หลินอวิ๋นรีบตอบ “ท่านมีเื่อะไรหรือ?”
ขอทานกล่าว “เ้าพาเด็กเข้ามานอนเถอะ”
หลินอวิ๋นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แทบะโขึ้นจากพื้น “ขอบคุณมาก” หลังจากพูดจบ เขาอุ้มไป้เอ๋อร์ที่นอนหลับสนิท ม้วนฟูกแล้วตามอีกฝ่ายไปที่ประตูอย่างไม่เกรงใจ ขอทานคนนั้นชี้ไปยังพื้นที่โล่งเล็กด้านข้างตนเอง “นอนตรงนี้”
หลินอวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งอยากขอบคุณ ทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
หลังเขาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น หลินอวิ๋นปลุกไป้เอ๋อร์ พวกเขากำลังจะออกไปยังแผงขายของ ทว่าขอทานกลับเรียกพวกเขาไว้
”ท่านมีเื่อันใดอีกหรือ?” หลินอวิ๋นถาม
ขอทานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก “อย่าลืมไปที่กำแพงเมืองตะวันออกในตอนเที่ยง...”
หลินอวิ๋นกล่าว “ทำไมหรือ?”
ขอทานตอบกลับ “ประมาณเที่ยง อัครเสนาบดีจะแจกโจ๊กที่นั่น ถ้าไปสายอาจไม่เหลือ!”
หลินอวิ๋นอดที่จะดีใจไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงรีบกล่าวขอบคุณแล้วพาไป้เอ๋อร์ออกไปอย่างมีความสุข
.............................
“เร่เข้ามา เร่เข้ามา ผ่านมาแล้วอย่าได้พลาดไป!!!” โต๊ะไม้ผุพังเรียบง่ายถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมสีเหลืองยับยู่ยี่กับเก้าอี้ชำรุดที่เก็บมาจากกองขยะ ด้านหลังมีธงสกปรกขาดวิ่นพร้อมข้อความว่า ‘ทำนาย’ ขนาดใหญ่เขียนอยู่ หลินอวิ๋นเอามือป้องปากะโลั่นไปทั่วถนนที่มีคนพลุกพล่าน “ทดสอบอักขระ ทำนายดวงชะตา ดูฤกษ์แต่งงาน ปราบภูตผีปีศาจและดูฮวงจุ้ย...เร่เข้ามา เร่เข้ามา! ยังมีเครื่องรางที่ปกปักรักษาบ้านขายในราคาถูกราคายุติธรรม...ไม่ซื้อก็ไม่เป็ไร เข้ามาดูกันได้ตามสบาย...เฮ้ แม่นางท่านนี้ ดูฤกษ์แต่งงานหน่อยไหม? นี่...พี่สาวท่านนี้...ข้าเห็นว่าคิ้วของท่านขมวดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า...”
“ออกไปเสีย...”
“เฮ้อ...” ไป้เอ๋อร์รู้สึกเบื่อจึงนั่งยองเท้าคางอยู่บนพื้น จ้องมองอาจารย์ของตนตามตอแยผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างหน้าหนา จากนั้นลูบท้องที่หิวโหย พึมพำเสียงเบา “ดูเหมือนว่าจะเปิดร้านไม่ได้อีกวันหนึ่งเสียแล้ว...”
เป็ไปอย่างที่คาดคิด หลินอวิ๋นไล่ตามแล้วพูดคุยกับพี่สาวคนนั้นเป็เวลานาน ทว่ากลับถูกไล่ออกมาอย่างไม่อาจทนไหว หลินอวิ๋นดูเหมือนจะหดหู่เล็กน้อย แผ่นหลังตรงของเขาค้อมลงก่อนพึมพำกับตนเอง “หากไม่ได้อีก ดูเหมือนว่าจะต้องเป็พ่อค้าหาบเร่จริงแล้ว...ตอนนี้การใช้ชีวิตมันยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ไป้เอ๋อร์เห็นเขาเดินกลับมาก็เม้มปาก “ท่านอาจารย์ หากจะเป็พ่อค้าหาบเร่ ท่านต้องมีเงินทุนเสียก่อน...”
หลินอวิ๋นตกตะลึง “ถูกต้อง” เขามองไป้เอ๋อร์แล้วยื่นมือออกมา ใบหน้าจริงจัง “ถุงเงิน...”
ไป้เอ๋อร์อดไม่ไหว ถอนหายใจอีกครั้ง “ท่านอาจารย์อย่าไปดูเลย ั้แ่เมื่อวาน แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่เหลือ”
หลินอวิ๋นนิ่งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นยกยิ้มอย่างดูถูกตนเอง “ชิ” เขาเดินกลับมานั่งยองเท้าคางอยู่กับไป้เอ๋อร์ มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา จนกระทั่งเวลาผ่านไปนาน หลินอวิ๋นเอ่ยด้วยเสียงแ่ซึ่งแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดหลายส่วน “ลำบากเ้าแล้วที่ตามอาจารย์มา”
ไป้เอ๋อร์รีบส่ายศีรษะตอบกลับ “ท่านอาจารย์ พวกเรายังมีหมั่นโถวที่เหลือจากเมื่อวานอยู่ในห่อผ้า ข้าไม่หิว ทว่าท่านอาจารย์...ท่านไม่ต้องกินสิ่งใดจริงหรือ?”
หลินอวิ๋นระบายยิ้ม “ข้าบอกเ้ากี่ครั้งแล้วว่าอาจารย์คือผู้ผ่านการอดอาหาร มาแล้ว จะกินหรือไม่ย่อมไม่สำคัญ ประมาณว่าหิวก็ไม่ตายอย่างไรเล่า”
ไป้เอ๋อร์หันมองเขาแล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์ ไม่อย่างนั้นท่านสอนข้าอดอาหารก่อนเถิด”
หลินอวิ๋นเขกศีรษะของไป้เอ๋อร์ ศิษย์ตัวน้อยจับศีรษะไว้ด้วยความเ็ป หลินอวิ๋นยิ้มแล้วเอ่ย “อดอาหารอะไร? หนวดเคราของเ้ายังขึ้นไม่ครบเลย คิดจะฝึกอดอาหารหรือ...”
“โอ๊ย...”
“เ้าวางใจเถิด วันนี้เ้าจะไม่หิว อีกประเดี๋ยวเราจะเก็บร้านแล้วไปทางตะวันออกของเมือง ที่นั่นมีแจกโจ๊ก”
“อา ใช่แล้ว!!!”
หนึ่งร่างใหญ่กับหนึ่งร่างเล็กกำลังคุยกันอย่างกระตือรือร้น ทว่าไม่นานนัก องครักษ์ผู้แข็งแกร่งสองคนกลับเบียดเข้ามาจากถนน ผลักผู้คนที่สัญจรออกไปให้พ้นทางอย่างโเี้ ะโด้วยความโกรธ “ไปให้พ้น! เ้าไม่มีตาหรือ! ไสหัวไป!” คนสัญจรที่ถูกพวกเขาผลักออกมาหันกลับไปมอง จากนั้นถึงนึกออกว่าเป็ผู้ใด ถึงอย่างนั้นกลับทำเพียงแค่โกรธ ไม่กล้าพูดจา
หลินอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วมองไปยังคนที่บุกเข้ามา เห็นเพียงองครักษ์สองคน ด้านหลังตามมาด้วยชายวัยกลางผู้หนึ่ง รูปร่างไม่สูงนัก ใบหน้ามืดมน มีไอดำอยู่บนใบหน้า
หลินอวิ๋นเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
ชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีหม่น ผ้าต่วนคลุมไหล่สีส้มเหลือง กระเป๋าด้านหลังปักตัวอักษรเล็กๆ สามตัวเป็สัญลักษณ์ว่า ‘ถงซิ่งจี้’ ซึ่งเป็กลุ่มคนผู้เดินผ่านเมืองอย่างเย่อหยิ่งและวางอำนาจ หลังจากเห็นเงาร่างของพวกเขาห่างออกไปเรื่อยๆ หลินอวิ๋นจึงหันไปพูดกับไป้เอ๋อร์ “เ้ารอข้าอยู่ที่นี่ อย่าไปไหน เข้าใจไหม?”
ไป้เอ๋อร์มองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างก่อนเอนตัวเล็กน้อย พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ร่างของหลินอวิ๋นเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เขาติดตามอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้นอยู่ไกลๆ โดยไม่มีร่องรอยใดปรากฎ ใบหน้าจริงจัง
เดินอยู่ไม่นาน เขาเห็นคนเ่าั้เข้าไปในร้านค้าที่ดูหรูหรา มีป้ายที่แขวนอยู่บนร้าน หลินอวิ๋นจึงเงยหน้าขึ้นมอง เป็ไปอย่างที่คาด ถงซิ่งจี้
หลินอวิ๋นไม่กล้าที่จะเข้าไป จากการแต่กายที่ซอมซ่อของเขา หากบุ่มบ่ามเข้าคงโดดเด่นยิ่ง จึงได้แต่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน เห็นชายวัยกลางคนผู้นั้นพูดคุยกับพรรคพวกแล้วขึ้นตึกไป
เขาบีบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนเหลือบไปเห็นแผงน้ำชาด้านข้างกำลังต้อนรับขับสู้ลูกค้าอยู่พอดี แลดูกิจการรุ่งเรือง หลินอวิ๋นเดินไปพร้อมกอดอก พบชายวัยกลางคนสองสามคนรวมตัวกันเพื่อดื่มชาและสนทนา เดิมทีหลินอวิ๋น้าสั่งชาแบบเดียวกันเพื่อเข้าร่วมกับพวกเขา ทว่าเมื่อเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาดื่มคือสินค้าพิเศษของโซ่วหลิงที่เรียกว่า ‘ชาบ๊วยดำเย็น’ ซึ่งเป็ชาชนิดหนึ่งที่ต้มกับพลัมมะเกลือ สะระแหน่ และชะเอม เป็ต้น โดยหลังจากคั้นน้ำพร้อมเหล้าหมักทำเป็ชาเย็นแล้ว เหมาะเป็อย่างยิ่งที่จะดื่มใน่ฤดูร้อน เบื้องบนของโซ่วหลิงั้แ่ขุนนางระดับสูงไปจนถึงคนธรรมดาต่างก็ชมชอบ แม้ว่าจะราคาไม่แพงจนเกินไป ทว่าหลินอวิ๋นยังคงจ่ายไม่ไหวในยามนี้ สุดท้ายจึงสั่งเพียงน้ำเย็นเท่านั้น พร้อมทำตัวกลมกลืนเข้าไปอย่างหน้าหนา
เขายกหัวข้อเื่อัครเสนาบดีหลิวขึ้นมาพูดอย่างแยบยล โชคดีที่อัครเสนาบดีหลิวมีอำนาจในฝ่ายราชสำนัก ชาวจงซานทุกคนต่างทราบดี เมื่อสอดแนมได้เล็กน้อยจึงถามคำถามทั่วไป อย่างอัครเสนาบดีหลิวคนนี้มาจากจิ่นโจว โดดเด่นจากการทำการค้า วัยเด็ก่ที่เข้าเรียนก็ค่อนข้างเฉลียวฉลาด ว่ากันว่าเขาเป็เด็กอัจฉริยะที่มีชื่อเสียง คือพ่อค้าผู้มีหลักการขงจื๊อซึ่งมีชื่อเสียงในจิ่นโจว ทำการกุศล มีบารมีอย่างมากในมณฑลโดยรอบ ่เวลาต่อมา เขาใช้เงินเพื่อบริจาคให้กับขุนนางชั้นผู้น้อย จากนั้นจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ไต่ระดับทีละเล็กทีละน้อยจากปลัดอำเภอเป็อัครเสนาบดี...ประสบการณ์เช่นนี้ค่อนข้างเป็ตำนานเลยทีเดียว
หลินอวิ๋นยังได้ยินว่าพวกเขาทราบดีเกี่ยวกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ่ปีแรกๆ ของอัครเสนาบดี รวมถึงประวัติโชคลาภของเขา หลังจากเฝ้าดูพ่อบ้านของจวนสกุลหลิวชำระเงินเสร็จแล้วออกจากประตูร้านถงซิ่งจี้ พวกเขายังคงะโเพื่อเปิดทาง โดยห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่สองสามคน
หลินอวิ๋นรีบบอกลาลูกค้าร้านน้ำชาที่กำลังคุยกันอย่างกระตือรือร้นที่แผงน้ำชา ลุกขึ้นไล่ตามพ่อบ้านวัยกลางคนผู้นั้นไป
เขาติดตามคนเ่าั้ไปยังมุมถนนที่ห่างไกลออกไป เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดมาจึงใช้เคล็ดวิชาเล็กน้อยเพื่อตรึงองครักษ์ที่อยู่โดยรอบพ่อบ้านหลิว ทำเอาพ่อบ้านหลิวใจนมองซ้ายมองขวาอย่างทำอะไรไม่ถูก
หลินอวิ๋นปรากฏตัว เดินออกไปช้าๆ จากนั้นประสานมือให้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้ อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เห็นจุดอิ้นถัง ของท่านเป็สีดำ ล้อมรอบไปด้วยภูตผี คิดว่าต้องเกิดเภทภัยในจวนเป็แน่ ข้าน้อยจึงอยากช่วยคุณชายให้พ้นเคราะห์”
พ่อบ้านวัยกลางคนค่อยๆ ฟื้นคืนสติจากความตกตะลึง สังเกตนักพรตน้อยที่อยู่เบื้องหน้า พลันทราบว่าได้พบกับตัวแสดงเข้าแล้วจึงแสร้งยิ้ม “ท่านนักพรต...ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็คนของจวนใด? หากท่านนักพรตตอบว่าไม่ ข้าน้อยก็ไม่อาจเชื่อ”
หลินอวิ๋นยิ้มก่อนตอบ “แน่นอนว่าข้ารู้”
พ่อบ้านหลิวประสานมือแล้วส่งยิ้มให้อีกครา “ในเมื่อท่านนักพรตขวางข้าไว้ ้าทราบสถานการณ์ภายในจวนของเ้านายข้าอย่างนั้นหรือ?”
หลินอวิ๋นยังคงยกยิ้มตอบ “ถูกต้อง”
พ่อบ้านหลิวกล่าว “เช่นนั้นท่านนักพรตคงทราบว่าภายในจวนของเ้านายข้ามีคนเช่นใดอยู่บ้างเวลานี้ อภัยให้ข้าด้วยที่บังอาจเสียมารยาท...แม้แต่สำนักที่มีชื่อหรือไป๋เจ๋อจวินคนใดต่างก็ไม่กล้าโอ้อวดว่าพวกเขาสามารถกำจัดหายนะของเ้านายข้าได้ เช่นนั้นเหตุใดท่านนักพรตจึงมั่นใจว่าจะกำจัด ‘หายนะ’ ของเ้านายข้าได้หรือ?”
หลินอวิ๋นหัวเราะแ่เบา จากนั้นหยิบถุงผ้าเล็กออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้พ่อบ้านหลิว “พ่อบ้านหลิวเพียงส่งของชิ้นนี้ให้กับเ้านายของท่าน ในเมื่อมีเซียนอยู่ในจวน พวกเขาย่อมทราบถึงความลึกล้ำของมันแต่โดยดี ส่วนที่เหลือพ่อบ้านหลิวไม่ต้องกังวล พวกเขาจะกลับมาตามหาข้าด้วยตนเอง”
พ่อบ้านวัยกลางคนรับถุงผ้าที่ดูธรรมดามาจากฝ่ามือของเขาอย่างเคลือบแคลงใจ ขมวดคิ้วมองตอบอย่างละเอียดด้วยความฉงน น่าเสียดายนักที่ตนไม่ได้เป็คนของสำนักเต๋า ดังนั้น โดยปกติแล้วจึงไม่อาจทราบชื่อเสียงเรียงนามของมัน เขาเงยหน้าขึ้นมองนักพรตหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งมีท่าทีเต็มไปด้วยความมั่นใจ และเมื่อเห็นองครักษ์จากทั้งสองฝั่งถูกอีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาตรึงเอาไว้ การทำให้ขายหน้านั้นไม่ใช่เื่ดี จึงต้องหดแขนเสื้อกลับแล้วประสานมือตอบ “ขอบคุณท่านนักพรต...อย่างไรก็ตาม ท่านนักพรตมีทักษะเซียนเช่นนี้ ทั้งยังรู้สถานการณ์ภายในจวน เหตุใดจึงไม่มาที่หน้าประตูพร้อมกับสำนักเต๋าที่มีชื่อด้วยความสง่างามเล่า?”
หลินอวิ๋นหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าว “ข้าน้อยเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา ไร้ซึ่งสำนัก...”
หลังกล่าวเช่นนี้ พ่อบ้านหลิวจึงเข้าใจเช่นกัน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าขอบังอาจถามท่านนักพรต ในอนาคตข้าจะตามหาท่านได้ที่ใด?”
หลินอวิ๋นบอกด้วยรอยยิ้มอีกครา “ทางตะวันตกของเมือง...เอ่อ...” เขาลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วกลืนคำว่า ‘ซากวัด’ สองคำนี้ ซึ่งเป็ที่ที่กลุ่มขอทานมารวมตัวกันลงไป นี่ค่อนข้างจะพูดยากจริงเชียว
พ่อบ้านหลิวไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ถึงได้ช่วยเขาจากความคับข้อง “ทางตะวันตกของเมืองนั้นอยู่ไกล จึงไม่สะดวกเป็อย่างยิ่ง...ห่างจากที่นี่ไม่ถึงครึ่งลี้จะมีสวนฟางชิ่นซึ่งเป็ลานอีกแห่งของจวน ตั้งอยู่ในที่เงียบสงบ ถูกทิ้งร้างจึงมีความรกเล็กน้อย หากท่านนักพรตไม่รังเกียจท่านสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว หลังจากนี้ ่ที่เรา้าร้องขอท่านนักพรต คงช่วยให้เราสามารถตามหาท่านได้ง่ายขึ้น”
หลินอวิ๋นชะงัก คิดในใจว่าช่างดียิ่งนัก เขารีบประสานมือขอบคุณ “เมื่อเป็เช่นนี้ก็ขอบคุณท่านมาก”
พ่อบ้านหลิวยิ้ม
ทั้งสองบรรลุข้อตกลงโดยพื้นฐานแล้ว หลินอวิ๋นบอกลาแล้วจากไปอย่างเข้าใจสถานการณ์ ทว่าก่อนจากไปเขาดีดนิ้ว องครักษ์สองสามคนตรงนั้นจึงถูกปลดปล่อยจากการตรึงด้วยความงุนงง แต่ละคนราวกับตื่นขึ้นจากฝัน
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าก็ไม่รู้...”
“...”
พ่อบ้านหลิวไม่สนใจพวกเขา มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มชุดดำพลางครุ่นคิด
.............................
หลินอวิ๋นรีบกลับไปที่แผง คว้าไป้เอ๋อร์แล้วเก็บแผงร้าน จากนั้นรีบวิ่งไปที่ประตูเมืองทางทิศตะวันออกอย่างตื่นเต้น ผ่านมาถึง่บ่าย โจ๊กถูกแจกจนหมดเกลี้ยงแล้ว ขอทานใจดีที่เตือนพวกเขายามเช้าก็อยู่ในหมู่คนเ่าั้ด้วย กำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามฝูงชนเพื่อต่อแถว
เมื่อเห็นหลินอวิ๋นเขาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ข้าบอกเ้าแล้วว่าอย่าสาย ห้ามสาย...ทำไมถึงเพิ่งมาตอนนี้ ข้ามาต่อแถวเป็รอบที่สองแล้ว!”
หลินอวิ๋นหัวเราะบอก “ข้ามีธุระบางอย่างจึงล่าช้า” หลังจากพูดจบ เขาดันไป้เอ๋อร์ให้นำหน้าไปต่อแถว
ผู้คนหิวโหยต่อแถวกันทั้งหน้าและหลัง มีทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเสื้อผ้ามอมแมม ขณะที่ถือถ้วยชามชำรุดก็รำพันถึงคุณงามความดีของท่านอัครเสนาบดีไปด้วย
หลินอวิ๋นเริ่มสงสัยขึ้นมา ถามขอทานต่อ “ท่านอัครเสนาบดีแจกโจ๊กมา...กี่วันแล้วหรือ?”
ขอทานกล่าว “มีมาครึ่งปีแล้ว”
หลินอวิ๋นเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ขอทานตอบกลับ “ใช่แล้ว...ได้ยินว่ามีผู้วิเศษคอยชี้แนะ เป็การตอบแทนต่อความโชคดี”
หลังจากถึงตาของพวกเขา แม้ว่าหลินอวิ๋นจะฝึกวิชาอดอาหารมาแล้ว แทบไม่้าเงินทองก็ยังกินโจ๊กไปหลายชาม เขาลูบท้องอย่างพึงพอใจ กล่าวลอยๆ ด้วยรอยยิ้ม “อัครเสนาบดีช่างเป็ขุนนางที่ดีจริงเชียว” ข้ารับใช้จากจวนสกุลหลิวที่ตักโจ๊กอยู่พยักหน้าไม่หยุด
ภายหลังรับประทานโจ๊กเสร็จ ขอทานนึกถึงบางเื่อีกครั้งจึงถามหลินอวิ๋น “เฮ้ นักพรตน้อย คืนนี้เ้ายังจะกลับไปนอนที่ซากวัดหรือไม่? หากจะกลับไปต้องรีบหน่อย...ข้าจะบอกเ้าไว้ ซากวัดแห่งนั้นใครมาก่อนย่อมได้พื้นที่ก่อน ลองดูสิว่าใครไม่กล้าโยนเ้าทิ้งบ้าง อย่าคิดว่าจะได้ทำเลดีๆ อย่างตรงกลาง หากกล้าไปตรงนั้น รับประกันว่าพวกคนร่างกำยำเ่าั้ต้องทุบตีเ้าแน่นอน บริเวณที่ข้าให้เ้านอนเมื่อวานนั้นไม่มีปัญหา แค่หันฟูกไปทางหน้าต่างเพื่อเลี่ยงกลิ่นเรอและผายลมเหม็นภายในห้อง...”
หลินอวิ๋นได้ฟังก็ยิ้มพร้อมประสานมือ เขาเห็นว่าเริ่มคุ้นเคยกับขอทานอยู่บ้างจึงเปลี่ยนคำเรียก “ขอบคุณมากพี่ชาย...แต่ว่าคืนนี้ข้าไม่อาจไปได้ ทางตะวันตกของเมืองอยู่ไกลเกินไปจึงตั้งแผงขายไม่สะดวก และบังเอิญมีคนเชิญพวกเราไปพักที่ส่วนหน้าของสวนฟางชิ่น พวกเรา...”
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงขอทานะโด้วยความสยดสยอง “สวนฟางชิ่น?!” ทันทีที่กล่าวออกมา ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้คนสัญจรซึ่งกำลังรับประทานโจ๊กอยู่โดยรอบต่างตกตะลึง จ้องมองพวกเขาอย่างเหม่อลอย
หลินอวิ๋นรู้สึกงงงวย นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เขาค่อยๆ ถาม “อืม...สวนฟางชิ่น...มีอะไรกันหรือ?”
ขอทานตบที่ต้นขาของตน แค้นเคืองกับความไม่เป็ธรรมนี้ “นักพรตน้อย! เ้าไปทำให้ใครขุ่นเคืองใจหรือไม่? คนผู้นี้้าสังหารเ้าเป็แน่แล้ว!!! สวนฟางชิ่นแห่งนั้น...มีผีสิงอยู่!!!”
หลินอวิ๋นตกตะลึงก่อนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นสวนฟางชิ่นเริ่มมีผีสิงั้แ่เมื่อไร?”
“มีมาหลายปีแล้ว”
หลินอวิ๋นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “หากเป็เช่นนี้ยิ่งต้องไปหาคำตอบ”
ดวงตาของขอทานเบิกกว้าง “นักพรตน้อยผู้นี้ เ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”“
หลินอวิ๋นยิ้มและกล่าว “พี่ชาย อย่าดูถูกข้า อย่างไรข้าก็เป็นักพรตไม่ใช่หรือ? การจับผีและปราบปีศาจเป็หน้าที่ของข้า”
ขอทานเกลี้ยกล่อมเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้นส่ายศีรษะอย่างจนใจแล้วพึมพำ “บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว...”
หลินอวิ๋นระบายยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาอยากทดสอบฝีมือของตน
ค่ำคืนนั้น หลินอวิ๋นพาไป้เอ๋อร์ไปที่สวนฟางชิ่นอย่างเบิกบานใจ สวนแยกขนาดใหญ่รกร้างจริง ประตูกับหน้าต่างทั้งหมดเปิดอยู่ บนพื้นปกคลุมไปด้วยฝุ่น ทว่าหลินอวิ๋นกลับไม่ได้สนใจอะไร เขายิ้มแล้วพูดกับไป้เอ๋อร์ “เลือกสักห้อง คืนนี้เราสองคนจะเข้าพัก”
ไป้เอ๋อร์ชี้ไปที่ห้องนอนห้องหนึ่งอย่างลวกๆ หลินอวิ๋นพาอีกฝ่ายเปิดประตูเข้าไป จากนั้นปัดฝุ่นเล็กน้อย ย้ายฟูกผุพังที่พวกเขานำมาปูบนเตียงอันหรูหราอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิด ห่มผ้าแล้วลูบไป้เอ๋อร์ให้หลับ
เป็อย่างที่คาดไว้ กลางดึกความโกรธแค้นรุนแรงบุกเข้ามาถึงตัว หลินอวิ๋นจึงถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นบางสิ่งซึ่งเป็สีดำแกว่งไปมาเป็จังหวะในความมืด หลังจากนั้นคานไม้พลันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
ภายหลังอาศัยแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่าง เขามองดูวัตถุที่แกว่งอยู่อย่างละเอียด ทันใดนั้น ภายใต้แสงจันทร์กลับพบกับจุดสีดำสองจุดบนลูกตาสีขาวหิมะที่เกือบจะถลนออกมาจากเบ้าตา หญิงสาวตนนั้นแขวนร่างอยู่บนคาน มีใบหน้าซีดเซียว อวัยวะทั้งห้าบิดเบี้ยว ปากสีม่วงดำยื่นลิ้นขนาดใหญ่ออกมา ปลายลิ้นมีของเหลวสีขุ่นหยดออกมาเป็ระยะ บนอกเสื้อมีรอยเปื้อนขนาดใหญ่ ทั้งร่างถูกมัดให้ตรง รองเท้าปักคู่หนึ่งห่างจากพื้นอยู่สามฉื่อ กำลังแกว่งไปมา
“ชิ”
หลินอวิ๋นรีบหันศีรษะไปมองไป้เอ๋อร์ที่หลับอยู่ข้างกาย แน่นอนว่าอีกฝ่ายยังคงหลับสนิทโดยไม่รู้เื่อะไร เขากดฝ่ามืออย่างเงียบงันเป็เคล็ดวิชาบางอย่าง สร้างเขตอาคมป้องกันที่ไม่มีวันสลายจากิญญาชั่วร้ายธรรมดา หลินอวิ๋นพลิกตัวแล้วลุกจากเตียง ทันทีที่ปลายเท้าของเขาถึงพื้น ความรู้สึกเย็นเยียบพลันแล่นไล้ตามข้อเท้าขึ้นมาถึงน่อง เขาก้มศีรษะลงมอง เห็นว่าเท้าทั้งสองข้างถูกเส้นผมสีดำยุ่งเหยิงพันธนาการเอาไว้ หากว่าวิถีเต๋าของเขาต่ำกว่านี้สักหน่อย เกรงว่าจะสลัดจากมันแล้วออกไปจากห้องนี้ไม่ได้
หลินอวิ๋นยิ้ม หลังจากนั้นเส้นผมที่พันธนาการเขาไว้ถูกเปลวเพลิงสีเหลืองสว่างไสวแผดเผาในทันที มีเสียง ‘จี๊ดๆ’ มาจากใต้เตียง เสียงร้องนี้ราวกับมนุษย์ทว่าก็ไม่ใช่มนุษย์
เขาลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าผีหญิงสาว เงยหน้าขึ้นมองนาง ลูกตาของผีตนนั้นกลอกอย่างเชื่องช้า กำลัง ‘มอง’ มาที่เขา เืไหลรินออกจากเบ้าตา คราบเืไหลลงมาตามใบหน้า หลินอวิ๋นระบายยิ้ม จากนั้นยื่นมือผลักออกไป กล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สา “พี่สาวท่านนี้ ขอโทษด้วย”
ทันทีที่ฝ่ามือของเขาัักับร่างศพนั้น ผีหญิงสาวกรีดร้องแล้วจางหายไป กลายเป็ฝุ่นไม่เหลือร่องรอย
เขาผลักประตู ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงจากนอกประตู สวนฟางชิ่นที่เงียบสงบยามกลางวัน เวลานี้กลับมีเสียงอึกทึกวุ่นวาย มีร่างมนุษย์ร่างหนึ่งสภาวะกึ่งโปร่งแสงสีเทาดำเลือนราง หลังจากเห็นเขาปรากฏออกมา ‘คน’ ที่อยู่นอกประตูเ่าั้ต่างตะลึง จากนั้นดิ้นพล่าน ราวกับรู้ว่านี่คือผู้บุกรุก ร่างเดิมของเขานั้นก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ในสวนแยกแห่งนี้จึงเหมือนใส่น้ำลงในน้ำมันเดือด เสียง ‘เปรี๊ยะ’ จากพื้นที่ะเิดังขึ้น กลายเป็เงาดำของลูกธนูแหลมคมพุ่งเข้ามา
หลินอวิ๋นพลิกตัวเบาๆ เหยียบบนชายคาหินประดับ หลบไปทางซ้ายกับขวาในอากาศ ในที่สุดก็ลงสู่พื้นด้วยอาการสั่นเล็กน้อยบริเวณ่เอว เขายกยิ้มพลางตบเบาๆ บนซากดาบเหล็กสีดำเก่าๆ อย่างมั่นใจ “อดทนสักหน่อย สถานการณ์เล็กน้อยเช่นนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่ท่านผู้าุโต้องลงมือหรอก”
ภายหลังกล่าวจบ เขาหยิบยันต์ออกมาจากถุงเฉียนคุน ตรงที่คาดเอว เงาดำทุกตนที่พาดผ่านตรงหน้าล้วนถูกยันต์ฟาดในพริบตา ก่อนที่เงาดำเ่าั้จะค่อยๆ ถูกดูดเข้าไปในเครื่องราง ลอยอยู่ในอากาศก่อนพลิกตกลงสู่พื้น ราวกับใบไม้สีเหลืองที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ในบรรดาภูตผีและเงาดำที่พาดผ่านหลินอวิ๋น มีหนึ่งหรือสองตนที่เป็รูปธรรมชัดเจน กลับดูเหมือนว่าพวกมันมีวิถีบำเพ็ญที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า จับได้ยากอย่างยิ่ง แม้ว่าจะฟาดด้วยเครื่องราง ถึงอย่างนั้น ร่างของพวกมันกลับไม่ได้รับผลกระทบใด พุ่งมาหาหลินอวิ๋นโดยตรง ทำให้หลินอวิ๋นไม่ทันหลบหนี
“ฮิๆ น่าสนใจ!” เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พลางหยิบเส้นไหมสีทองประกายสีเหลืองสว่างจากถุงเฉียนคุนออกมาพันรอบปลายนิ้ว ฉับพลันเส้นด้ายดูเหมือนจะมีชีวิต พุ่งตรงผ่าอากาศไล่ตามเหล่าิญญาสองสามตนที่มีวิถีบ่มเพาะล้ำลึก ราวกับอสรพิษโกรธเกรี้ยวดุร้าย ไม่กัดทว่าไม่คิดรามือ
เมื่อเห็นว่าเส้นไหมกำลังจะทะลุร่างภูตผีและเงาดำ เวลานี้กลับได้ยินเสียงผลักประตูพอดี ไป้เอ๋อร์เดินออกมาเท้าเปล่าพร้อมขยี้ตาอย่างง่วงงุน เรียกเสียงเบาอย่างเป็กังวล “ท่านอาจารย์...”
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้