เมื่อเดินเข้าไปตรงทางเล็กๆระหว่างตู้ทั้งสองด้านแล้วมองผงสีขาวและเม็ดผลึกภายในตู้นั้น ทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังอยู่ในห้องวิจัยวิทยาศาสตร์ในโลกอนาคตและเม็ดผลึกเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เขา้าทำการวิจัย
“ใล่ะสิ ตอนที่อาจารย์มาที่นี่ครั้งแรกยังไม่ได้ใช้กระจกด้วยนะแต่ใช้เป็ถังไม้แยกเป็ถังๆ ทำให้มีถังไม้เต็มไปหมดและภาพนั้นมันก็น่าตกตะลึงมากกว่านี้เยอะมาก”
ท่านเฮ่อฉางเหอมองหลินเยว่ยิ้มๆ
หลินเยว่พยักหน้าเขาพยายามตั้งสติและถามขึ้น “พวกนี้มันคืออะไรหรือครับ?”
หลินเยว่แอบคิดว่าของทั้งสองประเภทนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเครื่องเคลือบอย่างใกล้ชิดเพราะของทุกอย่างที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ล้วนเป็ของที่เกี่ยวกับเครื่องเคลือบทั้งนั้น
หรือว่านี่จะเป็วัตถุดิบในการทำเครื่องเคลือบอย่างนั้นหรือ?
แล้วทำไมมันถึงได้มีเยอะขนาดนี้ล่ะ?
“ด้านซ้ายคือดินเกาลินที่ถูกบดละเอียดส่วนด้านขวาคือหินพอร์ซเลนที่ทำให้เป็ชิ้นเล็กๆทั้งหมดนี้ล้วนเป็วัตถุดิบในการทำเครื่องเคลือบ”
ท่านเฮ่อฉางเหออธิบายขึ้น
“แล้วทำไมมันถึงได้มีเยอะขนาดนี้ล่ะครับ?”หลินเยว่ตั้งคำถามที่เขารู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
“อ้อ ้ามีป้ายบอก ลองเดินไปดูสิเมื่อเห็นข้อมูล้า คุณก็คงจะรู้ว่าคนของจิ่งเต๋อเจิ้นมีความทุ่มเทมากแค่ไหน”
ท่านเฮ่อฉางเหอยิ้มน้อยๆแล้วชี้ไปยังป้ายที่อยู่บนกระจกพร้อมพูดขึ้น
หลินเยว่จึงเพิ่งเห็นว่าด้านหลังกระจกที่มีผงสีขาวแต่ละกองล้วนมีป้ายแขวนอยู่อีกทั้งยังมีช่องเล็กๆ อีกด้วยทำให้หลินเยว่รู้ว่าผงสีขาวถูกวางเข้าไปด้านในได้อย่างไร
หลินเยว่ชะโงกหน้าเข้าไปดูผงดินเกาลินสีขาวที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดแล้วเคลื่อนสายตามองไปยังป้าย้าทันทีจึงพบว่า้าของป้ายเขียนไว้ดังนี้ :
จักรพรรดิชิงมู่จง พระสมัญญานามหลังต จี้เทียนไคยุ่นโซ่วจงจวีเจิ้งเป่าต้าติ้งกงเซิ่งจื้อเฉิงเซี่ยวซิ่นิ่กงควนอี้หวงตี้, พระนามเดิม อ้ายซินเจวี๋ยหลัว ไจ่ฉุน, รัชศก ถงจื้อ (จักรพรรดิถงจื้อ)
หลังจากนั้นเขาจึงมองไปยังป้ายอันถัดไป้าเขียนไว้ดังนี้ :
จักรพรรดิชิงเหวินจง พระสมัญญานามหลังตเสียเทียนอี้ยุ่นจื๋อจงฉุยหมอเม่าเต๋อเจิ้นอู่เซิ่งเซี่ยวยวนกงตวนเหรินควนิ่เสี่ยนหวงตี้,พระนามเดิมอ้ายซินเจวี๋ยหลัว อี้จู่, รัชศก เสียนเฟิง (จักรพรรดิเสียนเฟิง)
ป้ายถัดไป :
จักรพรรดิชิงเซวียนจง พระสมัญญานามหลังตเซี่ยวเทียนฝูยุ่นลี่จงถี่เจิ้งจื้อเหวินเซิ่งอู่จื้อย่งเหรินฉือเจี่ยนฉินเซี่ยวิ่ควนติ้งเฉิงหวงตี้,พระนามเดิมอ้ายซินเจวี๋ยหลัว หมินหนิง, รัชศก เต้ากวง (จักรพรรดิเต้ากวง)
……
เมื่อเห็น “จักรพรรดิชิงเซิ่งจู่ พระสมัญญานามหลังตเหอเทียนหงยุ่นเหวินอู่รุ่ยเจ๋อกงเจี่ยนควนอวี้เซี่ยวจิ้งเฉิงซิ่นกงเต๋อต้าเฉิงเหรินหวงตี้,พระนามเดิมอ้ายซินเจวี๋ยหลัว เสวียนเยว่, รัชศก คังซี (จักรพรรดิคังซี)”หลินเยว่จึงเริ่มคาดเดาว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสั่นะเืไปทั้งร่าง
หากมีการเก็บดินเกาลินในทุกจักรพรรดิทุกราชวงศ์จริงๆดังนั้น หากประวัติศาสตร์ของประเทศจีนมีจักรพรรดิจำนวนเท่าไรก็ย่อมมีกองดินเกาลินจำนวนเท่านั้น
การกระทำเช่นนี้ต้องใช้ความทุ่มเทมากขนาดไหนต้องใช้หยาดโลหิตรวมทั้งแรงกายของคนกี่ยุคกี่สมัยถึงจะสามารถเก็บสะสมและรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้
เมื่อหลินเยว่มองตู้กระจกที่วางเรียงเต็มชั้น2 ในใจของเขาก็มิอาจสงบนิ่งได้เลย
นี่ก็คือ “บันทึกลำดับวงศ์ตระกูล”ของจิ่งเต๋อเจิ้นนั่นเอง ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนราชวงศ์แต่ก็ยังคงสามารถรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
หลินเยว่สามารถคาดการณ์ได้ว่าใน่สมัยานั้นบรรพบุรุษของจิ่งเต๋อเจิ้นจะต้องอุทิศหยาดเหงื่อหยาดโลหิตรวมทั้งใช้ชีวิตของตนเพื่อแลกกับ “บันทึกลำดับวงศ์ตระกูล” ของจิ่งเต๋อเจิ้นมากมายขนาดไหน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็บุคคลไร้นามแต่ทว่าก็ไม่สามารถเปลี่ยนความเป็ “วีรบุรุษ” ของพวกเขาได้เลย
หลินเยว่แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆเขาเดินไปยังตู้กระจกอีกด้าน เมื่อมองเห็นแผ่นป้าย้าที่เหมือนกับเมื่อสักครู่เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าด้านนี้เป็หินพอร์ซเลนที่ถูกเก็บรักษาไว้ในแต่ละสมัยแต่ละราชวงศ์ที่มีความสอดคล้องกับอีกด้านอย่างสมบูรณ์
“เห็นแล้วหรือยังล่ะเหมือนกับที่คุณคิดไว้นั่นแหละ มีครบทุกสมัยและทุกราชวงศ์ไม่ว่าจักรพรรดิองค์นั้นจะครองราชย์หลายปี หรือจะครองราชย์เพียงไม่กี่วันล้วนจะถูกนำเอาดินเกาลินและหินพอร์ซเลนมาเก็บรักษาไว้เพียงเื่ราวเื้ัของดินเกาลินและหินพอร์ซเลนเหล่านี้ก็สามารถนำมาเขียนเป็บทกลอนแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานได้เื่หนึ่งทีเดียว”
ท่านเฮ่อฉางเหอเดินเข้ามาหาหลินเยว่แล้วมองดินเกาลินและหินพอร์ซเลนที่อยู่เต็มห้องพร้อมพูดขึ้น
“นั่นสิเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษเหล่านี้แล้ว พวกเราคนรุ่นหลังกลับลงมือลงแรงน้อยจนเกินไปมิน่า... ฝีมือการทำเครื่องเคลือบของจิ่งเต๋อเจิ้นถึงได้แย่ลงทุกที เพราะนอกจากจะไม่สามารถสืบทอดปณิธานของบรรพบุรุษได้แล้วยังคิดจะเลียนแบบทางตะวันตกโดยการทำการปฏิรูปนวัตกรรม และการปฏิรูปนี้กลับทำให้สิ่งที่สืบทอดกันมาสูญหายไปกว่าครึ่งเฮ่อ......”
ท่านเจี่ยเหวยเกิ่งก็เดินเข้ามาและพูดพร้อมถอนหายใจ
“พวกเราเป็ผู้ศึกษาการพิสูจน์เครื่องเคลือบจึงพูดมากไม่ค่อยได้ แต่สักวันจิ่งเต๋อเจิ้นคงจะทำลายธรรมเนียมนี้แล้วสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมาใหม่ได้แน่ๆ”
ท่านเฮ่อฉางเหอยังคงรู้สึกมั่นใจกับอนาคตของจิ่งเต๋อเจิ้นอยู่
ขณะที่ผู้าุโทั้งสองกำลังคุยกันนั้นหลินเยว่กลับกำลังคิดถึงเื่อื่นๆ อยู่ในใจ
ที่นี่มีการเก็บรักษาดินเกาลินและหินพอร์ซเลนไว้ทุกยุคทุกสมัยแล้วดินเกาลินและหินพอร์ซเลนในแต่ละยุคแต่ละสมัยมันจะมีความแตกต่างกันหรือเปล่า?
ดังนั้น หลินเยว่จึงตั้งคำถามนี้กับท่านเฮ่อฉางเหอ
“อาจจะมีความแตกต่างอยู่บ้างเพราะการที่เครื่องเคลือบในแต่ละยุคสมัยมีความแตกต่างกันนอกจากวิธีการทำจะแตกต่างกันแล้ว ดินเกาลินและหินพอร์ซเลนก็อาจจะไม่เหมือนกันเช่นกันแต่ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่าง แต่ก็เป็เพียงความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆดังนั้น ส่วนนี้จึงไม่จำเป็ต้องให้ความสำคัญมากนัก”
อันที่จริง ท่านเฮ่อฉางเหอก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน
สำหรับสิ่งที่ท่านเฮ่อบอกว่าไม่จำเป็ต้องให้ความสำคัญแต่ในใจของหลินเยว่กลับแอบจดจำไว้อย่างแม่นยำ
เพราะเขายังจำได้ดีว่าความคิดแรกของเขาที่เกิดขึ้นตอนที่รับปากศึกษาเครื่องเคลือบเื่ที่ว่าจะสามารถใช้พลังพิเศษตาทิพย์ในการตัดสินว่าเครื่องเคลือบนั้นเป็ของแท้หรือของปลอมได้หรือเปล่าไม่แน่... ดินเกาลินและหินพอร์ซเลนพวกนี้อาจจะกลายเป็ตัวแปรที่สำคัญก็ได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้หลินเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากทดลองขึ้นมา
เขามองออกว่าอาจารย์เฮ่อฉางเหอของเขาให้ความสำคัญกับการทดสอบของคนรุ่นหลังในครั้งนี้ถึงแม้ว่าเขายังไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใดแต่เขารู้ดีว่าเวลาที่เขาศึกษาเครื่องเคลือบมันน้อยจนเกินไปเขาไม่มีทางสู้คนอื่นได้เลย แต่หากเขาสามารถใช้พลังพิเศษนี้ได้ เขาอาจจะไม่ต้องพ่ายแพ้จนหมดรูปก็ได้ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ทำผลงานได้ดีที่สุดแต่อย่างน้อยก็คงจะไม่ทำให้อาจารย์ของเขาขายหน้า
หลินเยว่รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะทดลองใช้พลังพิเศษเพราะข้างๆ เขายังมีคนอื่นอีก 3 คนคอยดูอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางฮุยิ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะสนใจเขาเป็อย่างยิ่ง เพราะมักจะเหลือบมองมาทางเขาอยู่บ่อยๆเหมือนอยากจะคุยกับเขาแต่กลับไม่มีจังหวะเหมาะ
ด้วยเหตุนี้หลินเยว่จึงต้องเดินตามท่านเฮ่อฉางเหอและพรรคพวกไปรอบๆ พิพิธภัณฑ์ต่ออย่างจำใจ
พวกเขาทั้งสี่คนเดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จนครบภายในครึ่งวันเช้านอกจากความตกตะลึงแล้ว สิ่งที่หลินเยว่คิดวนเวียนยิ่งกว่าก็คือความคาดหวัง
เมื่อเดินออกจากประตูใหญ่ของพิพิธภัณฑ์หลินเยว่จึงถามพนักงานของทางพิพิธภัณฑ์ว่าตอนบ่ายพิพิธภัณฑ์ยังเปิดทำการหรือไม่ตอนแรกหลินเยว่คิดว่าอาจจะต้องใช้เส้นสายของท่านเฮ่อฉางเหอถึงจะสามารถกลับเข้ามายังพิพิธภัณฑ์ได้อีกครั้งแต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับบอกว่าพิพิธภัณฑ์เปิดทำการตามปกติซึ่งก็ทำให้หลินเยว่ดีใจเป็อย่างมาก
ระหว่างทางกลับโรงแรมท่านเฮ่อฉางเหอจึงถามอย่างสงสัย “คุณคิดจะกลับไปพิพิธภัณฑ์ในตอนบ่ายอีกหรือ?จะไปที่นั่นทำไมล่ะ? ก็ดูครบแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลินเยว่ตอบพร้อมรอยยิ้ม“ผมเห็นว่าตอนบ่ายไม่ได้มีโปรแกรมอะไรก็เลยคิดจะไปดูอีกครั้งแล้วก็ถือโอกาสทบทวนความรู้สักหน่อย เพราะกว่าจะมาได้สักครั้งมันก็ไม่ง่ายเลยครับ”
คำตอบของหลินเยว่ทำให้ท่านเฮ่อฉางเหอพอใจมากท่านตบบ่าหลินเยว่พร้อมยิ้มชมเชย
เมื่อท่านเจี่ยเหวยเกิ่งที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของหลินเยว่สายตาของท่านก็มีความประหลาดใจสะท้อนออกมาชั่วครู่ สุดท้ายจึงพูดยิ้มๆ “ตาแก่เฮ่อคุณมีลูกศิษย์ที่ดีจริงๆ ดีจนผมคิดอยากจะแย่งลูกศิษย์ของคุณมาเป็ลูกศิษย์คนสุดท้ายของผม”
เขาพูดประโยคนี้ออกมาโดยไม่ได้เลี่ยงจางฮุยิลูกศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรงของเขาเลยซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ท่านรู้สึกชื่นชมหลินเยว่มากขนาดไหน
“ฮ่าๆ หากคุณคิดจะรับเป็ลูกศิษย์ก็เชิญรับไว้ได้เลยไม่ต้องถามความคิดเห็นของผมหรอก” ท่านเฮ่อฉางเหอพูดพร้อมหัวเราะฮ่าๆ “แต่ว่า...ค่าเสียหายทางจิตใจนี้คุณต้องจ่ายให้ผมด้วยนะแล้วไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็ลูกศิษย์ของผมอยู่ ชื่อนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง”
“จะให้ผมสอนลูกศิษย์ของคุณอย่างนั้นหรือฝันไปเถอะ”
ท่านเจี่ยเหวยเกิ่งถลึงตาใส่ท่านเฮ่อฉางเหอจนทำให้ท่านเฮ่อต้องหัวเราะออกมาเสียงดังอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้