เื่ที่หลิวฉีซื่อไม่โปรดปรานหลิวซานกุ้ยเป็ที่รู้กันอยู่แล้ว
หมู่บ้านสามสิบลี้อยู่ห่างจากตัวตำบลเพียงหกลี้ หากเร่งเกวียนวัวสักหน่อยก็ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งจิบน้ำชา [1]
เกวียนวัวมาถึงปากทางตำบลก็เลี้ยวอย่างรวดเร็ว จากนั้นหายไปในสิ่งปลูกสร้างที่เรียงราย
โรงหมอแห่งเดียวในตำบลยังเปิดอยู่ ด้านในมีเก้าอี้ยาวที่ดูมีอายุวางอยู่มากมาย แต่นับว่าดูแลได้ไม่เลว เก้าอี้ที่เคลือบเงาเมื่อมีคนนั่งเสียดสีเป็เวลานานจึงยิ่งแวววาวเป็ประกายสีแดง
ขณะนี้มีผู้ที่เข้ามารักษาอาการป่วยอยู่เนืองๆ
ด้านข้างทิศตะวันออกตรงข้ามประตูมีโต๊ะวางอยู่ตัวหนึ่ง และมีหมอชราผมหงอกกำลังวัดชีพจรอยู่
“ท่านหมอ ท่านหมอ มีคนในหมู่บ้านอาเจียนเป็เื รีบมาดูเร็วเถิด ทุกท่าน ขออภัยจริงๆ ขอความกรุณารอสักหน่อย ลูกบ้านข้าจู่ๆ ก็อาเจียนเป็เืและสลบไสลไป ทุกท่านได้โปรดอย่าถือโทษโกรธเคือง”
หลี่เจิ้งไม่ทันรอให้เกวียนวัวหยุดดี ก็ะโลงจากรถและตรงไปที่โรงหมอ
หลิวเต้าเซียงตัวเล็กแต่กิริยาวาจาเรียบร้อย ขณะนี้กำลังกล่าวขอบคุณที่หลี่เจิ้งช่วยเหลือและจดจำไว้ รอวันหน้าหากได้ดีจะตอบแทนบุญคุณเขาอย่างแน่นอน
หมอเป็หมอดีและชาวบ้านล้วนเป็ชาวบ้านที่ดี
ในสถานที่ขนาดเท่าฝ่ามือนี้ หากสืบสาวกันไปก็คงเป็ญาติสหายกันหมด
ดังนั้นเมื่อหลี่เจิ้งะโอย่างร้อนรน ทุกคนต่างก็หลีกทาง
หมอรีบออกมาดูและถามว่าคนป่วยอยู่ที่ใด
หลี่เจิ้งชี้ไปที่เกวียนวัวตรงประตู
หากไม่ได้รับอนุญาตจากหมอจะไม่สามารถพาคนป่วยเข้าไปได้
จางกุ้ยฮัวใบหน้ายังคงซีดเผือด ขมวดคิ้วแน่น และสลบไสลไม่ได้สติ ส่วนหลิวซานกุ้ยอาการดีกว่านางหน่อย แต่ระหว่างทางก็อาเจียนไปหลายรอบ ขณะนี้มีแต่กลิ่นขมคออยู่เต็มปาก
หมอเดินหน้าเข้าไปวัดชีพจร แล้วเรียกลูกศิษย์ช่วยกันยกพวกเขาเข้าไปในห้องผู้ป่วยด้านหลัง บอกแค่ว่าอวัยวะภายในของทั้งสองได้รับาเ็ เขาต้องตรวจดูอย่างละเอียด
“ท่านหมอ พ่อแม่ข้าจะไม่เป็อะไร ใช่หรือไม่?”
นางไม่รอให้หมอได้เอ่ยปากถามก็เริ่มถามขึ้นเองอย่างติดๆ ขัดๆ
หลังจากนั้นก็บอกเล่าทุกอย่างที่บิดามารดาทำทั้งหมด รวมถึงอาหารที่ได้ทานในวันนี้
ทั้งหมดล้วนเป็เื่ปกติธรรมดา ไม่มีสิ่งใดที่ดูผิดสังเกต
หมอเองก็ไม่เคยเห็นอาการป่วยกะทันหันเช่นนี้มาก่อน จึงทำอะไรมากไม่ได้
ว่ากันว่าคนเราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
หลิวเต้าเซียงข้ามมิติมาได้หนึ่งปีแล้ว แม้ว่าวันเวลาก่อนหน้านี้ค่อนข้างลำบากตรากตรำ แต่บิดามารดาไม่ได้ละเลยต่อตัวนางที่เป็บุตรคนรองแต่อย่างใด กลับกันคือทั้งคู่ต่างก็รักใคร่และเอ็นดูนางมาก
นางเอื้อมมือออกไปััตำแหน่งหัวใจของตนเอง รู้สึกเพียงว่าด้านในกำลังเ็ปจนกระทั่งไม่อาจหายใจได้ นางนึกกล่าวโทษตนเองอย่างหนักที่กลัวจะเกิดเื่จึงไม่ได้ซื้อของบำรุงให้ทั้งสองได้กินดีๆ
หลิวซานกุ้ยและภรรยาใช้ชีวิตอย่างเลวร้ายใน่หลายปีที่ผ่านมา ร่างกายของพวกเขาไม่ได้รับการดูแลแต่อย่างใด นางรู้สึกเสียใจทีหลังที่ไม่ได้ช่วยบำรุงร่างกายของคนทั้งสองให้ดีั้แ่เนิ่น
นางไม่กลัวหลิวฉีซื่อ แต่ก็ไม่้าให้เกิดเื่วุ่นวายที่บ้านทุกวัน
ถูกต้อง แม้ว่านางจะข้ามมิติมาสถานที่แห่งนี้หนึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนนิสัยตนเองที่ชอบความสงบได้ นางชอบชีวิตที่สงบสุข
หลิวเต้าเซียงโทษตัวเองที่ไม่ได้ปกป้องบิดามารดาให้ดี
“แม่สาวน้อย เ้าอย่ากังวลไป พ่อกับแม่เ้าเจ็บตรง่ท้อง ข้าดูจากชีพจรและสีหน้าแล้ว เหมือนว่า...”
หมอชราลังเลเล็กน้อย หากคำพูดนั้นออกมาเกรงว่าคงก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง แต่ช่างเถิด เขาคงต้องขอตรวจดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ขณะที่หลิวเต้าเซียงกำลังยื้อเวลา นางเอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อของหมอไว้แล้วถาม “เหมือนว่าอะไร? ท่านหมอ ท่านมีอะไรก็พูดมาตามตรง มีอะไรข้ารับได้”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของหมอกระตุกเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นอาการป่วยกะทันหันเช่นนี้มาก่อน แต่ก็คล้ายกับอาการหนึ่งในตำราแพทย์โบราณ
เมื่อก้มศีรษะมองไปที่เด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้ ความวิตกกังวลและความร้อนใจที่แสดงออกผ่านแววตาของหลิวเต้าเซียงได้ทิ่มแทงสายตาของเขา
จากนั้นเขาก็บอกกล่าวสิ่งที่คาดเดาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
อะไรนะ โรคที่รักษาไม่หาย?
โรคที่รักษาไม่หาย เท่ากับตาย!
นี่หมายความว่าพ่อกับแม่ของนางกำลังจะตายหรือ?
มันจะเป็ไปได้อย่างไร นางเป็หญิงสาวที่ข้ามมิติมา นางมีนิ้วมือทอง บิดามารดาของนางต้องมีแต่ความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งในอนาคต
แล้วจะตายได้อย่างไร?
สมองของหลิวเต้าเซียงเหมือนถูกกระทบกระเทือนด้วยแรงบางอย่างที่จู่โจมเข้ามานับไม่ถ้วน ทำให้นางไม่อยากปักใจเชื่อแม้แต่น้อย
“ข้าไม่เชื่อ!”
นางกัดฟันตอบ!
หมอเฒ่าตรงหน้าต้องเป็หมอที่ไม่ได้เื่แน่!
“สัตว์ปีศาจน้อย รีบออกมาเดี๋ยวนี้ ออกมาช่วยฉันดูหน่อย พ่อแม่ฉันเป็อะไรไป”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดนิ่งเงียบอยู่นาน
หลิวเต้าเซียงร้อนใจจนกําลังจะร้องไห้ “สัตว์ปีศาจน้อย นายอย่าโกรธไป ขอเพียงนายมีวิธีช่วยรักษาพ่อแม่ฉันได้ ต่อไปฉันจะพยายามอีกเท่าตัวและทำให้เลื่อนขั้นอีกเยอะๆ เลย”
คําพูดของนางน่าดึงดูดใจมาก
การได้เลื่อนขั้นหมายความว่าสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดจะได้รับพลังงานมากขึ้น มีรูปลักษณ์ที่สวยงามและมีความสามารถมากขึ้น
แต่...
“เซียงเซียงที่รัก สำหรับเื่เลวร้ายที่พ่อแม่แสนดีของคุณพบเจอ ผมเองก็เสียใจ เพียงแต่ เซียงเซียง คุณกำลังหาผิดคนนะครับ กระผมคือสัตว์ปีศาจ แม้ว่าผมจะพอดูอาการเป็ แต่นั่นก็เป็การรักษาแบบสัตว์ปีกและปีศาจ ไม่สามารถช่วยรักษาอาการป่วยของคนได้”
หลิวเต้าเซียงพูดไม่ออก อีกทั้งหัวใจแตกสลาย!
นางที่กำลังร้อนใจจนบ้าคลั่ง หารู้ไม่ว่าคนที่ไม่คาดคิดได้เดินทางมาถึงตำบลเหลียนซานแล้ว
ซูจื่อเยี่ยเป็บุตรในสนมของท่านอ๋อง ในราชวงศ์โจวบุตรของสนมก็นับว่าเป็ทายาท ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกบันทึกว่าเป็เชื้อพระวงศ์ด้วย
ท่านอ๋องเป็คนจิตใจกว้างขวางและมีเมตตาธรรม ตอนนั้นเขาคิดเพียงแค่ว่าอยากช่วยพี่ชายฮ่องเต้ใต้หล้า จึงไม่ค่อยอยู่ในจวน
เห็นได้ชัดว่าเขาเกิดมาในตระกูลใหญ่โตที่อบอุ่น ปีนี้ซูจื่อเยี่ยอายุยังไม่ถึงสิบสี่ปี แต่เพราะเื่ราวบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้จึงทำให้เขามีวุฒิภาวะสูงกว่าวัย ั้แ่อายุเก้าขวบก็เริ่มสั่งสมพลังความสามารถที่เป็ของตนเอง
ตอนอายุสิบเอ็ดขวบ เขาประสบความสําเร็จจนได้เข้าตาองค์ชายสี่ โดยที่องค์ชายสี่ช่วยเปิดหน้าต่างบานใหม่ให้แก่เขา ทำให้เขาได้เห็นโลกภายนอกจวนที่ยิ่งใหญ่และน่าระทึกใจ
เดิมทีหนนี้เขาไม่ควรออกจากเมืองหลวง แต่พระชายาที่งามเลื่องชื่อได้เชิญอาจารย์ที่เก่งกาจมาสอนเขา
ซูจื่อเยี่ยพิงหน้าต่างรถม้า มุมปากยกยิ้มอย่างเ็า เขาอายุสิบสี่แล้ว จำได้ว่าในอดีตพี่ชายใหญ่ของเขา ซึ่งก็คือบุตรแห่งพระชายา ตอนนั้นก็อายุสิบสี่และเริ่มทำงาน สามารถติดตามข้างกายท่านอ๋องอยู่บ่อยครั้ง
นิ้วเรียวยาวของเขาเคาะโต๊ะตรงหน้าเบาๆ ส่งเสียงกังวานบริสุทธิ์
“นายท่าน ด้านหน้ามีเกวียนวัวจอดขวางอยู่ตรงปากทางตำบล”
นี่เป็ครั้งแรกที่จิ้นเซี่ยวมาที่เขตชิงโจวกับซูจื่อเยี่ย เขารู้ว่าสถานะของเ้านายไม่ธรรมดา แต่ที่มาอำเภอถู่หนิวคงเพราะช่วยท่านผู้นั้นทำงานบางอย่าง
“บอกคนบังคับรถม้าให้หยุดก่อน หากไม่ใช่คนน่าสงสัย ก็ให้อีกฝ่ายไปก่อน วันนี้เราจะไปเทียบที่สถานที่ของเกาจิ่ว”
เบื้องหน้าเกาจิ่วรับหน้าที่ดูแลโรงเตี๊ยมฟู่กุ้ย แต่ในความเป็จริงเขารับหน้าที่ส่งข่าวสารจากเขตชิงโจว
หากไม่ใช่เพราะหลิวเต้าเซียง เขาคงไม่สามารถอยู่ที่ตำบลเหลียนซานได้บ่อยครั้ง
ความคิดของซูจื่อเยี่ยถูกขัดจึงกระวนกระวายใจในชั่วขณะนั้น ก่อนจะยกผ้าม่านขึ้นแล้วมองออกไป เงาด้านหลังของคนผู้หนึ่งเข้ามาอยู่ในสายตาเขา จากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เงาด้านหลังนั้นคุ้นตายิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับภาพในความทรงจำ คนที่อยู่บนเกวียนวัวนั้นดูเหมือนจะสูงกว่าเดิมมากนัก
ด้านนอกรถมีเสียงของจิ้นเซี่ยวดังขึ้น เขาให้คนบังคับรถม้าพาไปยังบ้านของเกาจิ่ว แล้วสั่งให้บริวารผู้หนึ่งไปเรียกตัวเกาจิ่วที่โรงเตี๊ยมฟู่กุ้ย
ซูจื่อเยี่ยคิดถึงเงาด้านหลังนั้นอยู่ตลอดเวลาและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากจิ้นเซี่ยวเข้ามาในรถ ซูจื่อเยี่ยจึงบอกสิ่งที่ตนเองสงสัย
จิ้นเซี่ยวหัวเราะ คงเพราะนายท่านของตนยังเด็ก จะรู้ได้อย่างไรว่าแม่สาวน้อยคนนั้นตัวสูงขึ้นแล้ว
“เ้าบอกว่ามีความเป็ไปได้ว่าจะเป็นางหรือ ก็จริง ไม่ได้เจอกันหนึ่งปี น่าจะสูงขึ้นแล้ว”
ซูจื่อเยี่ยพูดเสร็จก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จะโตเร็วไปหน่อยหรือไม่?
ตอนที่หลิวเต้าเซียงข้ามมิติมา เนื่องจากอดๆ อยากๆ จึงไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ ด้วยเหตุนี้เด็กสาวอายุเจ็ดขวบจึงดูแล้วเหมือนเด็กอายุห้าขวบมากกว่า
ระยะเวลาเพียงหนึ่งปี ยกเว้น่แรกที่หลิวเต้าเซียงได้รับความลำบาก หลังจากนั้นการกินของนางแลดูดีกว่าฝั่งหลิวฉีซื่อเสียอีก ราวกับผักกวางตุ้งที่ได้รับปุ๋ย จากนั้นก็โตเอาๆ
ตอนนี้นางสูงกว่าเด็กหญิงอายุแปดขวบทั่วไปเล็กน้อย
“นายท่าน คนตระกูลหลิวได้รับการดูแลเงียบๆ จากท่าน ย่อมต้องมีชีวิตที่ดีกว่าแต่ก่อน ได้ยินจากที่เกาจิ่วส่งข่าวมา คุณหนูรองตระกูลหลิวยังเจรจาการค้ากับเขาด้วย เกาจิ่วชื่นชอบคนหลักแหลม เมื่อมีเวลาว่างก็มักจะชี้นำให้นาง”
จิ้นเซี่ยวรู้วิธีพูดอย่างไรเพื่อให้นายท่านฟังแล้วรื่นหูและสบายใจ
มุมปากของซูจื่อเยี่ยยกสูงขึ้นและเผยความอ่อนโยนออกมา “นางน่ะ ั้แ่รู้จักนางมาก็เป็คนที่แก่นแก้ว ว่ากันว่าหลานสาวมักเป็เหมือนน้าชาย กระทั่งนิสัยก็คล้ายกันยิ่งนัก”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ คุณชายจางเป็ยอดคน กระหม่อมไม่เคยพบเจอคนที่ทำการค้าเก่งเช่นนี้มาก่อน กระทั่งหนึ่งอีแปะก็คิดได้อย่างแม่นยำ”
จิ้นเซี่ยวนึกถึงจางอวี้เต๋อที่รักษาตัวอยู่ที่เรือนนั้น แต่ก็ไม่ยอมอยู่เดียวดายเฉยๆ อาศัย่ก่อนตรุษจีน ขอยืมบริวารจากซูจื่อเยี่ยไม่กี่คนไปค้าขายสินค้าที่เป็แถบมงคลติดประตู ภาพวาดปีใหม่และพลุไฟ อีกทั้งยังมีป้ายของจวนอ๋องแล้วด้วย จางอวี้เต๋อจึงทุ่มหมดทั้งตัวเป็จำนวนเงินหกร้อยห้าสิบตำลึง ปรากฏว่า เขากลับได้กำไรเป็กอบเป็กำ จากหกร้อยห้าสิบตำลึงกลายเป็สองพันกับอีกสามสิบเจ็ดตำลึง จากนั้นก็เอาเศษแบ่งให้คนเ่าั้ ส่วนจางอวี้เต๋อก็มีทรัพย์สินเพิ่มเป็สองพันตำลึง
“เขาเป็คนฉลาดจริงๆ” ซูจื่อเยี่ยไม่ได้ใส่ใจกับเงินก้อนนี้นัก
แต่พร์ของจางอวี้เต๋อนั้นแพรวพราวอย่างยิ่ง
“ขอรับ ร้านค้าในเมืองหลวงต่างก็ขายของเหล่านี้ แต่ไม่มีใครคิดได้ว่าควรเอาของเหล่านี้มาขายรวมกัน!”
ดังนั้นจิ้นเซี่ยวจึงนับถือมันสมองของจางอวี้เต๋อยิ่งนัก
หากใช้คำพูดของเขามาอธิบายก็คงเป็ จางอวี้เต๋อมีสมองทอง
ตำบลเหลียนซานเป็เพียงฐานที่พักพิงของพ่อค้า ตำบลจึงไม่ได้ใหญ่โตมาก
นอกจากโรงเตี๊ยมฟู่กุ้ยที่หรูหรา รอบข้างก็มีร้านอาหารมากกว่าตำบลอื่นเพียงไม่กี่ร้าน และมีร้านอาหารเช้าไม่กี่ร้าน
ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันก็มาถึงบ้านของเกาจิ่ว
เกาจิ่วได้รับข่าวและเปิดประตูอ้าซ่า แล้วมาเชิดหน้ายืนรออยู่ตรงบันไดนานแล้ว
ในที่สุดรถม้าสีเขียวที่ไม่โดดเด่นก็เข้ามาในซอย ด้วยสายตาที่ตื่นเต้นของเกาจิ่ว รถม้านั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หยุดลงที่หน้าประตูบ้าน
จิ้นเซี่ยวเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วพยักหน้าให้เขา เกาจิ่วจึงส่งสัญญาณให้คนรับใช้รีบไปนำรถม้าเข้ามา
“นายท่าน!” เกาจิ่วโน้มตัวลงและคำนับนายของตน
ม่านถูกยกขึ้นโดยจิ้นเซี่ยว ก่อนที่ซูจื่อเยี่ยจะลงจากรถม้า
ทั้งสองกล่าวคําทักทายกันเล็กน้อย จิ้นเซี่ยวเอ่ยปากถามเกาจิ่วว่า “ก่อนหน้านี้เราพบเกวียนวัวระหว่างทาง เหมือนจะเป็คุณหนูรองหลิว”
เกาจิ่วตกตะลึง หลิวเต้าเซียงมาที่ตำบลั้แ่เมื่อไร? เหตุใดเขาไม่ได้รับข่าว?
ซูจื่อเยี่ยมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก เหมือนกําลังรอคําตอบจากเขา
-----
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งจิบน้ำชา 一盏茶อี้-จั่น-ฉา ใช้เปรียบเทียบเวลาของจีนในยุคโบราณ ซึ่งเป็เวลาราว 10-15 นาที เนื่องจากการจิบชานั้นต้องค่อยๆ จิบ ใจเย็นๆ ระหว่างที่ชายังร้อนอยู่
