เมื่อเข้ามา อ๋าวหรานถึงได้เห็นว่าต้นดอกจินมู่ใหญ่โตสองต้นที่อยู่หน้าประตูทางเข้านั้น ไม่ได้ปลูกแยกไว้ต่างหาก แต่เอาต้นไม้สองต้นนี้เป็ประตูไปเสียเลย กิ่งก้านที่หนาแน่นกระจัดกระจายอยู่เหนือหัว คงจะมีคนสวนมาคอยดูแลตกแต่ง ต้นไม้ทั้งสองพันเข้าด้วยกัน โค้งเข้าหากัน กลายเป็ซุ้มประตู
เมื่อก้าวพ้นซุ้มประตูไม้นี้เข้ามาถึงได้พบว่า หลังต้นไม้สองต้นนี้มีต้นไม่นับพันนับหมื่นทอดยาวไป พันเกี่ยวเข้าด้วยกันจนนับไม่ถ้วน เรือนทุกหลังที่นี่ทำจากไม้เป็หลัก สร้างติดไปกับกิ่งก้านของต้นไม้ ดูงดงามไปอีกแบบ พอมองแบบนี้แล้ว ไม่เหมือนตำแหน่งเทพที่อึมครึมจริงจังแม้แต่น้อย กลับเหมือนสถานที่สุขสงบแห่งหนึ่ง อ๋าวหรานคิดในใจว่า อาศัยอยู่ในสถานที่ที่งดงามดังภาพวาดเช่นนี้ คงทำให้จิตใจหนักแน่น น่าเชื่อถือ แตกต่างไปจากคนทั่วไป
ข้างในทั้งใหญ่และไกลมาก พวกอ๋าวหรานเข้าไปก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น บรรยากาศก็สงบขึ้นมาก
อ๋าวหรานทอดถอนใจ “รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในสวนของเทพเซียน ไม่ได้มาเสียเที่ยวจริงๆ ”
จิ่งจื่อหัวเราะเยาะเขาที่ทำท่าไม่เคยพบไม่เคยเจอ “เ้าเคยเป็เซียน? เคยขึ้น์หรืออย่างไร?”
อ๋าวหรานทำเป็ไม่ได้ยิน
พวกเขาเดินๆ หยุดๆ อ้อมห้องด้านหน้า เดินไปหน้าประตูเรือนด้านใน กลับเห็นว่าหน้าประตูมีคนอยู่มากมาย แต่ก็ต่อเป็แถวยืนเรียงกันอย่างเรียบร้อย มองไล่ไปตามลำดับแถว ด้านหน้าสุดของแถวมีหญิงสาวสองนางกำลังพูดคุยกับคนที่ต่อแถวอยู่ พวกนางแต่งตัวเหมือนกัน เนื้อผ้าสีเรียบ ปักลายดอกจินมู่ ลักษณะเรียบง่าย ดูน้อยชิ้นแต่สวยงามมาก ชุดเช่นนี้เคยเห็นมาแล้วบริเวณด้านหน้าจวน คงเป็ชุดของคนที่ทำงานอยู่ในนี้
อ๋าวหรานเห็นคนต่อแถวรอ เขาอดก้มหน้าลงไปถามจิ่งเซียงไม่ได้ “เข้ามาข้างในแล้วยังต้องจ่ายเงินอีกหรือ?” หรือว่าเป็การซื้อบัตรเข้าชม?
จิ่งเซียงหัวเราะฮิฮิ ส่ายหัวตอบว่า “ไม่ใช่ อีกเดี๋ยวเ้าก็จะรู้แล้ว”
อ๋าวหรานดีดหน้าผากนางไปทีหนึ่ง เด็กน้อยนี่ รู้จักมีลับลมคมในแล้ว
พวกเขาต่ออยู่ท้ายแถว แถวเคลื่อนที่เร็วมาก ไม่นานก็ถึงตาพวกเขาแล้ว หญิงสาวสองคนนั้นยิ้มน้อยๆ พูดว่า “คุณชายกรุณายื่นมืออกมาเ้าค่ะ”
อ๋าวหรานหันไปถลึงตามองพวกจิ่งเซียง เ้าคนพวกนี้นี่ รู้อยู่แล้วว่าเขามึนงงไม่เข้าใจอยู่ ยังจะให้เขายืนอยู่หน้าสุดอีก
ยื่นมือไปให้หญิงสาวที่ใส่ชุดเรียบง่ายคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นชูนิ้วนางด้านขวาของอ๋าวหรานขึ้นมา ใช้เข็มจิ้มเืออกมาหยดหนึ่ง หยดลงบนไข่มุกสีทองใส เืกลายเป็เส้นซึมลึกลงไปในไข่มุก มองดูแล้วก็เหมือนกับดอกจินมู่ที่มีเส้นสีแดงผสมอยู่ภายใน อ๋าวหรานถูกทำให้งงแล้วงงอีก
หญิงสาวที่ใส่ชุดเรียบง่ายคนนั้นเห็นอ๋าวหรานทำหน้าสงสัย นางแย้มยิ้มบาง กล่าวว่า “ไข่มุกเม็ดนี้หลอมมาจากดอกจินมู่ ได้รวมเืของคุณชายเข้าไปภายใน ก็เท่ากับได้รวมเป็หนึ่งเดียวกับคุณชายแล้ว คุณชายเดินลึกเข้าไปอีก ก็จะได้พบกับ แท่นวาสนา คุณชายโยนไข่มุกลงไป หากไข่มุกจมลง แสดงว่าคนที่มาขอความรักในวันนี้ยังไม่มีคนที่เป็พรหมลิขิตของท่าน หากไข่มุกของท่านหลอมรวมกับไข่มุกของคนอื่น เช่นนั้นท่านกับเ้าของไข่มุกที่หลอมเข้ากับท่านคนนั้นก็จะเป็พรหมลิขิตของกันและกันเ้าค่ะ”
อ๋าวหรานตะลึงไปทันใด ยังมีอะไรแบบนี้อยู่ด้วย? ที่มันหลักการอะไรกัน? ไข่มุกสองเม็ดจะรวมกันได้อย่างไร?
พวกจิ่งฝานก็ถือไข่มุกกันคนละเม็ด พวกเขาพากันเดินเข้าไปด้านใน อ๋าวหรานเล่นไข่มุกในมือคิดกลับไปกลับมา ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่า “อาศัยไข่มุกแค่เม็ดเดียวก็สามารถหาเนื้อคู่ได้? จริงหรือเปล่า? คงไม่ใช่แกล้งเราหรอกใช่หรือไม่?”
จิ่งเซียงทุบหลังเขา พูดอย่างจริงจังว่า “ต้องจริงแน่อยู่แล้ว ทุกคนที่เคยมาขอเนื้อคู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ทุกคู่ที่ไข่มุกรวมเข้าด้วยกันก็ล้วนครองรักกันอย่างยาวนานไปจนชั่วชีวิตทั้งสิ้น”
อ๋าวหรานถามอีกว่า “หรือว่าชายหญิงที่นี่ต้องหาคนที่สามารถรวมไข่มุกเข้าด้วยกันได้ให้เจอก่อนแล้วค่อยแต่งงาน? เช่นนั้นถ้าหาไม่เจอไปชั่วชีวิตล่ะ?”
จิ่งเซียงพูดด้วยเสียงเบาว่า “ก็...ก็ไม่ใช่ทุกคน แต่คนที่สามารถหาคนที่ไข่มุกสามารถผสมรวมกันได้เจอก็จะได้อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตจริงๆ ”
อ๋าวหรานรีบหัวเราะแล้วแย้งว่า “เช่นนั้นคนที่ไข่มุกไม่รวมกันก็ไม่มีสักคนเลยที่มีความสุขไปชั่วชีวิต? หรือคนที่หาไม่เจอก็โดดเดี่ยวไปจนแก่?”
จิ่งเซียงปากยื่น “ก็ไม่ใช่หรอก”
อ๋าวหรานยิ้ม หยิกจมูกนาง “ก็แค่นั้น ความสุขกับไข่มุกไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย”
จิ่งเซียงปัดมือเขาออก พูดอย่างโมโหว่า “เหตุใดเ้าถึงไม่ช่างฝันเลยสักนิดนะ ต้องจริงจังขนาดนั้นเพื่ออะไร!”
อ๋าวหรานหัวเราะลูบหัวนาง “ล้อเ้าเล่นเท่านั้น เห็นเ้าเถียงสู้ข้าไม่ได้ ข้าก็มีความสุข”
จิ่งเซียงโกรธมากกว่าเดิม หันไปฟ้องพี่ชายนาง “ท่านพี่ จะช่วยน้องสาวท่านหรือไม่ อ๋าวหรานรังแกข้า”
จิ่งฝานยิ้มแล้วโอบนาง “ไม่เป็ไร ไม่ต้องโกรธ เ้าแค่สาปแช่งให้ไข่มุกเขารวมเข้ากับคนที่หน้าตาอัปลักษณ์ก็ใช้ได้แล้ว”
จิ่งเซียงร่าเริงทันที “ท่านพี่ ทำไมท่านกลายเป็คนแบบนี้แล้ว”
อ๋าวหราน “......” พี่เ้าคงเป็พวกจิตใจโหดร้ายเป็อย่างยิ่ง
พวกเขาไม่ได้รีบร้อนไปเสี่ยงไข่มุกที่แท่นวาสนา กลับเดินช้าๆ สำรวจไปทั่วตำหนักเทพ วนไปลึกสุด ไม่มีคน มีแค่สวนดอกจินมู่ไหวไปมาในสายลม แสงไฟก็น้อยลงด้วย
จิ่งจื่อถามว่า “ยังจะเดินเข้าไปให้ลึกกว่านี้หรือไม่?”
จิ่งฝานส่ายหน้าตอบว่า “กลับกันเถิด”
พวกเขากำลังตั้งใจจะจากไป อ๋าวหรานก็เหมือนจะได้ยินเสียงร้องให้ช่วยเบาหวิว
อ๋าวหรานหยุดอยู่ที่เดิม เงี่ยหูฟัง “เดี๋ยวก่อน มีเสียงบางอย่าง”
จิ่งเซียงสีหน้าสงสัย และหยุดลงตามไปด้วย
จิ่งจื่อรีบบอกว่า “ไม่ต้องฟังแล้ว เป็เสียงขอความช่วยเหลือจริงๆ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้”
พูดจบก็รีบบินไปทันที พวกอ๋าวหรานรีบตามไป
ยิ่งเข้าใกล้ เสียงร้องก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เป็เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กสาว ดูเปราะบางไร้ทางสู้ ทำให้คนปวดใจสงสาร
อ๋าวหรานรู้ทันใด “เป็อิ่นซีเิ!”
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่ลึกเข้าไปอีก แทบจะไม่มีแสงไฟแล้ว มืดสนิท แค่เห็นเงาคนลางๆ แล้วก็เสียงพูดที่สกปรกไม่น่าฟัง อ๋าวหรานกับจิ่งจื่อไม่สนแล้วว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ยกกระบี่แล้วพุ่งไปทางเ้าคนชั่วผู้นั่นเลย คนคนนั้นก็ได้ยินเสียง ถึงแม้นี่จะเกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่การตอบสนองของคนผู้นั้นก็ไม่เลวเลย ชักกระบี่ข้างลำตัวแล้วพุ่งเข้าสู้กับพวกอ๋าวหราน ทั้งสองมีวรยุทธ์ไม่เลว แล้วยังลงมือพร้อมกันอีก คนคนนั้นจึงถูกสกัดไว้ในเวลาไม่นาน จิ่งจื่อยังแทงกระบี่ไปที่ขาอ่อนของคนนั้นด้วย เขาหอบหายใจ ดึงเสื้อที่กองอยู่บริเวณเอวซัดออกไปใส่ทั้งสองคนแล้วหนีไปในป่ารกทึบ กลืนหายไปกับเงาไม้อย่างรวดเร็ว หลอมรวมไปกับความมืด ทั้งสองวิ่งตามไปเล็กน้อย ก็ทำได้แค่ยอมแพ้กลับมา
เมื่อกลับมาที่เดิม จิ่งเซียงกำลังประคองอิ่นซีเิ แม่นางคนนั้นร้องไห้อย่างทรมาน ดูน่าสงสารมาก
อ๋าวหรานพูดแค่ว่า “อย่าอยู่ที่นี่ต่อไปเลย ส่งนางกลับไปเถิด”
ทุกคนพยักหน้า จิ่งเซียงพูดปลอบใจว่า “เ้าไม่ต้องร้อง ไม่เป็ไร พวกพี่ชายข้าไล่มันไปแล้ว”
อิ่นซีเิร้องไห้แล้วพยักหน้าไปด้วย
เมื่อมาถึงที่ที่มีแสง อ๋าวหรานถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าของอิ่นซีเิถูกฉีกกระชากเป็ริ้วๆ ถึงแม้ว่าถ้าเป็ในยุคปัจจุบันจะไม่เป็ไร แต่ในยุคที่ค่อนข้างจะต้องปกปิดมิดชิดเช่นนี้ ก็ดูจะเปิดเผยมากไปจริงๆ อ๋าวหรานมองจิ่งจื่อกับจิ่งฝานที่เหมือนกับท่อนไม้สองท่อน แล้วก็มองจิ่งเซียงที่เป็เพียงแค่เด็กสาว จึงทำได้แค่สละเสื้อตัวนอกของตนเองคลุมให้อิ่นซีเิ
แม่นางคนนั้นเงยหน้ามองอ๋าวหราน น้ำตานองหน้า อ๋าวหรานหัวเราะออกมาสองเสียงอย่างกระอักกระอ่วน ดีที่การเป็คนหน้าตาดีก็ดูจะมีข้อดีอยู่บ้าง อิ่นซีเิเช็ดน้ำตา อดทนไม่ร้องแล้ว “ขอบคุณพวกเ้า ถ้า...ถ้าหากไม่ได้พวกเ้า ข้าก็...ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี”
จิ่งเซียงรีบตอบว่า “เ้าไม่เป็ไรก็ดีแล้ว ดีที่พวกเขาหูดี วรยุทธ์ก็ดี มาได้ทันเวลาพอดี”
อิ่นซีเิพยักหน้าแล้วก็รีบขอบคุณอีก ใบหน้าที่มีคราบน้ำตา ดูบอบบางเหมือนกิ่งหลิวต้องลมและก็มีความเข้มแข็งปนอยู่ด้วย
จิ่งเซียงยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้อิ่นซีเิ พูดอีกว่า “เ้าพักอยู่ห้องไหน พวกเราไปส่ง”
อิ่นซีเิตอบว่า “อยู่ค่อนไปทางทิศใต้ข้าจะพาพวกเ้าไป”
จิ่งเซียงพยักหน้า “ไกลหรือไม่? เ้าไหวหรือเปล่า? ให้ข้าแบกเ้าไหมวรยุทธ์ของข้าเองก็ดีมากเช่นกันนะ?”
อิ่นซีเิส่ายหน้า แล้วก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก “ไม่เป็ไร ข้ายังไหว”
จิ่งเซียงเห็นางยังเศร้าอยู่ รีบพูดหยอกล้อกับนาง แล้วยังเปลี่ยนเป็ทำเสียงโกรธจัดว่า “เ้าวางใจ ข้าต้องจับมันมาให้เ้าระบายความโกรธแน่!”
พูดจบ ก็ถลึงตามองอ๋าวหรานกับจิ่งจื่อ “เ้าสองคนทำไมโง่เช่นนี้ จับคนคนเดียวยังไม่ได้”
จิ่งจื่อ “......” เมื่อกี้ไม่ใช่เพิ่งชมไปว่าพวกเราวรยุทธ์ดีมากหรอกหรือ?
อ๋าวหราน “......” ถูกว่าร้ายอย่างไม่เป็ธรรม
ด่าจิ่งจื่อกับอ๋าวหรานเสร็จ จิ่งเซียงก็ย้ายความโกรธไปที่จิ่งฝาน “ยังมีท่านอีก! ท่านเป็พี่ชายข้านะ เป็ความภาคภูมิใจของตระกูลจิ่งเรา ทำไมท่านถึงยืนนิ่งไม่ขยับ ทำมันหนีไปจนได้”
จิ่งฝานส่งเสียง ฮึ ออกมาเสียงหนึ่ง “จับได้แล้วไม่น่าอายกว่าเดิมหรือ?”
คำพูดนี้พูดออกมาแบบมีความหมายแฝง อิ่นซีเิร้องออกมาอีก เดิมทีก็เป็เื่ที่น่าอับอาย ยังถูกพูดคำว่านี้ย้ำขึ้นมาอีก คนที่เพิ่งพบเจอเื่น่าอายมาจะไปทนไหวได้อย่างไร
อ๋าวหรานเห็นอิ่นซีเิร้องไห้ไม่หยุด จึงทำได้เพียงพยายามแก้ต่างแทนจิ่งฝาน “เ้าอย่าร้องเลย ความหมายของจิ่งฝานคือ กลัวว่าเื่นี้จะเปิดเผยออกมา เดิมทีก็ไม่ใช่ความผิดเ้า แล้วเ้าก็ยังไม่ใช่เหยื่อที่รับเคราะห์ แต่ผู้หญิงก็จะบอบบางอยู่สักหน่อย และยังถูกวิจารณ์มากกว่า ดังนั้นตอนนี้การปกป้องเ้าจึงสำคัญที่สุด วิธีเดียวก็คือตอนนี้อย่าเพิ่งให้คนอื่นรู้เื่นี้เด็ดขาด”
ได้ยินคำพูดนี้ อิ่นซีเิก็หยุดร้อง ค่อยๆ เงยหน้ามองอ๋าวหราน ดวงหน้าที่เลอะคราบน้ำตาปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ รอยแรกในค่ำคืนนี้ ราวกับดอกท้อที่เบ่งบาน
อ๋าวหรานที่มีใจสงบนิ่งก็ยังอดพูดออกมาไม่ได้ว่า เวรแล้ว!
แม่นางคนนี้อย่าได้ชอบเขาเป็อันขาดเชียว ไม่งั้นคงกระอักกระอ่วนแย่
เ้าเด็กจิ่งฝานนี่ก็จริงๆ เลย ป่วยเป็โรคมอสองหรืออย่างไร? ในนิยายต้นฉบับเขารักอิ่นซีเิมาก อิ่นซีเิเป็คนเรียบร้อย รู้ความ รู้จักหนักเบา และยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และยังมีใจเดียวต่อจิ่งฝาน มองเขาสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง
ในนิยายต้นฉบับ อิ่นซีเิมีอาการเจ็บหัวใจ คล้ายๆ กับโรคหัวใจ แต่ก็ไม่ใช่ ทุกครั้งที่อาการเจ็บหัวใจนางกำเริบนางจะเจ็บจนแทบทนไม่ได้ แม้แต่จิ่งฝานก็ยังดูไม่ออกว่าเป็โรคอะไร จิ่งฝานพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากเพื่อรักษานาง และยังลำบากไม่น้อยด้วย ฉากนั้นเขียนไว้อย่างโศกเศร้า บรรดานักอ่านหญิงต่างก็ทยอยแสดงความคิดเห็นว่า อยากมีคนรักแบบจิ่งฝาน ถึงแม้สุดท้ายนักเขียนจะไม่ได้บอกชัดเจนว่าเป็โรคอะไร เป็ได้อย่างไร แต่ก็ทำให้หลายคนซาบซึ้ง เสียน้ำตาไปไม่น้อย อ๋าวหรานคาดว่าเ้าว่านเฝิงคงจะดูหนังน้ำเน่ามากไป ใช้ฉากรักสุดเศร้า สร้างโรคหัวใจเวอร์ชั่นโบราณขึ้นมาหลอกคนอ่าน
ตอนนี้มีจิ่งเซียงคอยพูดให้กำลังใจ แล้วยังมีอ๋าวหรานที่คอยพูดคำปลอบใจ อิ่นซีเิตลอดทางมาก็ไม่ร้องอีกแล้ว แล้วยังหันมายิ้มให้อ๋าวหรานกับจิ่งเซียงบ่อยๆ สงสารก็แต่อ๋าวหราน ทุกครั้งที่เห็นนางยิ้ม ก็อดสะท้านใจไม่ได้
เหมือนระยะทางจะไม่ได้ไกลมาก พวกเขาเดินมาไม่นานก็ถึงแล้ว
อิ่นซีเิจับมือจิ่งเซียงเสียงสั่นเครือ “ขอบคุณพวกเ้ามาก หากไม่ได้พวกเ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็เช่นไรบ้าง”
จิ่งเซียงแกล้งทำเป็โกรธ “คำนี้เ้าพูดมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ยังจะมาเกรงใจพวกเราอยู่อีก”
อิ่นซีเิยิ้มเล็กๆ แล้วพยักหน้า
จิ่งเซียงพูดว่า “วันหน้าก็มาเที่ยวที่ตระกูลจิ่งบ่อยๆ ถ้าป่วยก็ไปที่ร้านโอสถตระกูลจิ่ง หิวแล้วก็ไปฮวาเล่อทิง บอกชื่อข้าไปก็พอ”
อิ่นซีเิพยักหน้า
จิ่งเซียง “รีบกลับเข้าไปด้านในเถิด”
อิ่นซีเิส่งเสียงอืมออกมาเสียงหนึ่ง หันศีรษะมามองอ๋าวหรานทีหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณเ้ามาก และก็ขอบคุณสำหรับเสื้อนี่ด้วย”
อ๋าวหรานยิ้ม ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เป็ไร”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้