ซูเมิ่งหานมองเย่เฟิงด้วยความเป็ห่วง “ไม่เป็อะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็ไรอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก” เย่เฟิงยิ้มบางและพยักหน้าก่อนนั่งลง เขาเงยหน้ามองซูซิ่นชางที่อยู่ตรงข้ามแล้วกล่าว “เอาล่ะ ตอนนี้เราคงคุยกันได้แล้วว่าคุณ้าอะไร?”
ซูซิ่นชางกระอักกระอ่วน เด็กคนนี้ไม่รู้มารยาททางสังคมหรือว่าบนโต๊ะที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้ไม่ควรรีบเข้าประเด็นแต่ควรสร้างไมตรีต่อกันก่อน ชายวัยกลางคนไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจซูเซิ่งกรุ๊ป ถ้าทั้งสองคนแต่งงานกัน ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของซูเซิ่งกรุ๊ปก็เป็ของเขาเลยไม่ใช่หรือ?
ยังเด็กเกินไป!
ซูซิ่นชางคิดในใจ แต่อย่างไรก็ตามเด็กแบบนี้น่าจะรับมือง่าย
เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเฟิง ยังมีเวลาเหลือตั้งเยอะ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอก มาฉลองกับการพบกันครั้งแรกของเราดีกว่า เอ้า! ชนเเก้ว”
เย่เฟิงแค่นเสียง “คุณไม่ต้องตีสนิท มันใช้กับผมไม่ได้หรอก มีอะไรจะพูดก็รีบพูด ถ้าไม่มีอะไร พวกเราจะได้กลับ”
สีหน้าของซูซิ่นชางแข็งค้าง เขาไม่คิดว่าเย่เฟิงจะไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว!
ชายวัยกลางคนจัดการความรู้สึกของตัวเอง ในใจรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่เย่เฟิงไม่ยอมพูดคุยกัน ทำให้บรรยากาศแย่ลงแบบนี้ ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่อยู่ในสายตาตน เขามองเย่เฟิงและพูดเข้าประเด็น “ถ้างั้นฉันจะไม่อ้อมค้อม ได้ยินว่าเธอเป็ญาติของชายหน้าบาก เป็ความจริงเหรอ?”
“แล้วยังไง?” เย่เฟิงมองท่าทีของอีกฝ่ายพลางนึกเบื่อหน่าย ชายหนุ่มไม่อยากตอบอะไรกลับไป
ซูเมิ่งหานที่มองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ผิดหวังในตัวพ่อของตนมาก เธอคิดว่าเขาชวนมากินข้าว้าขอโทษชดเชยสิ่งที่ทำกับเธอเมื่อบ่าย แต่สุดท้ายก็เพื่อหาประโยชน์จากเย่เฟิง
“เธอไม่คิดหรือไงว่าเราสามารถร่วมมือกันได้” ซูซิ่นชางยิ้มอย่างมั่นใจ “ไหนๆ เธอกับเมิ่งหานก็อยู่ด้วยกันแล้ว คงดีกว่าถ้าได้หมั้นหมายกัน ในอนาคตหุ้นซูเซิ่งกรุ๊ปส่วนหนึ่งก็จะเป็ของนายด้วย”
เย่เฟิงยิ้ม “หึ จากนั้นถ้าซูเซิ่งกรุ๊ปมีปัญหาอะไร คุณก็จะให้แก๊งอสรพิษ์ออกหน้าใช่ไหม? เป็ความคิดที่ดีนี่ แต่ไม่คิดจะถามความเห็นของลูกสาวคุณหน่อยหรือไง?”
อยู่ๆ ก็จับซูเมิ่งหานหมั้นหมายกับเย่เฟิง ซูซิ่นชางก็มีฐานะสูงส่งไม่น้อย เขาเห็นลูกสาวเป็เพียงของแลกเปลี่ยนเพื่อธุรกิจของตัวเองหรือไง?
เมื่อซูซิ่นชางได้ฟังดังนั้นจึงหันมองสายตาของซูเมิ่งหาน แววตาของเขาแสดงออกว่าไม่ใส่ใจ จากนั้นพูดต่อ “ฉันเชื่อว่าเมิ่งหานคงไม่ปฏิเสธ ดูเหมือนเธอจะชอบนาย”
“หนูขอปฏิเสธ!” ซูเมิ่งหานผิดหวังในตัวพ่อของเธอมาก หญิงสาวยืนขึ้นจ้องซูซิ่นชาง “จริงอยู่ที่หนูชอบเย่เฟิง แต่การชอบกับการหมั้น มันเหมือนกันหรือคะ เห็นแบบนี้หนูก็ไม่ไร้เดียงสานะคะ”
คำพูดของซูเมิ่งหานทำให้ชายทั้งสองตกตะลึง
ร่างของซูเมิ่งหานสั่นเพราะความโกรธ หลังจากพูดคำเ่าั้ก็กระวนกระวายมาก และกังวลว่าเย่เฟิงจะโกรธ การชอบใครสักคนไม่ได้แปลว่าจะต้องหมั้นหมายกัน เธอแค่มีความรู้สึกดีๆ ให้เขาและอยากลองคบหาดูใจกัน แต่ความรู้สึกที่ว่ายังห่างไกลจากคำว่ารัก ยังเร็วเกินไปที่จะหมั้นหรือแต่งงานกัน ความใจดีไม่ได้หมายถึงความไร้เดียงสา ไม่เหมือนกับคนโง่ เพียงไปเมืองหลางฝาง ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายยังไม่มั่นคงขนาดนั้น คำพูดนี้อาจทำให้เย่เฟิงไม่สบายใจ แต่เธอต้องพูดความจริงเพราะทนดูพฤติกรรมของพ่อไม่ไหวแล้ว
เย่เฟิงเดาได้ว่าเธอคิดอะไรและพูดปลอบเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล ฉันไม่โกรธหรอก”
หลังจากพูดแล้วเขาก็จับมือเธอ
คำพูดของเขาทำให้เธออบอุ่นใจ หญิงสาวนั่งลงขณะที่ยังขุ่นเคือง เธอไม่ดึงมือออกแต่กลับกระชับมือแน่นขึ้น
ภายใต้การปลอบของเย่เฟิง ซูเมิ่งหานค่อยๆ ใจเย็นลงและเอ่ยต่อ “เื่ที่คุณยายเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือคะ?”
หลังจากพูดจบก็มองซูซิ่นชางอย่างเ็า เหมือนกำลังมองฆาตกรมากกว่ามองคนเป็พ่อ ซูเมิ่งหานหยิบบัตรธนาคารจากกระเป๋าและโยนไปให้ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะสื่อว่าเธอไม่้าเงินหนึ่งล้านของเขา
คำพูดของเธอทำให้เย่เฟิงนึกถึงเซี่ยิ่ หรือจะเป็ฝีมือเธอจริงๆ ถ้าเช่นนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ใจแคบจริงๆ เพียงคัดค้านการแต่งงานกับซูซิ่นชางถึงกับต้องฆ่ากันเลยหรือ?
ซูเมิ่งหานที่กำลังโกรธพูดถึงสิ่งที่ทำให้พ่อของเธอพูดอะไรไม่ออก
ก่อนเขาจะนัดเจอเด็กทั้งสองก็นึกถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเป็ไปได้มากมาย เขาไม่ใส่ใจบัตรธนาคารหนึ่งล้านบาทที่ลูกสาวโยนมาตรงหน้า แต่กลับดูห่อเหี่ยว
ในฐานะคนที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์มากมาย แม้บางครั้งจะไม่เป็ไปตามที่คิด แต่เขาก็มีไพ่ตายอยู่
“บริกร เอาเหล้าขาวมาสักสองสามขวด” ซูซิ่นชางดูเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง เขาะโไปที่ประตู ชายผู้ประสบความสำเร็จตรงหน้าคล้ายแก่ลงหลายสิบปี
เย่เฟิงคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่ดีนัก ท่าทางอีกฝ่าย้าแสดงบทคนน่าสงสาร ด้วยความใสซื่อและใจดีของซูเมิ่งหาน ชายคนนี้อาจหลอกเธอได้อีกครั้ง
แต่ฟ้ามีตา... แผนของซูซิ่นชางไม่สำเร็จ
ขณะบริกรสาวเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเหล้าขาวสามขวด ก็มีคนเดินผ่านมาเห็นซูซิ่นชางและเย่เฟิงพอดี เขาหยุดอยู่ตรงนั้นอย่างอดแปลกใจไม่ได้
“โอ้ นั่นไม่ใช่น้องซูเหรอ วันนี้มีเวลามากินข้าวที่นี่ด้วยเหรอ?” ชายคนนั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ท่าทางสนิทสนมกับซูซิ่นชาง
เย่เฟิงหันไปมองและจำอีกฝ่ายได้ทันที ผู้ชายคนนี้ที่มีพุงใหญ่และรอยยิ้มประดับบนหน้า ผู้บังคับการหลิวคนเดียวกับที่ฉันเห็นที่สถานีตำรวจครั้งนั้นไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้เขายังเป็ผู้สนับสนุนอยู่เื้ัของแก๊งอสรพิษ์ ผู้บังคับการหลิวจากสำนักรักษาความปลอดภัยสาธารณะเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่คิดเลยว่าจะเจอเขาที่นี่
ซูเมิ่งหานมองผู้มาใหม่ เธอคิดว่าเขาคงเป็เพื่อนแสนเ้าเล่ห์ของพ่อ จึงแสดงท่าทีรังเกียจ
“อ๊ะ... ผู้บังคับการหลิว หรือว่าคุณก็มากินข้าวเหมือนกัน?” ซูซิ่นชางผู้ตั้งใจเล่นบทน่าสงสารไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าจะเข้ามาแทรกกะทันหัน
“ฮ่าๆ เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอน้องซูที่นี่” หลิวลี่ฮุยยิ้มและนั่งลง เขานั่งในตำแหน่งที่ดีมาก คืออยู่ระหว่างเย่เฟิงและซูซิ่นชาง แต่ดูเหมือนจะใกล้กับเย่เฟิงมากกว่า เพราะห่างกันแค่สองเก้าอี้
เมื่อเห็นเขานั่งใกล้เย่เฟิง ซูซิ่นชางก็แปลกใจ หรือหลิวลี่ฮุยจะพยายามประจบเย่เฟิง?
“หึๆ คุณชายเย่พาแฟนออกมาเที่ยวเล่นหรือครับ” หลังจากหลิวลี่ฮุยนั่งลง เขาไม่สนใจซูซิ่นชางแต่ยิ้มให้เย่เฟิงด้วยท่าทีให้ความเคารพแฝงการประจบ
เมื่อเห็นเขาเป็เช่นนี้ สองพ่อลูกตระกูลซูต่างตกตะลึงแปลกใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้