ปีนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระราชดำริ ให้จัดงานเลี้ยงชมบุปผาขึ้นในวังหลวง ซึ่งหนีเจียเอ๋อร์ก็เป็หนึ่งในผู้ที่ได้รับพระเมตตา ประทานเทียบเชิญมาให้ด้วย
ปกติแล้วบุตรอนุอย่างหนีเจียเอ๋อร์ ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมงาน ทั้งตัวนางเองก็ไม่ประสงค์จะเป็ส่วนหนึ่งในงานเลี้ยงนี้เช่นกัน ทว่า ไม่อาจทนเสียงรบเร้าของนายท่านหนีและเว่ยอี๋เหนียงได้ จำต้องยอมมาในที่สุด
เดิมที สวีเพ่ยหรานตั้งใจว่าจะมารับหญิงสาวเข้าวังไปพร้อมกัน แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดไป เพราะหนีจวิ้นหว่านก็ได้รับเทียบเชิญเช่นกัน
ซึ่งเื่นี้ สร้างความพึงพอใจให้แก่นายท่านสกุลหนียิ่งนัก เพราะยิ่งบุตรสาวของตนได้รับความสนใจมากเท่าใด ก็ย่อมเป็ผลดีมากเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ นายท่านหนีจึงบอกให้สวีซื่อจัดหาเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่ให้บุตรีทั้งสอง แต่ความจริงแล้ว นางแค่ทุ่มเทไปกับถนิมพิมพาภรณ์ของบุตรสาวตนเท่านั้น ส่วนชุดของหนีเจียเอ๋อร์ กลับเป็เพียงเสื้อผ้าอันด้อยค่า จนไม่อาจเทียบเคียงหนีจวิ้นหว่านได้
เมื่อโจวชิงหวาเข้ามาเห็นชุดที่ฮูหยินใหญ่เตรียมไว้ให้นาง ก็แทบจะสบถด้วยความโมโห สายตาของสวีซื่อช่างมืดบอดเกินเยียวยา เสื้อผ้าสีเฉิ่มเชยเช่นนี้ แม้กระทั่งมารดาของเขาก็ยังไม่คิดจะหยิบมาสวมใส่
หนีเจียเอ๋อร์ไม่ใส่ใจคำพูดของอีกฝ่าย แต่ไม่คาดคิดว่าในยามเช้า ก่อนออกเดินทางไปยังงานเลี้ยง เขาจะส่งคนมามอบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นางผลัดเปลี่ยนราวกับจะประชด
เพราะนั่นเป็ชุดแดงปักไหมสีทองลายช่อดอกโบตั๋น ดูสง่างามชวนหลงใหล หญิงสาวบรรจงปักปิ่นทองซึ่งเขาเคยมอบให้บนเรือนผม ทั้งยังวาดดอกเหมยที่หว่างคิ้ว ขับผิวหน้าให้ดูขาวผ่องผุดดุจไข่มุก
และแล้วโฉมงามล่มเมืองผู้หนึ่ง ซึ่งมีเรียวคิ้วดำ ดวงตาดั่งนางหงส์ ปากสีชาดประหนึ่งดอกไม้ ก็ปรากฏขึ้นในกระจกทองแดง
เสี่ยวเสวียนมองภาพสะท้อนของคุณหนูรอง ด้วยแววตาชื่นชม “คุณหนูช่างงดงามนัก!”
หนีเจียเอ๋อร์ลูบปิ่นทองที่ประดับบนมวยผม แล้วเอ่ยอย่างพึงพอใจ “สวยมาก”
…
ที่หน้าจวนตระกูลหนี นายท่านหนี สวีซื่อ และหนีจวิ้นหว่าน กำลังรอด้วยความร้อนใจ
หนีจวิ้นหว่านเหน็บแนมว่า “น้องหญิงช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย ปล่อยให้เรารอนานขนาดนี้ได้อย่างไร?”
เว่ยอี๋เหนียงรีบบอก “ไม่ต้องกังวล ข้าจะรีบไปตามนางมาเดี๋ยวนี้”
กำลังจะหันหลังกลับ หนีเจียเอ๋อร์ก็มาพอดี ดวงตาของผู้เป็มารดาสว่างวาบ ความภาคภูมิใจอาบไล้ไปทั่วใบหน้า “เสี่ยวเอ๋อร์ เร็วเข้า พี่ใหญ่เ้ามารอนานแล้ว”
เมื่อเห็นชุดของหนีเจียเอ๋อร์ สวีซื่อก็ถึงกับตากระตุก
เดิมทีหนีจวิ้นหว่านยังคิดว่า การประชันความงามกับศัตรูหัวใจอย่างหนีเจียเอ๋อร์ในวันนี้ ผลต้องออกมาเป็ที่น่าพึงพอใจแน่ แต่สถานการณ์กลับพลิกผันจนนางนึกอิจฉา อยากจะฉีกกระชากชุดสีแดงอันน่ารังเกียจนั่นเสียเดี๋ยวนี้
นายท่านหนีพยักหน้าชื่นชม “บุตรสาวของตระกูลหนีช่างยอดเยี่ยมนัก เสี่ยวเอ๋อร์ หว่านเอ๋อร์ ในงานเลี้ยงพวกเ้าต้องช่วยเหลือดูแลกัน จงระมัดระวังรอบคอบ อย่าให้เสียเกียรติสกุลหนีได้”
หนีเจียเอ๋อร์และหนีจวิ้นหว่านผงกศีรษะรับคำ จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
ภายใต้คำแนะนำของนางกำนัล พวกนางจึงสามารถเดินทางมายังห้องจัดเลี้ยงในวังได้อย่างราบรื่น
ทิวทัศน์โดยรวมของตำหนักช่างงดงามสมคำร่ำลือ ด้วยสระบัวขนาดใหญ่ซึ่งใสสะอาดจนมองทะลุไปถึงก้นบ่อ ทั้งยังเห็นกอบัวได้อย่างชัดเจน
ท่ามกลางบึงบัวขนาดใหญ่นั้น มีศาลาตั้งอยู่ ดูโดดเด่นและสง่างามยิ่งนัก
บนเวทีในห้องโถงหลัก ซึ่งเป็ลานแสดงการร่ายรำ มีเหล่าสาวงามเอนกายอย่างอ่อนช้อยไปตามจังหวะดนตรี แพรผ้าสะบัดพลิ้วดูรื่นเริงราวกับผีเสื้อกระพือปีก
สตรีสูงศักดิ์แต่ละนางที่อยู่ด้านใน ล้วนมีท่วงทีสง่าผ่าเผยและรูปโฉมเป็เอก บ้างนั่งเพียงลำพัง บ้างจับกลุ่มพูดคุยกัน ไม่ว่าจะกวาดตาไปทางใด ย่อมเป็ทิวทัศน์อันงดงาม
หนีเจียเอ๋อร์ยืนเกร็งอยู่หน้าประตู หนีจวิ้นหว่านพ่นลมอย่างเยาะหยัน พลางกระซิบข้างหูผู้เป็น้องสาว “หากเ้าไม่เข้าใจอันใดก็ถามข้าได้ เพราะการสงวนท่าทีดั่งกุลสตรีผู้เพียบพร้อม คงมิใช่ตัวตนของเ้า”
แต่หนีเจียเอ๋อร์ไม่ใส่ใจวาจาเหน็บแนมของพี่สาว เพียงกวาดตามองหามุมสงบ เพื่อนั่งชมการแสดงและเพลิดเพลินกับชารสเลิศตามลำพังเท่านั้น
ไม่นาน โจวชิงหวาก็ก้าวเข้ามาในงานเลี้ยง ดวงตาคมเหลือบไปเห็นหนีเจียเอ๋อร์ ที่กำลังนั่งหลบมุมอยู่ตามลำพัง จึงทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกคุณหนูฉินจากตระกูลขุนนางผู้หนึ่ง เข้ามาขวางเอาไว้ “คุณชายโจว ไม่เจอกันเสียนาน หากมิได้พบกันที่นี่ คงไม่มีโอกาสสนทนากับท่าน สบายดีหรือไม่เ้าคะ?”
โจวชิงหวาจึงไม่มีทางเลือก จำต้องยั้งฝีเท้า และยิ้มรับคำทักทายด้วยความสุภาพ “คุณหนูฉินก็มาร่วมงานด้วยหรือ ท่านแม่ทัพฉินเป็อย่างไรบ้าง?”
ฉินเหยียนตอบ “สบายดีเ้าค่ะ ท่านพ่อมักจะพูดถึงท่านบ่อยๆ หากมีเวลาว่าง ก็มาเยี่ยมจวนแม่ทัพบ้างนะเ้าคะ”
โจวชิงหวารับคำ “เช่นนั้น ต้องรบกวนคุณหนูฉินช่วยไปบอกท่านแม่ทัพด้วย ว่าหากมีเวลาชิงหวาจะไปเยี่ยมเยือน”
ทันทีที่เขาพูดจบ ขันทีร่างผอมผู้หนึ่งก็มาขานเสียงดังอยู่หน้าประตู “ฮ่องเต้เสด็จ!”
ดนตรีหยุดลงทันที เหล่านางรำขยับถอยไปเรียงแถวขนาบข้างเพื่อรับเสด็จ ทุกคนรวมถึงหนีเจียเอ๋อร์ คุกเข่าลงกับพื้น แล้วส่งเสียงสรรเสริญ “ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปีๆ หมื่นๆ ปี”
“ทุกคน ทำตัวตามสบายเถิด” ฮ่องเต้ยืนประจำตำแหน่งด้วยท่าทีผ่อนคลาย และแย้มยิ้มอย่างมีไมตรี
ผู้คนทยอยลุกขึ้นไปนั่งตามลำดับอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศดูเปี่ยมมนต์ขลังไปชั่วขณะ
หนีเจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น แอบมองเ้าแห่งดินแดนฉีหลานเงียบๆ ท่วงท่าของฝ่าาดูอ่อนโยนและสง่างาม ต่างจากภาพลักษณ์ของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจที่กล่าวถึงในตำรา
ดูเหมือนพระองค์จะรับรู้ได้ถึงสายตาของนาง กู่หังจิ่นจึงหันมามอง ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง แล้วหนีเจียเอ๋อร์ก็ได้สติ รีบค้อมศีรษะแสดงความเคารพ จึงไม่ทันสังเกตเห็น ว่าฮ่องเต้ทรงแย้มสรวลบางๆ มาให้
โจวชิงหวาที่อยู่ไม่ไกลนัก ลอบมองท่าทีของพวกเขาด้วยสายตามึนตึง
กู่หังจิ่นละความสนใจจากหญิงสาว ก่อนหันไปทักทายบรรดาองค์ชาย สตรีชั้นสูง และผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
เขายกจอกสุราขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “งานเลี้ยงชมบุปผาในครานี้ ข้าได้มอบหมายให้นางรำอันดับหนึ่งแห่งวังหลวงมาทำการแสดง เพื่อสร้างความสำราญให้กับทุกท่าน”
เหล่าขันทีและขุนนางทั้งหลาย ต่างกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าา”
ดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง พร้อมกันนั้น เหล่านางรำก็ก้าวขึ้นสู่เวที
พวกนางยกมือขึ้น และลดลงมาเหนือคิ้ว ก่อนวาดแขนออกไป สะบัดข้อมือ คลี่พัดร่ายรำพลิ้วไหวดั่งสายน้ำ
ทันทีที่การแสดงจบลง เสียงชื่นชมก็ดังกระหึ่ม
จากนั้นก็มาถึงกิจกรรมสำคัญอย่างแรกของงานเลี้ยงชมบุปผา นั่นก็คือการประชันบทกวี ซึ่งโจวชิงหวาได้แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่นเหนือผู้ใด ด้วยการเอาชนะเหนือบุรุษผู้มากความสามารถจากหลายตระกูล รวมไปถึงสวีเพ่ยหราน ที่ถือว่าเป็บุรุษมากฝีมืออันดับหนึ่งในเมืองหลวงด้วย
สตรีสามคนซึ่งนั่งถัดจากหนีเจียเอ๋อร์ ต่างกระซิบกระซาบถึงพร์อันน่าทึ่ง และรูปโฉมที่หล่อเหล่าของโจวชิงหวาอย่างออกรส ทั้งยังพูดถึงเบื้องลึกเื้ัของเขาด้วยความหลงใหล
พอได้ฟังบทสนทนาที่ลอยมาเข้าหู หญิงสาวก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกอึดอัดยากจะอธิบาย
ตอนนั้นเอง ฮ่องเต้ก็ปล่อยให้แขกที่มาร่วมงาน ได้เพลิดเพลินกับความรื่นรมย์ตามอัธยาศัย ส่วนพระองค์ก็เสด็จลงมาเสวนากับบรรดาขุนนางอย่างเป็กันเอง
โจวชิงหวาแอบติดตามหนีเจียเอ๋อร์มายังมุมหนึ่งของงาน แล้วกระซิบเสียงทุ้ม “วันนี้เ้าช่างงดงามนัก”
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้หญิงสาวที่กำลังจะยกชาขึ้นมาดื่ม ใจนทำน้ำชาหกรดมือ โจวชิงหวาจึงรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“เป็เพราะได้เสื้อผ้ากับปิ่นของท่านนั่นแหละ” หนีเจียเอ๋อร์คืนผ้าเช็ดหน้ามาให้ “ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็ไร” โจวชิงหวายื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้า แล้วฉวยโอกาสััมือเนียนอย่างถือวิสาสะ
หญิงสาวชักมือกลับอย่างใจเย็น หากดวงตากลับจับจ้องคนตรงหน้าเขม็ง เป็เชิงคาดโทษ
โจวชิงหวายกยิ้มยียวน “มาเถอะ ข้าจะพาเ้าไปสูดอากาศข้างนอก”
หนีเจียเอ๋อร์ก็อยากจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากงาน จู่ๆ ก็มีสตรีกลุ่มหนึ่งเข้ามารุมล้อมชายหนุ่มเอาไว้ โดยอ้างว่าอยากจะขอคำชี้แนะในการแต่งบทกวี ช่างไม่ต่างอันใดกับเหล่าแมลงวันอันน่ารำคาญ แม้จะมีเพียงสองสามคน แต่โจวชิงหวาก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย จนแทบอยากจะะโหนีไปเสียเดี๋ยวนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้