ตอนที่ 10 ไฟหึงหวง
เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินมาทับอยู่ที่กลางอกของปานชีวา เธอตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวตึบๆ ริมฝีปากแห้งผาก และดวงตาที่หนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้น เมื่อลุกขึ้นยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เธอก็พบกับใบหน้าของตัวเองที่ดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเรียบตึงซีดขาว ไม่มีเค้าโครงของความสดใสที่เคยมีเมื่อวานซืน และที่หนักที่สุดคือดวงตาคู่สวยที่เคยเป็ประกาย ตอนนี้มันบวมช้ำจนเกือบจะปิดไม่มิด บ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน
เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถหนีความจริงได้ ไม่ว่าจะเ็ปแค่ไหน เธอก็ยังต้องรับใช้หนี้... ต้องเผชิญหน้ากับภูผา
ปานชีวาใช้เวลาแต่งตัวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามโบกแป้งและกลบเกลื่อนร่องรอยความบวมช้ำใต้ดวงตา แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อทุกอย่างดูเรียบร้อย (ในแบบที่ย่ำแย่ที่สุด) เธอก็เดินลงจากห้องด้วยฝีเท้าที่เชื่องช้าและไร้ชีวิตชีวา
เมื่อมาถึงตึกใหญ่ ห้องอาหารดูเงียบเชียบผิดปกติ มีเพียงภูผานั่งจิบกาแฟอยู่ตรงหัวโต๊ะขนาดใหญ่ เขายังคงดูดีไร้ที่ติในเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับแผ่ความเ็าและตึงเครียดออกมาจนััได้
ภูผาเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง... เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ดวงตาคมกริบของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
ให้ตายสิ... ยัยนี่ร้องไห้หนักขนาดนั้นเลยเหรอ?
ในใจของภูผา ความรู้สึกผิดและรู้สึกสังเวชตัวเองมันตีรวนปั่นป่วนไปหมด เขาเห็นร่องรอยของความเ็ปที่ปรากฏชัดบนใบหน้าของเธอ และมันทำให้หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบอัดอย่างรุนแรง เขาไม่เคยตั้งใจจะทำร้ายเธอให้หนักหนาขนาดนี้ แต่เมื่อวานนี้... เขาควบคุมความโกรธ ความหึงหวง และความระแวงของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ทิฐิ... ความเป็เ้าของ... และความกลัวที่จะอ่อนแอต่อหน้าเธอ ทำให้เขาต้องกลับมาสวมบทบาทเ้านายผู้เผด็จการอีกครั้ง
“ยืนบื้ออยู่ทำไม? เข้ามานั่งสิ” ภูผาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เรียบเฉยที่สุด แต่กลับฟังดูแข็งกระด้างและเยียบเย็น
ปานชีวาไม่พูดอะไร เดินลากเท้าเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เธอไม่มองหน้าเขา ไม่มีความกระตือรือร้นแม้แต่จะยื่นมือไปหยิบขนมปังที่วางอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนแทบจะกลืนไปกับสีของผ้าปูโต๊ะ มีเพียงดวงตาที่บวมช้ำเท่านั้นที่บ่งบอกถึงพายุอารมณ์ที่พัดผ่านไปเมื่อคืน
“ฉันสั่งให้คนขับรถเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว กินซะ” ภูผาพูดต่อ มองไปยังจุดที่ต่ำกว่าดวงตาของเธอเล็กน้อย เขาไม่อยากมองตาเธอตรงๆ ในตอนนี้
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่หิว” ปานชีวาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแ่เบา เรียบเฉย ไร้อารมณ์ จนน่าใสำหรับภูผา ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับน้ำเสียงประท้วงหรือดื้อรั้นของเธอ
“ฉันไม่ได้ขอความเห็น” ภูผาวางช้อนลงเสียงดัง แก๊ง! “กินซะ ปานชีวา! อย่าคิดว่าการทำตัวเหมือนศพจะช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น หรือทำให้ฉันลืมเื่เมื่อคืนได้! การทำตัวอ่อนแอไม่ได้ช่วยให้หนี้ของเธอลดลงแม้แต่บาทเดียว”
“ฉันไม่ได้ทำตัวอ่อนแอค่ะคุณภูผา” เธอกล่าวอย่างเชื่องช้าและชัดถ้อยชัดคำ “ฉันแค่... ไม่อยากเสียพลังงานไปกับการโต้เถียงกับคนที่ตัดสินฉันไปแล้ว”
ประโยคนี้เสียดแทงใจภูผาอย่างรุนแรง เขารู้สึกเหมือนถูกต่อยเข้าที่ท้องอย่างจัง แต่ใบหน้าของเขายังคงแข็งกระด้างด้วยอำนาจและทิฐิ
“ดี! ในเมื่อเข้าใจสถานะของตัวเองดีแล้วก็รับฟังคำสั่งซะ” เขาพูดเสียงเฉียบขาด พยายามดึงความได้เปรียบกลับมา “วันนี้ฉันมีธุระด่วนที่ต้องไปจัดการข้างนอก แต่มีงานเร่งด่วนที่บริษัท กวินทร์บอกว่ารายงานโปรเจกต์ใหม่ยังมีรายละเอียดสำคัญที่ต้องให้เธอช่วยตรวจทานและแก้ไขก่อนจะถึงมือฉัน”
ปานชีวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อกวินทร์ เลขาส่วนตัวของภูผา และพี่รหัสที่เธอเคารพ
“คุณจะให้ฉันไปบริษัท?”
“ใช่” ภูผาพยักหน้า “เธอจะไปช่วยกวินทร์ตรวจสอบและแก้งานที่นั่น คนขับรถจะพาเธอไปเดี๋ยวนี้ ส่วนฉันจะตามไปทีหลังเมื่อเสร็จธุระแล้ว”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ปานชีวาตอบรับอย่างเรียบง่าย แล้วลุกขึ้นยืน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปรอที่รถนะคะ”
ภูผามองตามหลังร่างบางที่เดินออกไปอย่างเซื่องซึมจนลับสายตา แล้วเขาก็ปล่อยลมหายใจออกมายาวเหยียดราวกับเพิ่งขึ้นจากน้ำที่กำลังจะจม
ฉันทำเกินไปจริงๆ...
เขารู้ดีว่าการส่งเธอไปเจอกับกวินทร์ พี่รหัสของเธอ... มันจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน แต่เขาก็ต้องทำ เพราะเขากำลังต่อสู้กับความรู้สึกผิดของตัวเองที่ทำร้ายจิตใจเธออย่างรุนแรงเมื่อคืน และเขาก็เชื่อมั่นในความสามารถของกวินทร์ ที่จะช่วยควบคุมสถานการณ์ให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนที่เขาจะตามไป
รถยนต์สีดำขลับมาจอดเทียบหน้าตึกสูงใจกลางเมือง น้ำตาลก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกดึงกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็จริง ที่นี่คือสถานที่ที่เธอต้องทำงานหนักเพื่อชดใช้หนี้สิน
ทันทีที่เธอเดินเข้าสู่ชั้นที่ทำงานของทีมบริหาร กวินทร์ ซึ่งเป็เลขาส่วนตัวที่เก่งกาจของภูผาก็เงยหน้าขึ้นมา เขาเป็ชายหนุ่มหน้าตาดี มีรอยยิ้มที่เป็มิตรเสมอ
“น้ำตาล! มาแล้วเหรอ” กวินทร์ยิ้มทักทายอย่างจริงใจ แต่รอยยิ้มนั้นก็พลันจางหายไปเมื่อเขาเห็นสภาพของน้องรหัสคนสนิทอย่างชัดเจน
“ตาบวมขนาดนี้... ไปร้องไห้มาทั้งคืนเลยเหรอน้ำตาล” กวินทร์เอ่ยด้วยความเป็ห่วงในฐานะรุ่นพี่ “นี่คุณภูผาทำอะไรเธอใช่ไหม?”
ปานชีวาส่ายหน้าเบาๆ พยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความเ็ป
“ไม่เกี่ยวหรอกพี่กวินทร์... มันเป็เื่ส่วนตัว” เธอกล่าว
“เื่ส่วนตัวที่ไหนทำให้น้องรหัสพี่ต้องตาบวมขนาดนี้” กวินทร์ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเธอ เขาเห็นร่องรอยการถูกทำลายจิตใจอย่างชัดเจน กวินทร์ยื่นมือออกไปแล้วค่อยๆ เลื่อนมาจับมือของปานชีวาเบาๆ ด้วยความสงสารและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
“น้ำตาล... พี่ไม่รู้ว่าเ้านายพูดอะไรกับเธอ แต่เธอต้องเข้มแข็งไว้นะ” กวินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยน “อย่าให้คำพูดร้ายๆ ของใครมาทำลายเธอได้ เธอเป็คนเก่งและมีคุณค่ามากๆ เข้าใจไหม?”
การััที่อ่อนโยนและคำพูดที่ปลอบโยนของพี่รหัส ทำให้ความเข้มแข็งที่ปานชีวาพยายามสร้างไว้พังทลายลงเล็กน้อย เธอพยักหน้าเบาๆ แล้วบีบมือของกวินทร์ตอบกลับอย่างขอบคุณ
“ขอบใจนะ พี่กวินทร์” เธอเอ่ยเสียงสั่นๆ
ในวินาทีนั้นเอง...
สายตาเ้านายที่แฝงความหึงหวง
ภูผาก้าวเข้ามาในออฟฟิศอย่างเงียบเชียบ เขายืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้า มองไปยังภาพบาดตาบาดใจที่เลขาส่วนตัวของเขากำลังจับมือปลอบประโลมลูกหนี้ของเขา
กวินทร์! แกกล้าดียังไงมาปลอบใจผู้หญิงของฉัน!
เืในกายของภูผาเดือดพล่านทันที แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของตัวเองเมื่อเช้า ที่้าให้ทุกอย่างดูเป็มืออาชีพ เขาก็ข่มโทสะเอาไว้สุดกำลัง ใบหน้าของเขาแม้จะดูเคร่งเครียด แต่ก็ยังคงความสงบนิ่งแบบเ้านายผู้ควบคุมทุกอย่างไว้ได้
“กำลังทำอะไรกันอยู่ กวินทร์” ภูผาเอ่ยเสียงเรียบ แต่ทว่าเย็นะเื ราวกับอากาศหนาวเหน็บยามค่ำคืน
กวินทร์รีบปล่อยมือจากปานชีวาทันที แล้วหันไปเผชิญหน้ากับเ้านาย เขาเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวงก้างและไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่ก็พยายามทำเป็มองไม่เห็น
“กำลังช่วยน้องน้ำตาลเตรียมตัวก่อนเริ่มงานครับเ้านาย พอดีผมเห็นตาน้องน้ำตาลบวมมาก ก็เลยให้กำลังใจนิดหน่อย” กวินทร์ตอบอย่างใจเย็นและเป็ธรรมชาติ
“ให้กำลังใจ?” ภูผาเลิกคิ้วสูงอย่างเหยียดหยาม “เหรอ... ฉันว่าเธอควรจะเอาเวลาไป ให้กำลังใจ กับกองงานที่อยู่บนโต๊ะมากกว่านะ กวินทร์ ถ้าฉันจำไม่ผิดฉันให้แกรับผิดชอบโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องส่งอาทิตย์หน้าไม่ใช่หรือไง? ไม่ใช่หน้าที่แกมาทำตัวเป็พี่เลี้ยงปลอบใจใครที่นี่”
เขาใช้คำว่า พี่เลี้ยง และ ใครที่นี่ อย่างจงใจ ทำให้ปานชีวาหน้าชา และกวินทร์ก็รู้ดีว่าเ้านายของเขากำลัง หวงก้าง อยู่
“ทราบครับเ้านาย แต่ผมกับน้องน้ำตาลเราเป็พี่รหัสกัน ผมก็อดเป็ห่วงไม่ได้” กวินทร์ตอบกลับอย่างนอบน้อมแต่ก็ไม่ได้แสดงความกลัว ทำให้ภูผาได้แต่ส่งเสียง หึ ในลำคอ
“อ้อ... พี่รหัส” ภูผาเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานของกวินทร์ แล้วมองไปที่ปานชีวาที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ กวินทร์ “ก็ดีแล้ว ที่ยังมีความสัมพันธ์แแ่กันอยู่... แต่ถ้าแกอยากจะช่วยลูกหนี้ของฉันจริงๆ ก็รีบเอาเอกสารไปให้เธอตรวจสอบซะ อย่าให้ฉันต้องมาเห็นฉาก ให้กำลังใจที่ไร้สาระอีก”
“ครับเ้านาย” กวินทร์รับคำแบบอมยิ้มนิดๆ แล้วรีบจัดเอกสารให้ปานชีวาทันที
ภูผาไม่ได้เดินจากไปไหน เขานั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของตัวเอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของกวินทร์และปานชีวามากนัก เขายกขาไขว้ห้าง ทำทีเป็ทำงานในเอกสารสำคัญ แต่ทุกๆ สิบวินาที... ดวงตาคมกริบของเขาก็จะเหลือบมองมายังปานชีวาและกวินทร์ที่กำลังนั่งทำงานร่วมกัน
ปานชีวารู้สึกเหมือนมีเข็มหลายพันเล่มทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เธอเงยหน้าขึ้นมาก็จะพบกับสายตาที่จับจ้องอยู่เสมอ สายตาที่ทั้งควบคุม เรียกร้อง และแฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด ทำให้เธอต้องก้มหน้าลงตรวจเอกสารอย่างเร่งรีบที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะปรึกษากวินทร์ด้วยเสียงที่ดังเกินไป
เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ภูผาสั่งให้ปานชีวาตามเขาลงไปทานข้าวที่โรงอาหารของพนักงานในบริษัท โดยให้เหตุผลว่า “ถ้าให้ยัยนี่นั่งทำงานที่โต๊ะโดยที่ไม่มีฉันคอยคุม เดี๋ยวก็ต้องมีใครสักคนเข้ามา ให้กำลังใจ อีก”
ปานชีวาไม่มีทางเลือก ต้องเดินตามภูผาลงไปที่โรงอาหาร ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยพนักงานของบริษัท
ทันทีที่ปานชีวาปรากฏตัวพร้อมกับภูผา ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองคนเป็ที่จับตามองอยู่แล้ว ด้วยความที่ปานชีวาสวยโดดเด่นสะดุดตา และถึงแม้ดวงตาจะบวมช้ำแต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงามของเธอลงเลยแม้แต่น้อย
ปานชีวาต้องนั่งทานอาหารในบรรยากาศที่อึดอัดที่สุดในชีวิต เพราะรอบตัวเธอมีแต่สายตาของพนักงานชายหลายสิบคนคอยจ้องมองมาอยู่ตลอด บ้างก็แอบยิ้ม บ้างก็พยายามเดินผ่านโต๊ะของเธอเพื่อส่งสายตา
ภูผานั่งอยู่ตรงข้ามเธอ ใบหน้าของเขาเริ่ม ดำทะมึน ขึ้นเรื่อยๆ เขาแทบจะไม่ได้แตะต้องอาหาร แต่กลับจ้องมองไปยังผู้ชายทุกคนที่ส่งสายตามาให้ปานชีวา ด้วยแววตาที่ดุดันและคุกคามจนใครที่เผลอสบตากับเขาก็ต้องรีบหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ทำงานอยู่ดีๆ ก็ต้องมานั่งทานข้าวท่ามกลางฝูงหมาป่า... เธอคงมีความสุขสินะปานชีวา” ภูผากระซิบเสียงเย็น ฟังดูเหมือนตำหนิ แต่ก็แฝงความหึงหวงไว้เต็มเปี่ยม
ปานชีวาได้แต่ก้มหน้าลงทานข้าวอย่างเงียบๆ เธอรู้สึกอับอายและน้อยใจที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้
“ฉันไม่มีความสุขค่ะ” เธอตอบเสียงแ่ “รีบทานเถอะค่ะ จะได้กลับไปทำงาน”
ภูผาไม่ตอบอะไร แต่ก็มองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพร้อมกับยิ้มและพยักหน้าให้ปานชีวาอย่างชัดเจน ทำให้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและมืดมัวยิ่งกว่าเดิม
ไม่ว่าไปที่ไหน ยัยนี่ก็ยังดึงดูดความสนใจจากผู้ชายได้ตลอด!
บ่ายแก่ๆ ของวันทำงาน ปานชีวารู้สึกปวดหัวจนทนไม่ไหว เธอขออนุญาตกวินไปชงกาแฟร้อนดื่มที่ห้องกาแฟเล็กๆ ที่อยู่ติดกับส่วนของออฟฟิศ
ภูผายังคงนั่งทำงานอยู่ และแน่นอน... สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ประตูห้องกาแฟตลอดเวลา
ในห้องกาแฟนั้น มีพนักงานชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายเข้ามาทำงานในแผนกการตลาด ซึ่งเขาเป็หนึ่งในคนที่ส่งสายตามาให้ปานชีวาตอนมื้อเที่ยง กำลังยืนชงกาแฟอยู่
“คุณปานชีวาใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มสดใส “ผมชื่อนทีนะครับ เพิ่งย้ายมา ผมเห็นคุณทานข้าวกับคุณภูผาเมื่อตอนเที่ยง”
“ค่ะ”ปานชีวาตอบอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะคุณนที”
“คุณปานชีวาสวยมากเลยนะครับ... ต่างจากบรรยากาศเครียดๆ ในออฟฟิศไปเลย” นทีชวนคุยอย่างเป็กันเอง
ปานชีวาถึงแม้จะเหนื่อยล้า แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายที่ได้คุยกับคนที่ไม่ใช่เ้านายผู้เผด็จการ เธอหัวเราะเบาๆ ด้วยความขำขันกับคำพูดของเขา
ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่พักใหญ่ ปานชีวายิ้มและหัวเราะตามธรรมชาติกับบทสนทนาที่เบาสบาย ซึ่งเป็รอยยิ้มที่สดใสและจริงใจที่สุดนับั้แ่เธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้
แต่ภาพนั้น... ภาพที่น้ำตาลกำลัง ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข กับผู้ชายคนอื่น!
ภาพนั้นพุ่งเข้าชนสายตาของภูผาที่กำลังแอบมองจากโต๊ะทำงานของเขาอย่างจัง!
เส้นความอดทนของภูผาที่พยายามควบคุมไว้ตลอดทั้งวันขาดผึงลงทันที! ความหึงหวงและความโกรธที่อัดอั้นมาั้แ่เมื่อคืนะเิออกมาอย่างรุนแรงจนเขาควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เส้นเืที่ขมับเต้นตุบๆ มือหนากำหมัดแน่นจนข้อขาวโพลน
ยัยนั่น! กล้าดียังไงมายิ้ม! มามีความสุขกับคนอื่น! ในขณะที่ฉันทำได้แค่ซ่อนความรู้สึกบ้าๆ นี้ไว้!
เมื่อปานชีวากลับมาที่ห้องทำงาน ภูผาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความเร็วราวกับพายุ เขาเดินเข้าไปหาสีหน้าเคร่งเครียดมาก
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เธอตามป้าสมลงไปรอฉันอยู่ข้างล่างเดี๋ยวฉันตามลงไป” เขาสั่งให้ปานชีวาตามป้าสมแม่บ้านลงไป
“คุณภูผา... อะไรคะ? ฉันยังทำงานไม่เสร็จ...”
“ฉันบอกว่าให้กลับ!” ภูผาตวาดเสียงดังเพียงเล็กน้อย แต่ทรงพลังมากพอที่จะทำให้กวินที่นั่งในออฟฟิศไม่กล้าพูดอะไรเลย ได้แต่พยักหนากับเธอ เหมือนบอกว่ากลับเถอะๆ
ปานชีวารีบลุกเก็บกระเป๋าแล้วเดินก้มหน้าน้ำตาคลอออกไปอย่างรวดเร็ว
ต่อไปนี้... ฉันจะไม่มีทางปล่อยให้เธออยู่ห่างสายตาฉันอีกเด็ดขาด ปานชีวา
////****////
