บทที่ 61 ข้ามีนามว่า ‘เทพเซียนหยวนสื่อ!’
ดวงตะวันยามเที่ยงลอยเด่นกลางนภา รถม้าเคลื่อนเอื่อยมุ่งหน้าสูู่เาชิงเยวียน ตามแนวแสงตะวัน เบื้องหน้าเริ่มปรากฏสิ่งก่อสร้างบนยอดเขาหลักของชิงเหยียนที่จัดวางอย่างมีเอกลักษณ์ ราวกับภาพวาดบนผืนผ้าใบที่รังสรรค์จากฝีมือปรมาจารย์ผู้เร้นลับ
ขณะที่หลี่โม่ทอดสายตามองทิวทัศน์เบื้องหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ก็พลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน
เด็กขอทานน้อยถอดผ้าปิดตาออก ภายใต้ผ้านั้นคือดวงตาสีเทาขาวใสสะอาดไร้เดียงสาประดุจทารก ทว่าแฝงด้วยแววขี้อายและอ่อนน้อม ไม่กล้าสบตาผู้ใด
มีผู้ที่ดวงตาสีเช่นนี้ได้จริงหรือ?
หลี่โม่กำลังหวนนึกถึงเื่ราวในม้วนภาพโบราณที่เคยได้ยินมา
ใบหน้าเล็กซีดเผือดตัดกับเส้นผมยุ่งเหยิงราวหญ้าแห้งและเสื้อผ้าขาดวิ่นของนาง
หลี่โม่จดจำภาพนี้ได้ มิใช่เพราะความงามอันล่มเมืองของเด็กสาววัยสิบสี่ แต่นางยืนอยู่ที่นั่น สองมือเล็กๆ วางไม่ถูกที่กำแน่นเข้าหากัน ราวกับดอกไม้ขาวดอกน้อยที่ปลิวไหวตามลม ผุดขึ้นจากซากปรักหักพังอันรกร้าง...
สีแห่งลิขิตฟ้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน นางไม่น่าจะถูกหน่วยลาดตระเวน์พบเจอ
"ไม่รู้เมื่อใดนางจักค้นพบความพิเศษของแหวนโบราณวงนั้น?"
ความคิดของหลี่โม่ตีกันยุ่งเหยิง พลันเขาก็ตบต้นขาตนเองฉาดใหญ่
"เป็อะไรไปศิษย์พี่หลี่?"
มู่หรงเซียวซึ่งกำลังงีบหลับอยู่ข้างๆ พลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าเหนื่อยอ่อนทำให้คิ้วขมวดเข้าหากัน
"แย่แล้ว!"
"ข้าลืมบอกให้นางหยดโลหิตลงบนแหวนเพื่อผูกพันธะ!"
เ้าของระบบรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพื่อความสมจริงดุจเื่เล่าแห่งปางก่อน ขณะรังสรรค์แหวน เขาได้ใช้กลยุทธ์คลาสสิกที่พบในนิยายชาติที่แล้ว นั่นคือแหวนวงนั้นจะต้องจดจำกลิ่นอายของผู้ใช้ผ่านทางโลหิต ทว่าในยามที่เขาจากมา เพียงได้เห็นใบหน้าของเด็กสาว เขาก็ลืมเื่นี้ไปเสียสนิท!
ค่ำคืนนั้น
ในตรอกหนีเจียว มีควันไฟจากการหุงต้มลอยขึ้น
ขอทานน้อยต่างพากันวุ่นวายกับการจัดระเบียบซ่อมแซมลานบ้านเล็กๆ เมื่อก่อนที่นี่เป็เพียงที่พักพิงชั่วคราวของพวกเขา แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พี่หลี่บอกว่านับจากนี้ ที่นี่คือบ้านของพวกเขา
บ้าน...ย่อมต้องจัดให้สะอาดสะอ้านมิใช่หรือ?
"พี่สาวพูดติดอ่างเอาแต่เหม่อลอยมาทั้งวันแล้ว"
"ฮ่าๆๆ นางคงคิดถึงท่านพี่หลี่อยู่เป็แน่!"
"พอเ้าเอ่ยถึงเช่นนี้ ข้าก็คิดถึงเขาเหมือนกัน อาหารที่เขาปรุงช่างโอชะยิ่งนัก"
"ต่อไปข้าก็จะไปสำนักชิงเยวียน จะได้เจอเขาได้ทุกวันเลย"
"อ้าปาอ้าปา!"
"พี่สาวพูดติดอ่าง เ้าจะขัดแหวนให้สะอาดเพียงใด ท่านพี่หลี่ก็ไม่เห็นหรอกนะ"
"แล้วนี่ก็มิใช่สิ่งที่ท่านพี่หลี่มอบให้เสียหน่อย"
เจียงชูหลงกอดเข่านั่งอยู่ที่นั่น นางเช็ดแหวนงามบนนิ้วชี้อย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าสิ่งนั้นจะแปดเปื้อน
เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็พลันชะงักไปเล็กน้อย ใช่แล้ว แหวนวงนี้ แม้พี่หลี่จะเป็ผู้นำมาให้ แต่มันคือสิ่งที่น้าเหมยเตรียมไว้ให้นางต่างหาก
'เหตุใดน้าเหมยจึงมอบแหวนวงนี้ให้แก่ตน? ทั้งที่มิใช่มิติเก็บของที่นางรู้จัก และก็ไร้ซึ่งความพิเศษอื่นใด'
'น้าเหมยย่อมไม่ทำเื่ไร้สาระแน่ แหวนวงนี้จะต้องสำคัญยิ่ง'
เจียงชูหลงกัดริมฝีปากที่ยิ่งซีดเผือด นางคิดอย่างกระวนกระวาย
'หรือว่า...ปัญหาเกิดจากข้า?'
แต่ก่อนในสายตาของนาง โลกช่างงดงามตระการตา ฟ้าดินในสายตานางมีสรรพสิ่งและกลิ่นอายที่มากกว่าคนทั่วไป ราวกับสามารถมองเห็นสีสันที่พิเศษ ทว่าหลังจากที่กระดูกกระบี่ถูกควักออกไป สีสันเ่าั้ก็พลันเลือนหาย
'ข้าทำให้น้าเหมยผิดหวังหรือเปล่านะ?'
'เป็ความผิดของข้าเอง...ขอโทษ...'
เจียงชูหลงกำแหวนแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ความเ็ปที่ร้าวขึ้นมากลับทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ติ๋ง—
โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากซอกนิ้ว ทำให้แหวนโบราณถูกย้อมด้วยประกายเย้ายวนเล็กน้อย
พลันนั้นเอง
นางก็รู้สึกเวียนศีรษะ โลกเบื้องหน้าเริ่มหมุนวนราวกับพายุใหญ่
'เกิดอะไรขึ้น?'
ความคิดนี้ผุดขึ้นในจิตที่พร่ามัวของนาง
ในหูยังคงได้ยินเสียงเรียกของเหล่าเด็กน้อย
"พี่สาวพูดติดอ่าง ท่านเป็อันใดไป?"
"นางสลบไปแล้ว!"
แล้วเสียงทั้งหมดก็หายไป ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัด
นางลืมตาขึ้นอย่างเลือนราง พลางปัดป้องแสงที่พุ่งเข้ามา แล้วจึงมองเห็นสถานที่ที่นางอยู่ได้อย่างชัดเจน
หมอกขาวไร้ขอบเขต ราวกับว่าอยู่ที่ภายนอกเก้าฟ้าสิบพิภพ สถานที่แห่งนี้มิได้กว้างใหญ่มากนัก มีพื้นที่เพียงห้าร้อยเมตรโดยรอบ ทว่าศาลาและอาคารต่างๆ กลับตั้งเรียงรายอย่างเป็ระเบียบงดงาม เปี่ยมด้วยความประณีตเรียบง่าย ราวกับรังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ แม้แต่ในจงโจว นางก็มิเคยพบเห็นที่พักอาศัยที่แปลกตาถึงเพียงนี้มาก่อน ราวกับแดน์ในภาพวาด
"ข้าอยู่ที่ใดกัน?"
เจียงชูหลงขยี้ตา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
"ฮ่าๆ ๆ"
พลันเสียงหัวเราะที่เคร่งขรึมก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
"สหายน้อยผู้มาเยือนจากแดนไกล เ้าจงก้าวเข้ามาในอาศรมเถอะ"
"ข้า...ข้าหรือ?"
เจียงชูหลงก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ในสวนใต้ต้นไม้โบราณ ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินสีเขียวอย่างสง่างาม
เขาผู้นั้นสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ ใบหน้าปกคลุมด้วยหน้ากากสำริดโบราณ บริเวณรอบกายเขา ปรากฎปราณแห่งดวงชะตาและวิถีแห่งเต๋าผุดขึ้นและดับไป ราวกับว่าเขาดำรงอยู่ ณ ที่นั้นมาั้แ่กำเนิดฟ้าดิน นั่งทอดสายตามองสรรพสิ่ง เป็ดั่งรากเหง้าแห่งการดำรงอยู่ของโลกใบนี้ เพียงแค่โบกมือก็สามารถบันดาลให้ลมและเมฆแปรเปลี่ยนสีได้
"ผู้าุโ ที่แห่งนี้...คือที่ใดกันเ้าคะ?"
เจียงชูหลงถามอย่างระมัดระวัง
"ที่แห่งนี้? เป็เพียงถ้ำพำนักที่ผู้เฒ่าผู้นี้เปิดออกเพื่อหยอกเล่นนอกเก้าฟ้าสิบพิภพเท่านั้น"
ชายผู้นั้นกล่าวอย่างสงบ
เจียงชูหลง "!"
สมองน้อยๆ ของนางดูเหมือนจะค้างไปชั่วขณะ
นอกเก้าฟ้าสิบพิภพ?
ตอนนี้ นางได้ข้ามผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ปรากฏตัวอยู่นอกเก้าฟ้าสิบพิภพแล้วหรือ?
"ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็เพียงอุบายเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องตื่นใไป ข้าสามารถพาเ้ามาได้ ก็ย่อมสามารถส่งเ้ากลับไปได้เช่นกัน"
เสียงอันแ่เบาของชายผู้นั้นดังขึ้นอีกครั้ง
เขาโบกมือ บนพื้นก็ปรากฏเก้าอี้ขึ้นมาในอากาศ และบนโต๊ะหินก็ปรากฏชุดชาขึ้นมาด้วย
"นั่งเถอะ"
เจียงชูหลงเดินมานั่งอย่างงุนงง นางตะลึงงันอยู่นานกว่าจะฟื้นคืนสติได้
"ท่านคือ...ท่านเป็ใครกันเ้าคะ?"
"แล้วเหตุใดจึงนำข้ามาที่นี่...เพื่อสิ่งใดหรือเ้าคะ?"
เมื่อเข้าใกล้แล้ว นางยิ่งรู้สึกว่าผู้าุโผู้นี้ลึกลับและไม่อาจหยั่งถึงได้
แม้แต่ฝ่าาผู้เ็าของนาง ซึ่งแบกรับวาสนาแห่งเก้าฟ้าสิบพิภพไว้บนบ่า ก็มิอาจให้ความรู้สึกที่ไม่สามารถหยั่งถึงได้เท่าชายปริศนาตรงหน้าเลย
ในเก้าฟ้าสิบพิภพ ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ย่อมเป็ที่รู้จักดี
"นามของเฒ่าชราผู้นี้..."
ชายปริศนาตรงหน้าตกอยู่ในห้วงความคิด ดูเหมือนเป็เพราะไม่มีผู้ใดเรียกขานมานานแสนนาน ประสบการณ์ชีวิตที่ยาวนานเกินไปจนลืมเลือนนามของตนเองไปแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ อ้าปากกล่าว
"ข้ามีนามว่า, เทพเซียนหยวนสื่อ..."
เปรี้ยง—
สิ้นเสียง พลันสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมา
ครืนนน—
ลมเมฆแปรเปลี่ยนสี สายฟ้าฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้โลกกลายเป็สีขาวโพลนในพริบตา
เจียงชูหลงใจนแข็งทื่อ นางเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก
ในโลกที่เหลือเพียงสีขาวดำนั้น ร่างของท่านผู้เฒ่ากลับปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ช่างเป็ความรู้สึกที่เก่าแก่และเหนือโลกยิ่งนัก!