“เหตุใดพี่เฉินถึงมาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าข้าเองก็มาด้วยเหตุนั้น” หวางชวนไม่ได้ตกตะลึงต่อการมาของเขา ยังคงมีสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงเ็า
พวกเฉินเค่อกลับพากันขมวดคิ้ว ตระกูลเฉินอยู่ใกล้กับตระกูลจิ่งมากกว่าตระกูลหวางอยู่ครึ่งทาง เขาคิดว่าตัวเองควบม้ามาอย่างเร็วแล้ว เหตุใดหวางชวนจึงมาถึงได้เร็วเพียงนี้
หวางชวนหาได้สนใจสีหน้าแปลกประหลาดของคนพวกนี้ไม่ แล้วยกริมฝีปากเยาะหยัน ดูถูกเป็อย่างยิ่ง
เฉินเค่อถูกท่าทางเช่นนี้ทำให้รู้สึกเืลมติดขัดจนเจ็บหน้าอก รู้สึกอยากโวยวายขึ้นมาทันที แต่ถูกผู้าุโด้านหลังรั้งเอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมาปะทะกับหวางชวน เฉินเค่อกำหมัดแล้วข่มความโกรธลงไป จากนั้นส่งเสียงดังเฮอะออกมาอย่างเ็า แล้วหันเหสายตาไปมองพวกคนตระกูลจิ่ง
ตระกูลจิ่งหลบเร้นจากโลกภายนอกมาโดยตลอด น้อยนักที่จะเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยพบผู้นำตระกูลจิ่งมาก่อนเลย เฉินเค่อมีสีหน้าเกรี้ยวกราด แววตาราวกับหมาป่านั้นสาดสายตาไปยังพวกคนที่นั่งอยู่ ในเมื่อไม่อาจทุ่มความโกรธไปลงกับหวางชวนได้ เช่นนั้นตระกูลจิ่งก็ต้องเป็คนรองรับความโกรธนี้แทนแล้ว แต่ทว่าคำพูดเพิ่งจะขึ้นมาถึงปากก็ถูกผู้อื่นขัดเข้าเสียก่อน
เฉินเค่อขมวดคิ้วมองชายชราที่นั่งอยู่ตรงกลางที่นั่งหลักค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำเป็อย่างมาก คาดเดาอายุไม่ออก แต่สถานะต้องไม่ธรรมดาแน่
จิ่งเว่ยหวารับสายตาสอดส่องพิจารณาของเขาอย่างผ่าเผย สีหน้าปราศจากความหวั่นเกรงใดๆ ทำเพียงแค่ประสานมืออย่างมั่นคง “ผู้นำเฉินเดินทางมาไกล พวกข้ามิได้ไปต้อนรับ ได้โปรดอภัยให้ด้วยเถิด” พูดจบไม่รอให้เฉินเค่อต่อคำก็ชี้ไปยังที่นั่งข้างมือ “ผู้นำเฉิน เชิญนั่ง”
เฉินเค่อเดินทางมาอย่างยิ่งใหญ่โอหัง ในหัวเต็มไปด้วยภาพที่คนตระกูลจิ่งคุกเข่าอ้อนวอนเขาอยู่บนพื้น หรืออย่างน้อยก็ต้องเคารพนอบน้อมระมัดระวังอะไรแบบนั้นสิ? แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรเลย พวกเขาดูเรียบเฉยมาก ตระกูลจิ่งไม่รู้ตัวเลยหรือว่าภยันตรายได้มาถึงตรงหน้าแล้ว?
เฉินเค่อข่มความโกรธลงไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ พูดอย่างเยาะหยันว่า “ทุกท่านดูว่างงานกันเสียจริง! ผู้นำตระกูลในอนาคตของตระกูลเฉินข้าตายอย่างอเนจอนาถอยู่ที่ตระกูลพวกท่าน แต่พวกท่านกลับทำตัวราวกับไม่เกี่ยวกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น พวกท่านรู้หรือไม่ว่าการที่ตระกูลเฉินของข้าจะเลี้ยงดูผู้สืบทอดที่เหมาะสมขึ้นมาได้สักคนหนึ่งนั้นต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงใด?! รู้หรือไม่ว่าคนเป็บิดามารดา...คนผมหงอกที่ต้องมาส่งคนผมดำนั้นเ็ปขนาดไหน?!”
ไม่ต้องพูดถึงว่าเฉินเปิ่นฉีเป็อัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมหรือไม่ แต่เื่ที่คนผมขาวต้องมาส่งคนผมดำนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารจริงๆ ไม่ว่าเฉินเปิ่นฉีจะถูกคนตระกูลจิ่งสังหารจริงหรือไม่ แต่การที่เขาตายอยู่ที่ตระกูลจิ่งนั้นก็ต้องถือว่าเขาตายเพราะตระกูลจิ่ง
จิ่งเว่ยหวามีท่าทางรู้สึกผิด แววตาจริงใจ “เื่ของคุณชายเฉินก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากให้เกิดขึ้น ความรักที่บิดามารดามีต่อบุตรเช่นนี้นั้น พวกเราที่เป็หมอล้วนได้ประจักษ์กันมาเป็อย่างดี คุณชายเฉินและหวางทั้งสองท่านเกิดเื่ขึ้นที่ตระกูลเรา ความรับผิดชอบนี้...พวกเราตระกูลจิ่งไม่มีทางละเลยอย่างแน่นอน แต่ก็หวังว่าท่านผู้นำตระกูลทั้งสองจะข่มความเคียดแค้นลงไปก่อนแล้วมาร่วมสืบสวนเื่นี้กันอย่างละเอียดเพื่อหาฆาตกรตัวจริงออกมาให้ได้ จะได้ไม่ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีหลอกใช้จนกลายเป็นกกระยางและหอยกาบ1 ไป”
เฉินเค่อหัวเราะเสียงเย็นออกมาทีหนึ่ง “อ้อ ผู้ไม่ประสงค์ดีหรือ? เ้าจะรับประกันได้อย่างไรว่าผู้ไม่ประสงค์ดีผู้นั้นหาใช่ตัวพวกเ้าเอง?”
จิ่งเว่ยหวาไม่ได้ร้อนรนแล้วตอบอย่างสงบนิ่งว่า “แน่นอนว่าไม่อาจรับประกันได้ แต่เื่นี้มีเหตุผิดปกติมากมาย แล้วยังเกี่ยวพันกับเราสามตระกูลใหญ่ หากมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องสั่นะเืไปด้วย หากเกิดเื่ขึ้น ไม่ใช่แค่ตระกูลจิ่งของเราเท่านั้น พวกท่านเองก็ต้องไปยืนอยู่ที่ปากคลื่นตาพายุด้วยเช่นกัน”
เฉินเค่อบีบถ้วยชาข้างมือจนแหลกละเอียด ถลึงตาอย่างโกรธเคือง “แล้วอย่างไร? ท่านกำลังขู่ข้าหรือ? หรือพวกท่านคิดว่าจะรังแกตระกูลเฉินของเราได้ง่ายๆ? ข้าจะบอกให้ เื่นี้ตระกูลเฉินของข้าไม่ยอมรามือแน่นอน พวกท่านก็อย่าคิดว่าจะรอดตัวไปได้!”
จิ่งเว่ยหวาสั่งให้หญิงรับใช้มาเปลี่ยนถ้วยชาให้เฉินเค่อ “ไม่ใช่การขู่ แค่หวังให้พวกท่านช่วยตั้งใจสืบสวนเื่นี้ไปพร้อมกับพวกข้า หากว่าเป็ฝีมือคนตระกูลจิ่งจริง ไม่ว่าเป็ผู้ใด...โดยไม่ต้องให้ท่านทั้งสองเอ่ยปาก ข้าก็จะจับเขามัดไว้แล้วส่งตัวไปให้พวกท่านจัดการได้ตามใจ แต่หากว่าไม่ใช่ฝีมือคนตระกูลจิ่งของข้า เช่นนั้นความผิดนี้ตระกูลจิ่งของข้าก็จะไม่ขอรับไว้ทั้งที่ตัวเองเป็ผู้บริสุทธิ์!”
เฉินเค่อเคียดแค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากไม่ใช่ว่าต้องรักษาท่าทีอยู่สักหน่อย เกรงว่าโต๊ะใต้มือนี้คงถูกเขาตบละเอียดแล้ว ตลอดทางมานี้คิดเอาว่าการได้ตระกูลจิ่งมานั้นเป็เื่ง่ายดาย กลับไม่คิดว่าตระกูลจิ่งเองก็ค่อนข้างจัดการยากอยู่เหมือนกัน ตอนนี้นอกจากจะเสียโอกาสไปแล้ว ยังถูกผู้อื่นบีบไว้ในมือเสียอยู่หมัด จึงยอมกลืนความโกรธแค้นลงไปแล้วพูดว่า “หากว่าการตายของลูกชายข้าเป็ฝีมือของคนตระกูลจิ่งของท่าน ข้าคงต้องให้ทั้งตระกูลจิ่งชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว!”
คนตระกูลจิ่งพากันทำสายตาโกรธเคือง แต่จิ่งเว่ยหวากลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ตอบรับอะไร
การปะทะกันของทั้งสามตระกูลนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องจบอย่างไม่เป็มิตร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีทางจะทำให้เกิดคลื่นลมอะไรได้มาก จิ่งเว่ยหวานั้นเข้าสู่วัยถือไม้เท้าแล้ว2 แต่ดูแล้วกลับเหมือนคนวัยหกสิบก็ไม่ปาน เขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำแต่แววตาดูมีเมตตาจึงทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพึ่งพาได้ และจิ่งเว่ยหวาเองก็ยังเป็เสาหลักของตระกูลจิ่งอีกด้วยเพราะเขาเป็คนหนักแน่น ไม่เหมือนจิ่งเฟิงกั๋วที่ดูแล้วน่าเกรงขามแต่นิสัยมุทะลุ และไม่เหมือนจิ่งเฟิงจั๋วที่จิตใจดีแต่ไม่มีความคิดเป็ของตนเอง
ถึงแม้จิ่งเว่ยหวาจะไม่เคยดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลจิ่ง แต่สติปัญญาความสามารถของเขาก็นับว่าเป็ที่ร่ำลือในตระกูลจิ่ง ไม่ว่าตระกูลจะเกิดอันตรายอันใดขึ้น ขอแค่ไปหาเขาก็จะสามารถแก้ไขเื่ทั้งหมด...กลับร้ายกลายเป็ดีได้ แต่แค่หลายปีมานี้ไม่ค่อยยื่นมือเข้ามาจัดการเื่อะไร
อีกทั้งเขาสนับสนุนจิ่งฝานเป็อย่างยิ่ง คิดว่าจิ่งฝานเป็อัจฉริยะคนถัดไปของตระกูลต่อจากเขาที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ คนฉลาดย่อมเข้าใจคนฉลาดด้วยกัน...เป็เช่นนี้มาตลอด ถึงแม้เขาจะคิดว่าจิ่งฝานมีนิสัยเมตตาปราณีมากเกินไป แต่ความฉลาดและความสามารถในการจัดการเื่ต่างๆ ของเขานั้นไม่ได้น้อยไปกว่าจิ่งเว่ยหวาเลย หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าจิ่งฝานจะได้ดำรงตำแหน่งนายน้อย เขาก็วางมือจากเื่ในตระกูลไปโดยสิ้นเชิง ท่องเที่ยวอยู่ภายนอกนานนับปี น้อยนักที่จะได้กลับมาที่หมู่บ้านสกุลจิ่ง
แต่ว่าครั้งนี้เกิดเื่ใหญ่ จิ่งเฟิงกั๋วรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถจะแก้ไขได้จึงให้คนของห้องข่าวไวรีบไปตามหาเขาอย่างทันท่วงที และต้องพาเขากลับมาให้เร็วที่สุด
โชคดีที่จิ่งเว่ยหวาไม่ได้อยู่ไกลจากตระกูลจิ่งมากนักจึงกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ความเร็วในการจัดการเื่ต่างๆ ก็ไม่ธรรมดา เพียงไม่นานก็สามารถหาวิธีแก้ปัญหาออกมาได้ ครั้งนี้ตระกูลจิ่งเกรงว่าคงไม่อาจถอนตัวได้โดยง่ายแล้ว ในเมื่อถอนตัวไม่ได้ เช่นนั้นก็ลากทุกคนลงน้ำไปด้วยกันเลย ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดสลัดออกไป!
——
เฉินเค่อพายอดฝีมือในการชันสูตรของตระกูลตนเองมาด้วย คนผู้นี้ไม่เพียงแค่ชันสูตรร่างของเฉินเปิ่นฉีเพียงอย่างเดียว แม้แต่ร่างของหวางฮวายเหล่ยก็ยังสอดมือเข้าไปยุ่งด้วย โชคดีที่หวางชวนไม่ได้ใส่ใจอะไร แผลของเฉินเปิ่นฉีนั้นพอจะมองออกได้ว่าเป็ฝีมือของคนตระกูลจิ่ง แต่หวางฮวายเหล่ยถือเป็งานยากแล้ว ยอดฝีมือผู้นั้นขมวดคิ้วค้นหาวรยุทธ์ของทุกตระกูลบนแผ่นดินใหญ่ แต่ไม่มีอันใดที่ใช่เลย พวกเฉินเค่ออดตะลึงจนปากอ้าตาค้างไม่ได้ วรยุทธ์ระดับนี้ไม่น่าจะมีเหตุผลให้ไม่เป็ที่รู้จักได้หรอกกระมัง
เมื่อจิ่งเว่ยหวาเห็นสีหน้าของพวกเขาก็พูดขึ้นว่า “คิดว่าทุกท่านคงเห็นแล้ว แผลเช่นนี้...ยอดฝีมือทั้งหมดที่ท่านกับข้ารู้จักก็ยังยากจะทำได้ หากมีแค่คนเดียวพวกข้าก็ยังพอรับมือไหว แต่หากว่าเป็เช่นนี้ทั้งตระกูลและมีจำนวนนับไม่ถ้วนเล่า? เช่นนั้นพวกเราก็คงไม่ต่างกับแกะที่รอวันเชือดอยู่บนเขียงแน่”
ลูกตาของเฉินเค่อกลอกไปมา สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน ฝืนพูดออกมาอย่างฝืดๆ ว่า “หึ เช่นนั้นแล้วจะทำไม นี่เป็เื่ของพวกเขาตระกูลหวาง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเฉินของข้า ตอนนี้ควรเป็ตระกูลจิ่งเช่นพวกท่านที่ต้องกังวลใจมากกว่ากระมัง าแของลูกชายข้าชัดเจนแล้วว่าเป็ฝีมือคนตระกูลจิ่ง!”
ไม่รอให้จิ่งเว่ยหวาเอ่ยปาก หวางชวนที่ยืนเงียบอยู่อีกฝั่งมานานก็พูดขึ้นว่า “หลายวันมานี้ข้าถามเื่เบาะแสที่เกี่ยวกับาแของลูกชายข้าตลอด พวกท่านล้วนไม่ตอบอย่างตรงไปตรงมา วันนี้สามารถให้คำตอบได้หรือยัง”
จิ่งเว่ยหวาค่อนข้างลังเลไม่น้อย “ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบให้ชัดเจน แต่เื่นี้จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่อาจรับประกันได้ หากไปกล่าวหาผู้อื่นแล้วสุดท้ายปรากฏว่าไม่เป็ความจริง แล้วกลายเป็ว่าไปสร้างความเดือดร้อนให้เขาเข้า...เช่นนั้นก็นับว่าเป็บาปแล้ว”
เมื่อเฉินเค่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองก็รู้สึกว่ายังมีเื่ที่เขายังไม่รู้อยู่อีก จึงถามอย่างรีบร้อนว่า “พวกเ้ามีเบาะแส? ผู้ใดเป็คนทำ?”
จิ่งเว่ยหวาค่อยๆ ตอบอย่างช้าๆ ว่า “ไม่อาจรับประกันได้ว่าเป็ฝีมือเขา แต่วรยุทธ์ของเขาค่อนข้างไปในแนวทางเดียวกับาแบนร่างของคุณชายหวาง”
เฉินเค่อเริ่มรู้สึกหมดความอดทน “ท่านก็บอกออกมาให้ชัดเสียสิ!”
“ตระกูลทาง ทางเต๋อรั่ว”
เฉินเค่อมีท่าทางยากจะเชื่อ “ว่ากระไร? ตระกูลทางบ้าบออันใดกัน ไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ! คงไม่ใช่ว่าพวกเ้าแต่งเื่ขึ้นมาลอยๆ หรอกกระมัง!”
หวางชวนที่อยู่อีกฝั่งกลับขมวดคิ้วเคร่งขึ้น ในสายตามีเงาดำมืด
จิ่งเว่ยหวายิ้มอย่างเรียบเฉย “เื่นี้ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ แต่ก็เป็เบาะแสสำคัญ ตอนนี้ข้ากำลังให้คนในตระกูลไปสืบหาอยู่ พวกท่านก็สามารถลองสืบดูได้”
“จะไปสนใจทำไมว่าตระกูลทางจะเป็อย่างไร อย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวอันใดกับตระกูลเฉินของข้า แต่พวกเ้าก็ไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องเื่การตายของลูกชายข้าได้อยู่ดี!”
จิ่งเว่ยหวา “แน่นอน คุณชายเฉินและหวางทั้งสองท่านรับคำเชิญมายังตระกูลจิ่งของข้า เมื่อเกิดเื่ขึ้นตระกูลจิ่งของข้าก็ย่อมต้องรับผิดชอบ จะต้องสืบหาตัวฆาตกรอย่างเต็มกำลัง”
เฉินเค่อโกรธจนอกสะท้อน แล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “อย่ามาทำตัวเป็โจระโให้จับโจรอยู่เลย ชีวิตของลูกชายข้านี้ เ้าก็ให้ทั้งตระกูลจิ่งมารับผิดชอบก็แล้วกัน!”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
จิ่งเว่ยหวาไม่ได้เก็บคำขู่ของเขามาเป็อารมณ์โกรธเคือง กลับบอกให้คนจัดการห้องหับให้เรียบร้อย แล้วคอยรับใช้คนตระกูลเฉินพักผ่อนอยู่ในตระกูลจิ่ง
เฉินเค่อถึงแม้ปากจะพูดอย่างเกรี้ยวกราด แต่ในใจกลับไม่มั่นใจเท่าไรนัก หากเปิดศึกกับตระกูลจิ่งตอนนี้ก็ยากจะรับประกันได้ว่าตระกูลเฉินจะไม่ถูกคนฉวยโอกาสใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ3 บรรดาผู้าุโตระกูลเฉินก็คิดแบบนี้เช่นกัน ต้องค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ดูท่าทีไปก่อน จะลงมืออย่างมุทะลุไม่ได้ ตระกูลหวางเองก็คอยจับตามองอยู่เช่นกัน หากยังมีตระกูลอื่นเพิ่มเข้ามาอีก เช่นนั้นก็คงจะเป็การขโมยไก่ไม่สำเร็จ แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือแล้ว
มีคำกล่าวไว้ว่าตีกลองครั้งแรกความกล้าเต็มเปี่ยม ตีกลองครั้งที่สองความกล้าลดต่ำลง เมื่อตีครั้งที่สามความกล้าก็เหือดแห้งไป4 ตระกูลเฉินและหวางทั้งสองตระกูลล้วนมาถึงด้วยความรู้สึกโกรธเต็มเปี่ยม แต่จิ่งเว่ยหวากลับใช้ตระกูลทางที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางมาหยุดเอาไว้ บรรยากาศอึดอัดรอบกายที่ถูกทำให้เหือดแห้งไปแล้วนั้นจึงยากจะทำให้ปะทุขึ้นมาได้อีก ทั้งสองตระกูลที่สูญเสียโอกาสไปแล้ว...ต่อให้ในใจจะไม่ยินยอมเพียงใดก็คงไม่กล้าลงมือก่อนอยู่ดี ถึงแม้ตระกูลเฉินจะมีกองกำลังขนาดใหญ่เข้าบุกยึดจุดยุทธศาสตร์ของตระกูลจิ่งแล้ว แต่กองกำลังขนาดใหญ่ของตระกูลหวางก็เหยียบย่างเข้ามาในภาคตะวันออกแล้วเช่นกัน ไม่เกินวันสองวันก็คงจะมาถึง ถ้าตระกูลเฉินลงมือตอนนี้ จุดจบสุดท้ายคงไม่ดีแน่
ตอนนี้ทั้งคนตระกูลเฉินและหวางล้วนพักอยู่ที่ตระกูลจิ่ง ส่วนที่ด้านล่างูเากองกำลังของทั้งสองตระกูลต่างก็ยึดพื้นที่กันคนละฝั่ง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือก่อน ก็คงต้องรอให้ถึงจุดที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งทนไม่ไหวแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตระกูลจิ่งสามารถยืดเวลาเผชิญกับภยันตรายออกไปได้ชั่วคราว แต่ก็ต้องระมัดระวังให้เต็มที่อยู่ตลอดเวลา ไม่อาจสงบใจได้ ทั้งสามตระกูลจึงไม่มีตระกูลใดอยู่เป็สุขสักราย
นกกระยางและหอยกาบ1(鹬蚌)มาจากสำนวน ‘นกกระยางสู้กับหอยกาบ’ (鹬蚌相争)หมายถึงทั้งสองฝ่ายที่สู้กันไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่กลับปล่อยให้บุคคลที่สามกอบโกยผลประโยชน์ไป
วัยถือไม้เท้าแล้ว2(杖朝之年)หมายถึงวัยเลยอายุแปดสิบปีไปแล้ว
กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ3 (趁火打劫)เป็กลยุทธ์ในสามก๊ก หมายถึงฉวยโอกาสในขณะที่ผู้อื่นกำลังอ่อนแอแล้วนำทัพโจมตีเพื่อให้ได้รับชัยชนะ
มีคำกล่าวไว้ว่าตีกลองครั้งแรกความกล้าเต็มเปี่ยม ตีกลองครั้งที่สองความกล้าลดต่ำลง เมื่อตีครั้งที่สามความกล้าก็เหือดแห้งไป4 (一鼓作气,再而衰,三而竭)หมายถึงบางเื่ต้องจัดการในทีเดียว จะทำแล้วหยุดแล้วเริ่มใหม่หลายๆ ครั้งไม่ได้
