อย”
“เอ่อ…ครับ! ว่างครับ!” น้ำเสียงตอบสนองทันใจเกินไปหน่อยจนเ้าตัวเองหน้าแดงวาบ
มารตียิ้มน้อย ๆ เดินผ่านเขาไป โดยไม่รอคำตอบยืดยาวอะไรอีก เหมือนว่าเธอรู้แล้วว่าเขาจะตอบว่าอะไร
ร้านอาหารญี่ปุ่นข้างออฟฟิศบรรยากาศอบอุ่น เงียบพอให้สนทนาได้ ทั้งสองเลือกนั่งโต๊ะริมกระจก มองเห็นแสงแดดลอดผ่านใบไม้มาจางๆ แต่…เื่ “โปรเจกต์ใหม่” กลับไม่มีใครเปิดประเด็นสักที หญิงสาวรุ่นพี่นั่งพลิกตะเกียบในมือไปมา ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ ระหว่างที่นัทพงษ์กำลังหยิบเมนู
“รู้ไหมคะ… พี่เริ่มทำงานั้แ่ยังไม่จบมหา’ลัยดี”
นัทพงษ์เงยหน้าทันที เหมือนไม่คิดว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้ “จริงเหรอครับ? แล้วทำไมถึงรีบเริ่มเร็วจังครับ?”
มารตีหัวเราะเบาๆ สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง “เพราะตอนนั้นไม่มีทางเลือกหรอกค่ะ… ต้องหาเงิน ต้องช่วยที่บ้าน” เธอเริ่มเล่าเื่ราวสมัยยังเรียน ว่าทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ต้องพลาดอะไรดีๆ หลายอย่างที่เด็กคนอื่นได้มีโอกาส
หนุ่มน้อยนั่งฟังเงียบๆ ไม่พูดแทรกเลยสักคำ สายตาจับจ้องอยู่ที่เธอ…ไม่ใช่แค่เพราะอยากรู้เื่ในอดีต แต่เพราะเขาเริ่มเห็นผู้หญิงตรงหน้ามีอะไรบางอย่างมากกว่า "หัวหน้าฝึกงาน" และเธอเอง…ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ในจังหวะที่เธอเล่าว่าเคยล้มเหลวกับโปรเจกต์แรกหลังเรียนจบ นัทพงษ์ก็เผลอพูดขึ้นมา
“ผมว่า…พี่เก่งมากเลยครับ ที่ผ่านมาได้ขนาดนี้ ผมยังลนอยู่ทุกวันเลย แค่พยายามไม่ให้พี่ดุอีกก็ยากแล้วครับ”
ประโยคหลังทำให้มารตีหลุดหัวเราะออกมาจนต้องใช้มือปิดปาก “พี่ดุขนาดนั้นเลยเหรอ?” เธอเอียงคอนิดๆ ถามทั้งหัวเราะ
“ก็…นิดหน่อยครับ” นัทพงษ์ก้มหน้าหลบสายตาเธอ แต่ก็อดเหลือบไปมองริมฝีปากหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้
แล้วมารตีก็โน้มตัวลงอีกเล็กน้อยทำให้ใบหน้างามเปล่งปลั่งนั้นขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมอีกนิดหน่อย ก่อนพูดเสียงเบาลง “แต่ก็ยังอยากมากินข้าวกับพี่อยู่ใช่ไหมล่ะ?”
นัทพงษ์เงยหน้าขึ้น แล้วรีบหลบตาแทบจะในทันที ใบหน้าแดงซ่านชนิดที่มารตีเห็นแล้วอยากยิ้มกว้างกว่านี้อีก เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้าเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเขินอาย แทบจะหารูมุดลงไป และเธอเอง…ก็หัวเราะในใจ พร้อมกับอีกความรู้สึกหนึ่งที่ผุดขึ้นมา “ก็เขาน่ารักซะขนาดนี้…แล้วฉันจะหยุดได้เหรอ?”