ดวงตะวันสาดส่อง หิมะละลาย ท้องฟ้าสีครามสดใส ขับเน้นให้ทิวเขาแมกไม้งดงามตระการตา
แต่คนที่เดินทางอยู่ภายใต้แสงตะวัน อารมณ์กลับไม่ได้แจ่มใสนัก
เสียงเดาะลิ้นจิ๊จ๊ะด้วยความหงุดหงิดดังมาตลอดทาง
"หลังหิมะละลาย พื้นก็เฉอะแฉะไปหมด รองเท้าจะพังหมดแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นวางกระบุงบนหลังลง หลังจากนั้นก็ป้ายโคลนที่ติดส้นรองเท้ากับต้นหญ้า "อาเหลย มานี่ มาเช็ดโคลนออกจากเท้า"
เธอกวักมือเรียกอาเหลยให้มาทำความสะอาดเท้า พวกเขาเดินเลียบริมแม่น้ำมาตลอดทาง ต้นไม้ค่อนข้างน้อย อาเหลยเดินบนพื้น มือเท้าของมันจึงมีแต่โคลน
อาเหลยเอาเท้าป้ายไปบนต้นหญ้าเลียนแบบเธอ
เหลียนเซวียนเดินช้าๆ ตามอยู่ด้านหลัง บนรองเท้าฟางก็ติดดินโคลน
หลังกินมื้อเช้า พวกเขาก็เดินมาตามทางเลียบฝั่งแม่น้ำ ผ่านลำธารเล็กๆ ที่แยกออกมาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
แถบนี้เป็สถานที่ที่พวกเขาไม่ได้เดินผ่านมาก่อน
"เหลียนเซวียน จะพักหน่อยไหม"เซวียเสี่ยวหรั่นถามตามปรกติ
ระหว่างทางเธอถามนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งเขาล้วนส่ายหน้า
เขาเดินช้ามากอยู่แล้ว หากไม่ทันไรก็พัก วันหนึ่งจะเดินได้เท่าไรกันเชียว
เซวียเสี่ยวหรั่นเบะปาก ยักไหล่อย่างจนปัญหา เอาเถอะ แค่เขาไหวก็พอ
การเดินทางพร้อมกับเหลียนเซวียนแท้จริงแล้วก็ค่อนข้างสบาย กระบุงที่เซวียเสี่ยวหรั่นแบกหนักมาก แต่เหลียนเซวียนเดินช้า เธอมีเวลาพักนานหน่อย จึงไม่รู้สึกเหนื่อย
แต่กระบุงที่เหลียนเซวียนแบกไว้บนหลัง เป็อุปสรรคให้เขายิ่งเดินช้าลง เซวียเสี่ยวหรั่นแบกบนหลังหนึ่ง สะพายไว้ข้างหน้าอีกใบ พักทุกห้าหกร้อยเมตร รอเหลียนเซวียนเดินมาถึงค่อยไปต่อ
ท้องฟ้าแจ่ม บรรยากาศในป่าเปลี่ยนไปเป็สุขสันต์เริงร่า เสียงปักษานานาชนิดขับขานเป็พักๆ อยู่บนกิ่งไม้ เป็ท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู
เหลียนเซวียนถือไม้เท้าเดินไม่หยุดแม้แต่ชั่วเค่อเดียว เสียงกระแสน้ำไหลรินด้านข้างสลับกับเสียงนกผ่านเข้ามาในหู ช่วยประโลมให้เท้าที่เหนื่อยล้าของเขาเบาขึ้นหลายส่วน
"นกเยอะจัง ไม่รู้ว่ามีไข่นกรึเปล่าสิ"
จู่ๆ เสียงทำลายบรรยากาศก็โพล่งออกมา เหลียนเซวียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย
"โอ้โห ต้นไม้ต้นนั้นสูงใหญ่มากเลย คงไม่ใช่ต้นไม้ปิศาจพันปีหรอกนะ"
เสียงของแม่นางผู้นี้ดังมาตลอดทาง เหลียนเซวียนนึกเอือมระอาอยู่บ้าง
"อาเหลย เ้ากินอะไรส่งเดชอีกแล้ว อย่าให้ท้องเสียเชียวนะ"
"เหลียนเซวียน ด้านหน้าทางซ้ายมีก้อนหิน เดินเลี่ยงหน่อย"
"เหลียนเซวียน ด้านหน้าทางขวามีหลุมใหญ่ เดินหลบด้วย "
"เหลียนเซวียน ตรงไปด้านหน้ามีพุ่มไม้ เดินเลี้ยวอ้อมไปทางซ้าย"
เสียงจู้จี้จุกจิกแสดงถึงความห่วงใยของหญิงสาวดังขึ้นตลอดเส้นทางที่ก้าวเดิน
ยามเที่ยงตรง เป็เวลาที่แสงอาทิตย์แสบตาที่สุด ในที่สุดคณะเดินทางก็หยุดพักผ่อน
เซวียเสี่ยวหรั่นปูเสื้อบนพื้นกรวดที่แห้งสนิท แล้วประคองเหลียนเซวียนนั่งลง หลังจากนั้นก็ย้ายก้อนหินมาตั้งเป็เตาหิน ก่อนวิ่งไปหาไม้กับหญ้าแห้งมาทำเชื้อไฟ แต่ฟืนเปียกชื้นทำให้ต้องเสียเวลาในการจุดไฟมากหน่อย
แล้วเอาหม้อจากกระบุงไปตักน้ำที่ริมแม่น้ำ ยกขึ้นตั้งบนเตาหิน
"กินมื้อเที่ยงเสร็จ พวกเราพักผ่อนสักครู่ค่อยเดินทางต่อ" เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองเหลียนเซวียนปราดหนึ่ง ั้แ่ก้าวแรกที่ออกเดินทาง เขายังไม่ได้พักผ่อนเลย แม้จะใช้ความเร็วไม่มาก แต่ก็คงเหนื่อยเหมือนกัน
"ข้าเหนื่อย ต้องพักหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นยืนกรานหนักแน่น
ไยเหลียนเซวียนจะไม่รู้สาเหตุที่นางทำเช่นนี้ เขาได้แต่ถอนใจเงียบๆ ผงกศีรษะเล็กน้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นถึงยิ้มออก เขาเป็คนมีทิฐิมาก จะเกลี้ยกล่อมให้เขาพัก ไม่สู้ใช้ตนเองเป็ข้ออ้างดีกว่า
เดินมาไกลขนาดนั้น พวกเขาสองคนล้วนหิวกันแล้ว เฝิ่นเฮ่อกินหมดนานแล้ว ตอนนี้อาหารหลักมีแต่เนื้อส่วนต่างๆ ของหมูป่า ต่อให้กินจนเอือมระอาก็ไม่มีทางเลือก
ยังคงเป็อาเหลยที่แทะกระดูกอย่างเอร็ดอร่อยอยู่เหมือนเดิม
"เอาไว้ครั้งหน้าเจอลำธาร พวกเราจับปลาสดๆ มาทำน้ำแกงปลาสักหม้อดีกว่า กินแต่เนื้อทุกมื้อ เบื่อจะตายอยู่แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นเอาตาข่ายจับปลามาด้วย สายตาจดจ้องแม่น้ำอยู่ตอนนี้เหี้ยมเกรียมเล็กน้อย
ความคิดนี้ไม่เลว เหลียนเซวียนพยักหน้าเห็นด้วย เนื้อตุ๋นสามมื้อ มันก็... น่าเบื่อจริงๆ นั่นแหละ
กินมื้อเที่ยงเสร็จ ก็ต้มน้ำครึ่งหม้อวางไว้ด้านข้าง ก่อนปูเสื่อของตนเอง
"เฮ่อ ข้าต้องนอนสักครู่ เหลียนเซวียน เวลาพักผ่อน อย่าเร่งข้าล่ะ"
เธอเริ่มปิดเปลือกตา
มุมปากของเหลียนเซวียนหยักโค้งบางๆ นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูกำลังของตนเอง
แสงตะวันพอเหมาะยามเที่ยงสาดส่องลงมาบนร่างกายให้ความอบอุ่น แต่ตอนนี้ยังเป็เดือนหนึ่ง ลมจากแม่น้ำพัดมาก็ยังพาความหนาวเย็นเสียดกระดูกมาด้วย
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ เหลียนเซวียนลืมตา หัวคิ้วย่นเข้าหากัน
แม่นางผู้นี้ยังหลับอยู่ มิหนำซ้ำยังหลับลึกอีกด้วย แบบนี้ไม่ได้ ลมแม่น้ำทั้งหนาวและชื้น หากตากลมมากเกินไปอาจเป็ไข้ลมหนาวได้
เหลียนเซวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเขย่าปลุกเธอ
"หืม? " เซวียเสี่ยวหรั่นลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย "ฮัดเช้ย" ตามมาด้วยเสียงจามดังกังวาน
โดนไอเย็นเล่นงานเข้าแล้ว เหลียนเซวียนหน้าง้ำ
เซวียเสี่ยวหรั่นขยี้จมูก ลุกขึ้นมานั่ง "ควรออกเดินทางแล้วหรือ?"
เธอเงยหน้ามองฟ้า พระอาทิตย์ยังสูงอยู่ คำนวณไม่ออกว่าตนเองนอนไปนานแค่ไหน
เธอมองเหลียนเซวียนอย่างกังขา ทำไมต้องหน้างอด้วยล่ะ ให้เขาพักผ่อนมากหน่อยไม่ใช่หรือไง
นี่เพิ่งจะวันแรกเอง จะรีบไปถึงไหน เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นงึมงำพลางเริ่มเก็บของ
"เอ้า ดื่มน้ำก่อน"
เธอเทน้ำจากหม้อ อุณหภูมิก็ยังร้อนอยู่ เห็นชัดว่าเวลายังผ่านไปไม่นาน เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกให้ใส่เขาอย่างอดไม่ได้
เห็นเธอแค่จามหนึ่งครั้ง แต่ไม่มีอาการของคนที่จะเป็ไข้ลมหนาว เหลียนเซวียนค่อยรู้สึกโล่งอก
เซวียเสี่ยวหรั่นร้องเรียกอาเหลยซึ่งเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นมาดื่มน้ำ ก่อนที่ทั้งคณะจะเริ่มเดินทางต่อ
พอห่างจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย อาเหลยเริ่มตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด นอกจากตอนที่แอบย่องไป่พักผ่อน มันก็ตามติดพวกเขาตลอดทาง
ริมแม่น้ำมีทั้งวัชพืช พุ่มไม้รกรุงรังและหินกรวด สลับป่าทึบเป็ระยะ หนทางค่อนข้างลำบาก
โชคดีตอนนี้ยังเป็เดือนหนึ่ง งูแมลงมดหนูยังค่อนข้างน้อย สัตว์ร้ายก็ไม่มาก
วันแรกของการเดินทางของสองคนหนึ่งลิงนับว่าราบรื่นมาก
ฟ้ามืดลงทีละน้อย จึงปักหลักค้างคืนตรงช่องเขาซึ่งกันลมได้แห่งหนึ่ง
กองไฟลุกโชน อากาศหนาวเย็นเริ่มมีไออุ่นขึ้นมาบ้าง
"เดินมาทั้งวัน อย่างอื่นก็ดีอยู่หรอก แต่รองเท้ากับถุงเท้าเปียกชื้นหมด ต้องสวมอะไรเปียกชื้นไม่สบายตัวเอาเสียเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบรองเท้าฟางสำรองออกมา แล้วยื่นเท้าไปผิงไฟก่อนจะเปลี่ยนรองเท้า
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยยื่นเท้าออกไปผิงไฟเลียนแบบเธอ
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วก็รู้สึกขบขัน
"เหลียนเซวียน รองเท้ากับถุงเท้าเปียกชื้นรีบถอดเร็ว ถ้าเกิดเป็แผลเปื่อยขึ้นมาจะร้องไห้ไม่ออก เปลี่ยนมาสวมรองเท้าฟางสำรองก่อน ข้าจะเอาถุงเท้าไปซักให้สะอาด เดี๋ยวค่อยเอามาผิงไฟให้แห้ง" เซวียเสี่ยวหรั่นเร่งให้เหลียนเซวียนถอดถุงเท้า เขาสวมรองเท้าฟาง ถุงเท้าถูกความชื้นจนเปียกไปนานแล้ว
เหลียนเซวียนลังเลชั่วขณะ ค่อยๆ ถอดถุงเท้าที่เปียกชื้นออก
"เอ้า นี่รองเท้าฟางคู่ใหม่ ส่วนคู่เก่าต้องเอาไปล้างสักหน่อย"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางรองเท้าฟางสำรองไว้ข้างเท้าของเขา ก่อนเอาถุงเท้ารองเท้าที่เหยียบโคลนจนเละไปที่ริมแม่น้ำ
เหลียนเซวียนสวมรองเท้าคู่ใหม่อย่างเงียบเชียบ ในที่สุดเท้าที่เปียกชื้นมาทั้งวันก็สบายขึ้น
