แผลเป็ที่ดูรุนแรงของหลัวชิงเยว่กระตุก ดวงตาของนางฉายประกายอย่างดุร้าย หากไม่ใช่เพราะฉินอวี่เป็ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ หลัวชิงเยว่ก็อยากจะด่าหลี่โหยว่ฉายผู้นี้ออกไปดังๆ ว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ขั้นกุมารทิพย์ระดับต้นจะสามารถกลายเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้หรือไม่ล้วนเป็ปัญหาใหญ่ หลี่โหย่วฉายผู้นี้ยังคิดจะเอาชนะการต่อสู้เพื่อขึ้นเป็สามสิบหกขุนพล์ แม้ว่าจะได้เป็สามสิบหกขุนพล์ พละกำลังเป็เพียงแค่ด้านหนึ่งเท่านั้น แต่โดยส่วนมากแล้วจะต้องมาจากความโชคดีและพร์ แต่ในหลายปีมานี้ คนที่สามารถกลายเป็หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์ได้ มีใครคนไหนกันที่ไม่ใช่ผู้โดดเด่น? ใครกันที่ไม่มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นแล้วต่อให้มีโชคดีแล้วจะอย่างไร?
แม้ว่าตัวนางเองหลัวชิงเยว่ก็ยังไม่มีความมั่นใจ นับประสาอะไรกับคนขั้นกุมารทิพย์อย่างหลี่โหย่วฉาย?
เมื่อระงับความโกรธในใจแล้ว หลัวชิงเยว่ก็พูดอย่างเยือกเย็น “ไม่ได้ หากเ้าคิดจะเป็สามสิบหกขุนพล์ ก็จำเป็ต้องเข้าร่วมการประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเพื่อเป็อสูรธรณีให้ได้เสียก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบสามสิบหกขุนพล์ เอาล่ะ เ้าก็อยู่ฝึกฝนที่นี่ไปก็แล้วกัน ส่วนเื่ทรัพยากรการฝึกฝน จะมีคนนำมาส่งให้เ้า” พูดจบ หลัวชิงเยว่ก็ชี้นิ้วไปทางจวนแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงไหล่เขา ด้วยดวงตาที่แปลกประหลาด
ฉินอวี่พยักหน้าเบาๆ ละสายตาจากหลัวชิงเยว่ จากนั้นจึงหันหลังกลับไปอีกทางก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจวนตรงไหล่เขา
จวนแห่งนั้นไม่มีคนคอยเฝ้ารักษาการณ์ และขณะที่ฉินอวี่ยังไม่ทันเข้าสู่จวน ก็ได้ยินเสียงะโดังขึ้นมา
“ข้าจะตีจะหลอมของข้า มันไปรบกวนเ้าหรือ? ข้าสร้างค่ายกลป้องกันเสียงไว้แล้วไหนจะมีพลังจำกัดขวางของเ้าอีก หรือมันยังจะไปรบกวนเ้าอีก?” เสียงที่ดูหยาบกร้านพูดออกมาอย่างโกรธจัด
“เวลาเ้าตีเหล็กเ้าช่วยเบาอีกหน่อยได้หรือไม่ล่ะ? เ้าตีเหล็กเคาะเหล็กทีหนึ่งสั่นะเืไปทั้งจวน ข้าจะฝึกวิชาได้อย่างไรเล่า? ข้าจะเตือนเ้าเป็ครั้งสุดท้ายแล้วนะ ครั้งต่อไปเ้าได้เห็นดีแน่” มีเสียงตอบกลับมาอย่างค่อนข้างเลวร้าย
ฉินอวี่เข้าประตูจวนไปด้วยความสงสัย แต่เมื่อเท้าข้างขวาของเขาแตะถึงพื้นดิน ฉินอวี่ก็รู้สึกว่าทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ดูเหมือนจะมีพลังที่อธิบายไม่ได้ทำให้เขาเหมือนตกลงไปในหล่มดินลึก จนการเคลื่อนไหวของเขาถูกจำกัดเป็อย่างมาก
พลังของพลังจำกัดขวางหรือ?
ฉินอวี่เลิกคิ้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับยอดฝีมือในการสร้างข้อจำกัดที่นี่
ในลานบ้าน มีชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมคนหนึ่งกำลังมองมาทางประตู และพูดพลางขมวดคิ้ว “ขั้นกุมารทิพย์ระดับต้น? หรือนี่จะเป็คนที่หญิงคนนั้นพามาเช่นกัน?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” ชายหนุ่มอีกคนมีผิวสีเข้ม ใบหน้าดูซื่อๆ มีความสูงไม่ถึงหกฉื่อ มีกระดูกที่หนา กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งแกร่งดั่งั ดูเหมือนมีพลังแฝงที่พร้อมะเิออกมาได้ทุกเมื่อ
“ข้าถามเ้า?” ชายหนุ่มเคร่งขรึมพูดอย่างเ็า และพูดต่อ “ที่แห่งนี้จะมาเดินเตร็ดเตร่ตามอำเภอใจได้หรือ? กักตัวเขาไว้สักสองสามเดือนก่อนค่อยว่ากัน”
“กักตัวคนอื่นให้ได้ก่อนค่อยพูดเถอะ” ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งพูดด้วยเสียงหยาบกระด้าง
“ใครกันที่ถูกกักไว้ตั้งสามเดือน่แรกที่เข้ามาถึง สุดท้ายก็มาอ้อนวอนขอความเมตตา? ข้าว่าเ้าหายดีแล้วคงลืมความเ็ปนั้นแล้วสินะ” ชายหนุ่มชุดขาวพูดประชด
“ฮึ ในตอนนั้นระดับการฝึกฝนของข้ายังตื้นเขินนัก แต่ตอนนี้เ้าจะลองดูก็ได้นะ” ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งพูดเยาะเย้ย
“หรือว่า หวังมู่ พวกเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่? ข้าให้เวลาเ้าสามเดือน หากเ้าสามารถหลุดออกไปได้ วันหลังข้าจะไม่รบกวนการตีเหล็กของเ้าอีก ว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มชุดขาวพูดอย่างเยาะเย้ย
“ใครจะไปว่างเล่นอะไรกับเ้าเช่นนี้? อย่ามากวนข้าเลย ข้าจะตีเหล็กต่อแล้ว” ชายหนุ่มแข็งแกร่งที่ชื่อหวังมู่พูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ พูดจบ ก็หยิบค้อนขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ขณะที่เขากำลังจะตีเหล็กเขาก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว มองไปทางชายหนุ่มผมขาวที่เดินเข้ามาในจวน หลังจากตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง “ฮ่าๆ แม้แต่เด็กน้อยขั้นกุมารทิพย์ระดับต้นคนหนึ่งก็ยังเดินเข้าออกพลังจำกัดขวางได้ตามอำเภอใจ ไป๋ฉี เ้ายังกล้าพูดว่าจะกักตัวข้าสามเดือนอีกหรือไม่?”
ชายหนุ่มที่ชื่อไป๋ฉีมีสีหน้าเคร่งขรึมและดูเหลือเชื่ออย่างยิ่ง เขาเพิกเฉยต่อคำพูดของหวังมู่ และจ้องตรงไปทางฉินอวี่ที่กำลังเดินเข้ามา ก่อนจะพูดอย่างหนักแน่น “เ้าเป็วิชาสร้างพลังจำกัดขวางหรือ?”
ฉินอวี่หรี่ตาทั้งสองลง และพบว่าทั้งสองคนต่างอยู่ในระดับขั้นเทพ์ ท้ายที่สุดจึงมองไปทางไป๋ฉี และพูดอย่างเรียบนิ่ง “เป็เพียงเล็กน้อย” ในอดีต ฉินอวี่ไม่สามารถฝึกฝนอะไรได้ แต่เขาเคยลองพยายามฝึกฝนวิชาอยู่หลายชนิด ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือวิชาการจำกัดขวาง
แม้ว่าการยับยั้งของฉินอวี่จะยังไม่ลึกซึ้งนัก สามารถจัดการได้เพียงข้อจำกัดง่ายๆ เท่านั้น แต่ข้อจำกัดที่ไป๋ฉีวางเอาไว้นั้นไม่ยากเกินความสามารถของเขา
“ง่ายๆ?” สีหน้าของไป๋ฉีดูเหมือนจะรับไม่ได้ เขามีความมั่นใจในข้อจำกัดของตนเองมาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนที่มีความรู้อะไรเพียงเล็กน้อยจะสามารถแก้ข้อจำกัดของเขาได้อย่างง่ายดาย และคนผู้นี้ยังบอกอีกว่าเป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น? นั่นหมายความว่าตนเองไม่รู้เื่อะไรเลยจริงๆ หรือ? ใบหน้าของไป๋ฉีบึ้งตึงขึ้นทันที และพูดอย่างเ็า “เ้าเป็ใคร?”
“หลี่โหย่วฉาย!” ฉินอวี่ตอบอย่างเฉยเมย
“หลี่โหย่วฉาย? เ้าคือตระกูลของหลี่เทียนหวังหรือ?” ไป๋ฉีครุ่นคิดครู่หนึ่ง และพูดขึ้น
“ไม่ใช่ ข้ามาจากเมืองเล็กๆ ในเขตจุ้ยโหมว”
“แม่สาวน้อยคงพาเ้ามาสินะ?” ไป๋ฉีมองฉินอวี่อย่างระแวดระวัง ที่ต้องถามเช่นนี้ เป็เพราะด้วยระดับการฝึกฝนเช่นนี้ สามารถเข้ามาถึงเมืองเทียนโหมวชั้นในได้นั้น นอกจากสถานะพิเศษส่วนตัวแล้ว ก็มีเพียงเข้ามาได้เพราะมีผู้ใหญ่พามาเท่านั้น และหลี่โหย่วฉายก็น่าจะเป็เพราะเหตุผลข้อหลัง
“แม่สาวน้อย?” ฉินอวี่ยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก็กวาดสายตามองไป๋ฉีอย่างสงสัย คงมีคนไม่มากนักที่สามารถเรียกชิงเยว่หวังว่าแม่สาวน้อยได้เช่นนี้
“น่าแปลก เ้าเป็ผู้ฝึกตนเล็กๆ ขั้นกุมารทิพย์คนหนึ่ง ทำไมจึงเป็ที่สนใจของแม่สาวน้อยได้? หรือว่า... เ้ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่สาวน้อยคนนั้น?” แม้ว่าหวังมู่จะเป็คนตรงไปตรงมา แต่ก็มักทำอะไรไม่เหมาะสม พูดไปพลางขยิบตาให้ฉินอวี่
ฉินอวี่เหลือบมองหวังมู่ สายตาของเขาหยุดลงตรงรอยมือข้างหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ นึกไม่ถึงว่าหวังมู่จะทำการเปิดรอยผนึกทะเลทุกข์แล้ว ฉะนั้นจึงน่าจะเป็ยอดฝีมือคนหนึ่ง
“เ้าหนุ่มน้อย เ้าเปิดรอยผนึกอะไรไว้หรือ?” ไป๋ฉีจ้องฉินอวี่ และพูดขึ้นเบาๆ
“รอยผนึกฝ่ามือ” ฉินอวี่ตอบกลับไป
“แล้วเ้าได้รับพลังผนึกอะไรมาจากแผ่นผนึกว่านเซี่ยง?” ไป๋ฉีถามต่อไปด้วยดวงตาที่เป็ประกาย
“แผ่นผนึกว่านเซี่ยง?” ฉินอวี่ใจเต้น
“ทำไม ไป๋ฉี เ้าไม่ได้อะไรมาจากแผ่นผนึกว่านเซี่ยง จึงคิดจะขโมยเรียนจากหลี่โหย่วฉายหรือ?” หวังมู่พูดด้วยน้ำเสียงประหลาด
ใบหน้าของไป๋ฉีกระตุกขึ้นทันที จ้องมองหวังมู่อย่างดุร้าย “หุบปากของเ้าเสียเถอะ!”
“ข้าพูดอะไรไม่ได้เลยหรืออย่างไร?” หวังมู่พูดอย่างโกรธเคือง
ฉินอวี่มองดูทั้งสองคนเถียงกันอย่างเงียบๆ ในใจของเขาปรากฏภาพของสยงท่าเทียน หลี่เทียนจี และฉินเสวี่ยขึ้นมา พลางถอนหายใจขึ้นอย่างเบาๆ ผ่านมาหลายปีมากแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน เสวี่ยเอ๋อจะฝึกวิชาไปถึงไหนแล้ว
หลายปีมานี้ ฉินอวี่มีโอกาสน้อยมากที่จะไปเจอกับพวกฉินเสวี่ยทั้งสามคน ไม่ใช่ว่าไม่อยากไป และไม่ใช่ว่าไม่เป็ห่วง หลี่เทียนจีเป็คนลึกล้ำมาก อีกทั้งยังเอาตัวรอดได้ดี สถานการณ์วิกฤติโดยทั่วไปนั้นเขาสามารถหลบเลี่ยงได้ดีอย่างแน่นอน เมื่อมีเสวี่ยเอ๋อและสยงท่าเทียนอยู่ด้วยก็ไม่น่ามีอะไรวุ่นวายนัก แต่เมื่อพูดถึงฉินเสวี่ย ฉินอวี่ก็รู้สึกเป็กังวล
เขาไม่ได้กังวลว่าฉินเสวี่ยจะรู้สึกน้อยใจ แต่จะว่าไปด้วยนิสัยของสยงท่าเทียน เขาจะต้องปกป้องฉินเสวี่ยอย่างแน่นอน แต่เช่นนี้ไม่เป็เื่ดีกับฉินเสวี่ย หยกไม่อาจสร้างขึ้นเป็อาวุธ ฉินเสวี่ยเหมือนหยกชิ้นหนึ่ง หากมีประสบการณ์ผ่านลมฝนเสียบ้างคงเป็การดีที่สุด
“ไม่รู้เลยว่าจะได้พบเจอกันอีกเมื่อไร” ฉินอวี่จมดิ่งอยู่กับตนเอง ฉินอวี่ก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าจะออกไปได้เมื่อไร ตามสัญญาไท่กู่แล้ว เขาต้องอยู่ที่เหวลึกเป็เวลาสามปีจึงจะออกไปได้ แต่ถึงตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะออกไปได้เต็มตัวหรือไม่?
เพียงแต่ ฉินอวี่ก็ไม่ได้เป็กังวลมากนัก เมื่อได้เห็นพละกำลังส่วนที่เหลือของจอมอสูรแล้ว ฉินอวี่ก็รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า ส่วนที่เหลืออยู่ของจอมอสูรนี้ได้เตรียมความพร้อมมาแล้วหลายปี และดูเหมือนจะพร้อมทุกอย่างแล้ว เมื่อมองจากการตัดสินใจของหลัวชิงเยว่แล้ว คิดว่าคงอีกไม่นานนัก และหาก... มีผู้เฒ่าร้องไห้เข้าร่วมด้วย ก็จะยิ่งก้าวหน้าไปได้เร็วมาก
“เ้าหนุ่ม บอกมาหน่อยสิว่าเ้ามีอะไรดีจึงได้เป็ที่สนใจของแม่สาวน้อย? อย่าบอกว่าไม่มี แม่สาวน้อยคนนั้นสนใจแต่คนไม่ธรรมดาทั้งนั้น อีกอย่าง... หากไม่แสดงทักษะบางอย่างออกมาบ้าง เกรงว่าคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน และเกรงว่าคงมีคนอยู่ไม่สุขนะสิ” เมื่อละสายตาจากหวังมู่ ไป๋ฉีก็ลูบศีรษะและพูดอย่างเฉยเมย
ฉินอวี่หรี่ตาทั้งคู่ลง พลันเหลือบมองไป๋ฉี ก่อนจะถามอย่างอ่อนโยน “เ้าเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีหรือ?”
คำตอบที่ย้อนถามกลับมาของฉินอวี่ ทำให้หวังมู่และไป๋ฉีผงะไปทันที และมองฉินอวี่อย่างงุนงง
“หมายความว่าอย่างไร?” ไป๋ฉีเลิกคิ้วขึ้น
“ก็ไม่มีความหมายอะไร ก็แค่อยากถามว่าใช่หรือไม่” ฉินอวี่กล่าว
