หลี่อวิ๋นหังกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเป็ระเบียบตามที่คาดการณ์ไว้ เหงื่อเย็นยังคงปกคลุมศีรษะของอีกฝ่าย ใบหน้าขาวซีดถูกพลังหยินชั่วร้ายบุกเข้ามายังร่าง เจียงเฉิงเยว่เขย่งเท้าไปที่ข้างเตียง จากนั้นถอดหนึ่งในหยกคู่เพลิงสุวรรณออกชิ้นหนึ่งวางไว้ที่หัวเตียงของอีกฝ่าย ครู่ต่อมาเขาไม่กล้าอยู่ต่อจึงเขย่งเท้าปิดประตูแล้วค่อยๆ ย่องกลับไปที่ห้องของตนเอง
ท้ายที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลง หลับไปหลายชั่วยามจนฟ้าเกือบสว่าง
แม้ว่าพลังของหยกคู่เพลิงสุวรรณเมื่อแยกกันแล้วจะอ่อนแอลงเป็อย่างมาก ทว่าถึงแม้จะมีเพียงชิ้นเดียวก็ไม่ควรดูถูก ทั้งยังอยู่ในเขตอาคมของวิหารหลิงเซียว ย่อมเพียงพอแล้วที่จะปกป้องพวกเขาสองพี่น้อง แม้ว่าหลี่อวิ๋นหังจะไม่ยอมรับ แต่เวลานี้เขาเพียงแค่...ไม่ให้หลี่อวิ๋นหังรู้จะเป็เื่ดีกว่า ถือว่าแสดงน้ำใจแก่หลี่อวิ๋นเฉินก็แล้วกัน ถือโอกาสที่สามารถช่วยเหลือได้ช่วยเหลือน้องชายของเขาเสียหน่อย
เจียงเฉิงเยว่ยังคงเขย่งไปที่ห้องของหลี่อวิ๋นหัง เตรียมตัวก่อนอีกฝ่ายจะตื่นเพื่อนำหยกคู่เพลิงสุวรรณกลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าตอนที่เขาหยิบได้สำเร็จแล้วหมุนตัวไปถึงหน้าประตู ฝ่ามือััโดนบานประตูพอดี น้ำเสียงนุ่มนวลของหลี่อวิ๋นหังที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นกลับดังขึ้น ช่างแตกต่างจากความเฉยเมยและห่างไกลจากยามปกติ “ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้..”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขาหันกลับมาอย่างอึดอัดใจ ผลลัพธ์คือเห็นหลี่อวิ๋นหังลุกขึ้นนั่งอยู่ในผ้าห่ม มองมาที่เขา ดวงตามีประกายความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยและยังคงสั่นเทา
“เอ่อ...” เจียงเฉิงเยว่อับอายจนแทบจะลงไปกองกับพื้นในเวลานั้น ทำไมถึงรู้สึกว่าตนเองเหมือนเป็หัวขโมยที่ถูกจับได้กันเล่า?
เขากำลังหาข้ออ้างเพื่ออธิบาย แต่หลี่อวิ๋นหังไม่ให้โอกาสพร้อมย้ำอีกครั้ง “ไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้” แล้วดึงผ้าห่มคลุมไหล่ขึ้นด้วยความขุ่นเคืองก่อนหันหลังให้เขาแล้วนอนลง เด็กน้อยผู้นั้นส่งเสียงพึมพำอย่างขัดใจจนได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก “ท่านไม่ต้องสงสารข้าหรอก! อย่างไรเสีย...ท่านก็...”
“หืม?” เจียงเฉิงเยว่ได้ยินไม่ชัดเจนจึงถามอีกครั้ง แต่หลี่อวิ๋นหังกลับไม่ส่งเสียงอีก เพียงหันหลังให้เขาและนอนนิ่ง
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ากำลังจะรุ่งสาง ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น พลังหยินชั่วร้ายพลันหายไปโดยธรรมชาติ หลังจากเห็นว่าไม่มีเื่อะไรแล้ว เจียงเฉิงเยว่จึงไม่สนใจ เขาปิดประตูห้องเบาๆ แล้วกลับไปที่ห้องของตนเอง
.............................
เวลาอาหารเช้าได้พบกับหลี่อวิ๋นหัง คราวนี้แม้แต่การทักทายตามสถานะของกันและกัน อีกฝ่ายกลับคร้านที่จะทำ แสร้งทำเป็ไม่เห็นเขาและเดินออกไป ทิ้งให้เหล่าศิษย์ในสำนักตกตะลึง มองหน้ากันโดยเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง อิ้นไป่ที่อยู่ด้านหลังรู้สึกหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง ตัวแข็งทื่ออยู่บริเวณนั้น ไม่รู้ว่าจะตามหลี่อวิ๋นหังหรือไปขอโทษเจียงเฉิงเยว่แทนก่อนดี “ฝ่าา...นี่ นี่...องค์ชายห้าเขา...”
หลังจากที่เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปชั่วครู่ก็ส่ายศีรษะอย่างขบขัน เมื่อเห็นว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็เผยมีความเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจอย่างที่เด็กอายุสิบเอ็ดปีควรมีอย่างหาได้ยากจึงไม่คิดมาก เขาส่งยิ้มอ่อนโยนต่อศิษย์น้อยที่ยืนตัวแข็งทื่อพลางปลอบโยน “ไม่เป็ไร ไม่จำเป็ต้องมากพิธี”
“พ่ะย่ะค่ะ...” อิ้นไป่ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก จากนั้นประสานมือให้เจียงเฉิงเยว่ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เจียงเฉิงเยว่ก็เป็ศิษย์ของสำนักเต๋ายามยังมีชีวิตอยู่ ยามนี้มีร่างกายมนุษย์แล้ว ดังนั้นที่บอกว่ากราบราชครูเพื่อฝึกฝนภายใต้สำนัก เขาไม่ได้ล้อเล่น แม้ว่าสำนักที่ต่างกันจะมีวิธีการฝึกฝนที่แตกต่าง ยังดีที่ความรู้ทางทฤษฎีนั้นมีอยู่ทั่วไป การกำหนดลมหายใจพลังิญญา การชำระล้างไขกระดูกและอื่นๆ เป็วิชาการฝึกที่จำเป็ของผู้ฝึกฝนในใต้หล้า ในปีนั้นเจียงเฉิงเยว่เป็เพียงผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้หนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่ออายุสิบหกปี การบ่มเพาะของเขาอยู่ในปราณทองขั้นกลาง หลังจากตายเขากลายเป็ผีตนหนึ่ง วิธีการฝึกฝนแตกต่างราวฟ้ากับเหว แต่เวลานี้เขากลับมามีสถานะเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้หนึ่ง จึงต้องทบทวนทักษะพื้นฐานเหล่านี้ให้ดี
เขาไม่ใช่มือใหม่ที่ไม่รู้อะไร วิธีการฝึกฝนมีความแตกต่างจากศิษย์เ่าั้ในวิหารหลิงเซียว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนจึงทำได้เพียงหลบเลี่ยงจากพวกเขาแล้วฝึกฝนด้วยตนเอง โชคดีที่คนกลุ่มนั้นกลับคิดว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘ฝึกฝน’ ของฝ่าาเป็เพียงข้ออ้างอีกประการหนึ่งที่เขาจะสามารถหลบอยู่ในสถานที่หนึ่งโดยไม่ทำอะไร ท้ายที่สุดแล้วจึงไม่มีใครสนใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
เพราะอย่างนั้นเขาจึงออกจากวิหารหลิงเซียว เคลื่อนไหวไปตามพลังิญญา พลังิญญาของูเานั้นมั่นคงไม่เปลี่ยน ค่อนข้างยากที่จะเอื้อมถึง ราวกับหมอกและภาพลวงตา เมื่อเขาพบสถานที่ดีและมีพลังิญญาอุดมสมบูรณ์ด้วยความลำบากแล้ว กลับพบว่าสถานที่นั้นตั้งอยู่ที่รอยแยกของหน้าผาบนยอดเขาตอนเหนือ ซึ่งห่างจากวิหารหลิงเซียวบนยอดเขาเพียงเล็กน้อย
แม้ว่าจะอยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดา อย่างไรเขาก็เป็ผู้ยิ่งใหญ่ในระดับาาผี การะโเบาๆ บินขึ้นไปบนกิ่งไม้หนากิ่งนั้นที่ยื่นออกมาจากหน้าผายังคงเป็เื่ง่ายดาย กิ่งของต้นไม้ต้นนั้นเปรียบเหมือนกรงเล็บที่แหลมคม จุดที่ลงจอดของเจียงเฉิงเยว่นั้น ลงบน ‘ฝ่ามือ’ ของกรงเล็บแหลมคมอย่างแม่นยำ เขาจึงค่อนข้างรู้สึกสบายใจราวกับลูกนกที่ตกลงสู่รัง
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้ม ตัดสินใจที่จะนำที่แห่งนี้เป็สถานที่ฝึกฝนลับของตนเอง หลังจากนั้นเขานั่งสมาธิ ระดมความทรงจำเกี่ยวกับวิธีการกำหนดลมหายใจพลังิญญาที่ยาวนานในอดีต อิงตามวิธีการนั้น พยายามดูดซับพลังิญญาเข้าสู่ร่างอย่างไม่มั่นคง โคจรรอบกาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมักรวบรวมสมาธิไม่ได้
เงาร่างสีขาวเรียบง่ายสั่นไหวไปมาอยู่ภายในใจ ในที่สุดเจียงเฉิงเยว่ก็หมดหนทาง ทำได้เพียงล้มเลิกแผนการฝึกฝนการเข้าสู่สมาธิในครั้งแรก หลังไม่สามารถฝึกฝนได้จึงนอนลงบนกิ่งไม้อย่างอับจนหนทาง จากนั้นเอามือทั้งสองกุมศีรษะแล้วยกเท้าขึ้น มองดูก้อนเมฆที่ล่องลอยบนท้องฟ้า
กี่ปีแล้วที่ไม่ได้นึกถึงคนผู้นั้นขึ้นมา? เขานับได้ไม่ชัดเจนเสียแล้ว ยังคิดว่าตนเองลืมรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายไปนาน เพิ่งจะรู้ในยามนี้ว่าเดิมทีเป็การหลอกตนเอง สุดท้ายแล้ว่เวลานั้น ผู้ที่สอนเขาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเหล่านี้ก็เป็คนผู้นั้น ยามนี้เขาอยากจะฟื้นความทรงจำเหล่านี้ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับฉงซีิย่อมเป็อุปสรรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มอย่างขมขื่น
เวลานั้นเขาเพิ่งเข้าสู่ปรโลก ยังเคยพยายามค้นหาการกลับชาติมาเกิดของอีกฝ่าย...แต่ตอนนี้ เกรงว่าเขาจะกลับชาติมาเกิดมากกว่าหนึ่งครั้งแล้วกระมัง ในความเป็จริงแล้วความทรงจำที่ยาวนานกว่าร้อยปีนี้ ่เวลาที่อยู่ร่วมกันกับเขากลับเพียงไม่กี่ปี ความทรงจำต่อคนผู้นั้นค่อยๆ ถูกเจือปน แต่กลับมีบางภาพที่สูญเสียอย่างชัดเจนตามกาลเวลา
ตัวอย่างเช่น เขาที่สวมชุดเรียบง่ายยืนอยู่กลางสายลมจนแขนเสื้อปลิวไสว แล้วหันสายตากลับมาที่ตนพร้อมกับยิ้มอย่างอบอุ่น หรือในลานยามตอนกลางคืนในฤดูร้อน เขากำลังปัดแขนเสื้ออย่างสง่างามเพื่อคีบอาหารมาเติมให้ตนที่โต๊ะหิน หรือไม่ก็ยามที่เขาอ่านม้วนตำราอยู่ภายใต้ตะเกียง เมื่อถูกตนรบกวนกลับเแสร้งทำเป็จ้องตนอย่างจริงจังด้วยความโปรดปราน หลังจากนั้นดุตนด้วยเสียงอ่อนโยน ให้ตนอย่าสร้างปัญหา...
“เฮ้อ...” เจียงเฉิงเยว่คิดและถอนหายใจ เื้ัเขาได้พบกับผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน ยังมีสหายที่จริงใจคอยปรับทุกข์กันในวงเหล้าและร่วมความเป็ตายมาด้วยกัน...แต่ไม่มีใครที่สามารถให้เขาได้เหมือนฉงซีิ...ทั้งความเลื่อมใส เคารพรัก การพึ่งพา ถึงขั้นสลักลงในจิตใจจนกลายเป็ความศรัทธา
ผู้ที่จากไปแล้วล้วนสลายหายไปกับสายลมและเมฆควัน เหลือเพียงน้ำเสียงและรอยยิ้มดั่งในอดีตที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขา กลับกลายเป็ความโหยหา เจียงเฉิงเยว่กำลังเศร้าโศกครั้งแล้วครั้งเล่ากับการที่สรรพสิ่งยังอยู่ แต่คนแปรเปลี่ยนอย่างหาได้ยาก ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงจาก้าหน้าผาเบาๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็เด็กหนุ่มแปลกหน้าหลายคน
“เ้าเป็ใคร? มาทำอะไรที่นี่?”
“ดูเสื้อผ้าของเขาสิ...ศิษย์ของวิหารหลิงเซียวบนยอดเขากระมัง?”
“วิหารหลิงเซียวได้สถานที่ที่มีพลังิญญาอุดมสมบูรณ์ที่สุดบนยอดเขาตอนเหนือแล้ว...ทำไม? ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
“ถูกต้อง พวกเราหาสถานที่ฝึกฝนที่มีพลังิญญายอดเยี่ยมบริเวณนี้อย่างยากลำบาก หรือว่าพวกเ้า้าจะแย่ง? ไม่รังแกผู้อื่นเกินไปหรือไร?”
“คิดว่าพวกเ้าออกมาจากอารามเต๋าของราชวงศ์แล้วจะเดินกร่างได้หรือ?”
“...”
พวกเขาโหวกเหวกเสียงดังกันเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่ค่อยๆ เข้าใจถึงความเป็ไปได้ เดิมทีสถานที่ที่มีพลังิญญาอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งนี้ เขาไม่ใช่คนเดียวที่ค้นพบ นอกจากวิหารหลิงเซียวแล้วยังมีอารามเต๋าอื่นอีกหลายแห่งบนยอดเขาทางตอนเหนือ แม้จะเทียบไม่ได้กับวิหารหลิงเซียวที่มีเื้ัเป็ราชวงศ์ แต่ภูมิหลังก็ไม่ได้น้อย ศิษย์ของอารามเต๋าหลายคนถูกวิหารหลิงเซียวกดศีรษะมาตลอดหลายปี ในใจย่อมอึดอัดเป็ธรรมดา ที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ ‘เขตป่า’ ที่อยู่ในขอบเขตของวิหารหลิงเซียวและอารามเต๋าอื่นๆ ทว่ายามนี้กลับกลายเป็สถานที่แห่งการโต้เถียง สามารถต่อสู้เพื่อแย่งชิงได้
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เหล่าเด็กหนุ่ม้าจะสื่อคือมาก่อนต้องได้ก่อน ในเมื่อเป็พวกเขาที่ค้นพบก่อน เขตป่าแห่งนี้จึงกลายเป็สถานที่ฝึกฝนของพวกเขาโดยเฉพาะ
เจียงเฉิงเยว่ส่งเสียงในลำคอ เดิมทีนอกจากเขาแล้วยังมีศิษย์ของวิหารหลิงเซียวคนอื่นที่แอบออกมาอีกหรือ? ในวิหารหลิงเซียวมีลูกศิษย์จำนวนน้อยเช่นนั้น เจียงเฉิงเยว่อาศัยอยู่ในวิหารหลิงเซียวมาสองเดือนกว่า โดยพื้นฐานแล้วอาจรู้จัก เสียดายที่ศิษย์คนนั้นมิได้ตอบอะไร เจียงเฉิงเยว่พยายามแยกแยะผ่านเสียงว่าเป็ใครกลับทำไม่สำเร็จ
ท่าทีเงียบเชียบไม่พูดไม่จาของศิษย์วิหารหลิงเซียวดูเหมือนจะทำให้เด็กหนุ่มจากอารามเต๋าแห่งอื่นเ่าั้หงุดหงิด หลังพวกเขาพูดต่อ เสียงของพวกเขาเริ่มที่จะขาด่และแหลมสูง พวกเขาเริ่มเพิ่มระดับการตำหนิจนบานปลายขึ้นมา
“หากไม่ใช่เพราะ ‘องค์ชาย’ ตัวซวยทั้งสองที่อาศัยอยู่ในวิหารหลิงเซียว วิหารหลิงเซียวคงไม่ถึงขั้นกลายเป็สถานที่ต้องห้ามที่ไม่สามารถเปิดรับลูกศิษย์ได้... ‘องค์ชาย’ ผายลมสุนัขทั้งสองนั้นเห็นความครึกครื้นที่ใดก็ไปอย่างนั้นหรือ? วิหารหลิงเซียวเพียงไม่กี่คนเช่นนั้นกลับได้ยอดเขาตอนเหนือที่มีพลังิญญาอุดมสมบูรณ์...ช่างเป็การทำลายสิ่งของตามอำเภอใจเสียจริง...”
“ศิษย์พี่...นั่นเรียกว่าหวงก้างไม่ใช่หรือ...”
“ฮ่าๆๆ...ศิษย์น้องหกพูดได้มีเหตุผล!”
เจียงเฉิงเยว่พูดไม่ออก
ผู้ฝึกฝนกำลังต่อสู้กับชะตา์ เดิมทีก็ไม่ชอบที่จะผูกพันพิธีกรรมเ่าั้บนโลก ดังนั้นจึงไม่มีจิตใจที่เคารพมากเท่าไรต่อผู้ที่ถูกเรียกว่าคนในราชวงศ์ เพราะในวิหารหลิงเซียวมีองค์ชายฝึกฝนอยู่ จึงไม่สามารถรับผู้ใดมาได้โดยปริยาย เพราะอย่างนั้นศิษย์ธรรมดาเหล่านี้ที่เดิมทีมีคุณสมบัติจะเข้าสู่วิหารหลิงเซียวเพื่อฝึกฝน จึงถูกปล้นโอกาสในการฝึกฝนอย่างเปล่าประโยชน์ และทำได้เพียงถอยไปเลือกอารามเต๋าแห่งอื่นที่รองลงมา เมื่อเป็เช่นนี้ เหล่าคนที่ไม่พอใจองค์ชายทั้งสองในวิหารหลิงเซียวจึงเพิ่มมากขึ้น
“เฮ้...ไอ้หนู ในเมื่อเ้ามาจากวิหารหลิงเซียว...สู้บอกพวกเราหน่อยว่าองค์ชายผายลมสุนัขทั้งสองนั้นบ่มเพาะอย่างไรกันในยามนี้? เมื่อไรจะเก็บหางแล้วหนีกลับโซ่วหลิงอย่างเชื่อฟัง จะได้ยุ่งกับการบ่มเพาะที่แท้จริงเหล่านี้กับพวกเราให้น้อยลงหน่อย...”
“อา...” ทันใดนั้น เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกรีดร้องด้วยความใ เหล่าเด็กหนุ่มเริ่มโกรธหนักจนกระทั่งะโออกมา “มาถึงถิ่นของพวกเราอย่างไม่มีเหตุผล แล้วยังกล้าลงมือทุบตีผู้คนอีกหรือ?”
“เหล่าพี่น้องอย่าไปกลัว...วิหารหลิงเซียวช่างยอดเยี่ยม! สังหารเขาเลย! ไอ้เด็กเหลือขอ! ข้าหมดความอดทนแล้ว!!!”
“...”
เจียงเฉิงเยว่กลอกตา คิดว่าท้ายที่สุดแล้วคือเด็กเหลือขอคนไหน? เห็นว่าพวกเขามีจำนวนมากจะไม่หาทางรอดแล้วเลิกพัวพันกับพวกเขาหรือ? หรือในทางกลับกันการเข้าไปยั่วยุ เกรงว่ากลุ่มพวกเขาจะไม่ทุบตีเ้าถึงตายหรือ? เ้าคิดว่าเวลานี้ควรช่วยหรือไม่ช่วยดี?
หากช่วย...องค์รัชทายาทที่ป่วยจนไร้กำลังผู้นี้บินขึ้นจากขอบหน้าผาเพื่อไล่กลุ่มศิษย์จากอารามอื่นๆ ให้แตกกระเจิง นี่คงกลายเป็ความกล้าหาญที่ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร อีกทั้งเขตป่าด้านข้างรอยแยกของหน้าผานี้ เขาพบด้วยความยากลำบาก ซึ่งภายหลังอาจไม่ต้องขัดแย้งกับคนเ่าั้บนหน้าผาแล้ว จึงยังไม่อยากยอมแพ้
หากไม่ช่วย...สุดท้ายแล้วก็เป็แค่เด็กทะเลาะกัน...ไม่ควรจะร้ายแรงถึงชีวิตใช่หรือไม่?
เมื่อเจียงเฉิงเยว่ตัดสินใจที่จะให้ศิษย์น้อยผู้เย่อหยิ่งไม่เปลี่ยนแปลงของวิหารหลิงเซียวผู้นั้นเสียเปรียบสักหน่อยเพื่อรับข้อมูลเชิงลึก กลุ่มเด็กหนุ่มบนหน้าผายังคงส่งเสียงดังโหวกเหวก ศิษย์วิหารหลิงเซียวผู้นั้นเปิดปากในที่สุด น้ำเสียงอ่อนเยาว์แต่กลับเ็าราวน้ำแข็ง คล้ายกับอีกฝ่ายกำลังระงับไฟโทสะ “ออกไปเสีย!”
สมองของเจียงเฉิงเยว่ะเิ เกือบจะลุกขึ้นโดยพลัน เสียงนี้ชัดเจนว่าคือ...หลี่อวิ๋นหัง?! เด็กตัวเหม็นผู้นั้นออกมาทำอะไรเพียงลำพัง?!
เขายังไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด ‘หลี่อวิ๋นหังต่อสู้เพียงลำพังกับกลุ่มศัตรู’ การรับรู้นี้กระแทกเข้าหน้าอกของเจียงเฉิงเยว่อย่างจัง ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความกังวล
------------------------