เสิ่นม่านเปิดโหมดป้องกันของระบบ ปิดบังร่องรอยการเคลื่อนไหวของตน ก่อนจะออกประตู นางคว้าก้อนอิฐหลังประตูไปด้วย ไม่ว่าจะเป็ยอดฝีมือจากไหน ข้าขอใช้ก้อนอิฐทดสอบฝีมือสักหน่อยเถิด
เสิ่นม่านเดินอย่างเงียบเชียบไปยังด้านหลังและอ้อมไปทางหลังคา
ดวงจันทร์กลมโตห้อยระย้าอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่ส่องแสงระยิบระยับ
เสิ่นม่านมอง้าหลังคาบ้าน เห็นเงาร่างของชายกำยำกำลังนั่งอยู่เงียบๆ
นางตกตะลึง ทันใดนั้นสมองก็ปรากฏภาพเด็กน้อยคนหนึ่งในเื่เล่าขนหัวลุก กระทั่งประโยคเด็ดสุดหลอนก็ดังขึ้นมาในหัว
‘เธอมาเข้าห้องน้ำสินะ?’
เสิ่นม่านกะพริบตาปริบๆ มองดูเงาด้านหลังของคนผู้นั้นอย่างละเอียด
อย่างไรก็ตาม เห็นเพียงเงาด้านหลังย่อมไม่สามารถรู้ข้อมูลอีกฝ่ายได้มากนัก แต่จากรูปร่างแล้ว แน่ใจได้ว่าคนผู้นั้นไม่ใช่หนิงโม่อย่างแน่นอน
นางส่ายศีรษะ ไม่ว่าจะเป็ใคร บุกเลยก็สิ้นเื่!
จากนั้นนางไม่เอ่ยวาจาใดและพุ่งเข้าไปด้วยพลังเต็มเปี่ยม เยี่ยนชีที่กำลังสะลึมสะลือเพราะความง่วง รู้สึกเพียงลมพัดวูบมาตรงหน้า ขณะจะลุกขึ้น กลับถูกก้อนอิฐทุบหัวเสียจนมึนงง
“โอ๊ย!”
ชายคนนั้นร้องอย่างอนาถและร่วงหล่นจากหลังคาราวกับพลุไฟ
อั่ก!
ทันทีที่เยี่ยนชีส่งเสียงร้องอย่างเ็ป ก็ได้ยินเสียงใสของสตรีดังขึ้นจากหลังคา
“เ้าโจร จะหนีไปไหน!”
เสี้ยววิถัดมา ูเาลูกใหญ่ก็ร่วงจากฟ้า เยี่ยนชียังไม่ทันเห็นผู้ที่โจมตีเขาชัดๆ ฉับพลันก็ถูกแรงมหาศาลที่ะโทับลงมาจนสลบเหมือด
การสู้ศึกใหญ่หนนี้สามารถปลุกคนทั้งบ้านให้ตื่นสำเร็จ เด็กๆ ชะเง้อศีรษะออกมาจากห้องปีกตะวันตก เห็นเพียงเสิ่นม่านกำลังนั่งทับอยู่บนตัวชายหนุ่มคนหนึ่ง ในมือยังถือก้อนอิฐที่หักครึ่งไว้ด้วย
นางหันหลังกลับมาและเผยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน “ไม่เป็ไรแล้ว ข้าจับโจรได้หนึ่งคน วันรุ่งขึ้นจะส่งไปให้ทางการ พวกเ้านอนต่อเถิด”
เด็กทั้งสามจ้องมองไปที่โจรหัวดำ จากนั้นมองดูเสิ่นม่านที่ไม่มีร่องรอยาเ็ ความเลื่อมใสที่มีต่อนางเลื่อนระดับขึ้นไปอีก
เสี่ยวหลานถอนหายใจ “ท่านอา ท่านเก่งกาจยิ่งนัก ท่านเก่งกว่าหลี่เทียนป้าในหมู่บ้านเราอีก! ต่อไปข้าก็จะเหมือนกับท่านให้ได้ ข้าจะเป็หญิงแกร่ง เช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกข้า!”
หลี่เทียนป้า เสิ่นม่านมีภาพจำเกี่ยวกับเขา เขามีกล้ามเนื้อแน่น กล่าวกันว่าสามารถสังหารวัวตายได้ในสามหมัด
เสิ่นม่านผู้ได้รับสมญานาม ‘หญิงแกร่ง’ ยิ้มเก้อเขินและโบกมือให้พวกเขา “รีบไปนอนเสีย บรรพบุรุษตัวน้อยทั้งหลาย”
ขอร้องเถอะ เส้นทางที่ข้าเดินคือตัวละครของเด็กสาวที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยวไม่กลัวความลำบากต่างหาก
เด็กๆ กลับขึ้นเตียงอย่างมีความสุข แล้วยังส่งเสียงกระซิบกระซาบคุยกันถึงหัวข้อเมื่อครู่
เสิ่นม่านลุกขึ้นจากตัวชายคนนั้น นางวัดลมหายใจที่จมูกและตรวจวิเคราะห์เล็กน้อย เขายังไม่ตาย ได้รับาเ็ภายนอกเพียงเล็กน้อย แม้จะถูกกระแทกที่ศีรษะหนักไปหน่อย แต่ส่วนอื่นไม่ได้เป็อะไร
ช่างเขาก่อน ในเมื่อยังไม่ตาย วันรุ่งขึ้นจะได้ส่งตัวไปให้ทางการ
นางปัดฝุ่นบนมือเตรียมตัวจะลากชายหนุ่มเข้าบ้าน ตั้งใจว่าจะจับเขามัดไว้กับเสาบ้าน ทันใดนั้นห้องปีกตะวันออกก็เปิดออก
หนิงโม่สวมชุดสีดําและยืนอยู่ที่ประตูด้วยใบหน้ามืดมน “ปล่อยเขา”
สะดุ้ง!
เสิ่นม่านใกับเสียงกะทันหันนี้ นางหันหลังกลับและกะพริบตาปริบๆ
“อะไรนะ?”
ยังมาอะไรนะอีก? ทุบคนของข้าจนสลบ แล้วยังทำไร้เดียงสาอีกหรือ? หนิงโม่เต็มไปด้วยความอัดอั้น จากนั้นคว้าตัวเยี่ยนชีมาจากมือนางและเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“นี่คือคนของข้า!”
“คน... ของเ้า?”
เสิ่นม่านมองไปยังใบหน้าที่จริงจังและเดือดดาลของหนิงโม่ จากนั้นกวาดตามองเยี่ยนชีที่สลบไสลพร้อมพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่าย นอกจากรูปร่างจะกำยำกว่าหนิงโม่แล้ว หน้าตาของเขา… ถือว่าใช้ได้ทีเดียว?
หนิงโม่เคยบอกว่าเขามีคนในดวงใจแล้ว?
เมื่อใดก็ตามที่เจอกับคลื่นลมของสาวน้อยใหญ่ในหมู่บ้าน เขาก็มักจะเฉยเมยไร้ความรู้สึก นอกจากนี้ทุกครั้งที่เสิ่นม่านแตะเนื้อต้องตัวเขา เขาก็มักจะเผยท่าทางขยะแขยงราวกับอยากจะขัดตัวสักหลายสิบรอบ
ดึกดื่นค่อนคืนแสงไฟมืดสลัว ชายหนุ่มที่ได้เพียงเฝ้ามองบนหลังคาแต่ไม่กล้าลงมาเจอ
ไม่แปลกใจเลย…
ในสมองปรากฏเื่ราวเป็ฉากๆ ที่เสิ่นม่านสามารถเอามาร้อยเรียงได้เป็นิยายหนึ่งเื่
นางปิดปาก ความรู้สึกผิดเผยออกมาจากแววตา
“ขอ ขอโทษ ข้า ข้า… ไม่ได้ตั้งใจเอาอิฐทุบเขานะ ข้าคิดว่าเขาเป็โจร… อา! ซอรี่! ข้าซอรี่จริงๆ!”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหนิงโม่สับสนมึนงง “...”
เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้? ตอนที่ทำร้ายคนเมื่อครู่ ไม่เห็นนางรู้สึกผิดแต่อย่างใด?
แล้วยังคำว่า ‘ซอรี่’ อะไรนี่อีก? นางกำลังพูดจาไร้สาระอะไรกัน!
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของหนิงโม่แย่ลงกว่าเดิม เสิ่นม่านรีบโยนก้อนอิฐหักครึ่งในมือทิ้งไป ยามนี้นางยืนจิกปลายเท้าอย่างเคร่งเครียด คาดว่าจิกไปอีกสักพักคงได้ห้องใต้ดินเพิ่มขึ้นมาห้องหนึ่ง!
ให้ตายสิ เจอกันครั้งแรกก็ทำร้ายคนรักของอีกฝ่ายเสียแล้ว นางช่างน่าอนาถจริงๆ! เสิ่นม่านแทบอยากจะใช้อิฐทุบศีรษะตนเองสักที นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“คือว่า หรือไม่เ้าพาคนของเ้ากลับเข้าห้องก่อนดีกว่า เมื่อครู่ข้าตรวจดูแล้ว เขาเพียงสลบไปชั่วขณะ หากว่าเ้ายังไม่วางใจ วันรุ่งขึ้นข้าจะไปเชิญท่านหมอที่ตำบลมาดูอาการเขา”
หนิงโม่เม้มริมฝีปาก มองดูเืที่เปื้อนเต็มศีรษะของเยี่ยนชี ถึงกับย่นคิ้วเข้าหากัน “แน่ใจหรือว่าเขาแค่หมดสติ”
เสิ่นม่าน “หืม?” นี่คือการเอาใจใส่คนรักสินะ!
นางชูนิ้วทั้งสามขึ้นและเอ่ยคำสาบาน
“จริงแท้แน่นอน! ข้ารับประกันกับเ้าได้เลยว่า เขาแค่มีเืออกที่ศีรษะเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปเชิญท่านหมอในหมู่บ้านมาเดี๋ยวนี้เลย ดีหรือไม่?”
กลางดึกเช่นนี้ หากให้ชาวบ้านรู้ว่าบ้านเสิ่นม่านมีชายหนุ่มแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกหนึ่งคน ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่เหลือแน่
ผู้หญิงคนนี้สมองคิดอะไรอยู่? ไม่รู้จักรักษาชื่อเสียงของตนเองเสียบ้างเลย
เขายังคงทำหน้าเ็าและเอ่ย “ไม่จําเป็ มีอะไรค่อยว่ากันวันรุ่งขึ้น เ้าพักผ่อนเถิด”
หลังจากนั้นเขาก็พาเยี่ยนชีเข้าห้องเขาไป ทิ้งเสิ่นม่านไว้ในลานบ้านเพียงลำพัง นางจับจ้องประตูห้องปีกตะวันออก พร้อมกับพยักหน้าอย่างพินิจ
อุ้มท่าเ้าหญิงเสียด้วย
เฮ้อ ไม่แปลก หนิงโม่รูปงามถึงเพียงนี้ นางน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ผู้ชายที่รูปงามขนาดนี้ เขาจะชอบผู้หญิงได้อย่างไรกัน!
นี่เท่ากับไม่เหลือทางรอดให้แก่ผู้หญิงเลยนี่นา! เสิ่นม่านถอนหายใจและกลับห้องอย่างห่อเหี่ยว
หลังจากคืนแห่งความวุ่นวายผ่านไป ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสิ่นม่านก็บังคับเกวียนเข้าตำบลเพื่อเชิญหมอมา ท่านหมอตรวจอาการให้เยี่ยนชีและบอกว่าไม่น่าเป็ห่วง แค่มีแผลภายนอกเล็กน้อยกับมีไข้หวัดจากการตากลมหนาว จากนั้นออกใบสั่งยาและจากไป
จวบจนใกล้เที่ยง เยี่ยนชีตื่นขึ้นบนเตียงของหนิงโม่อย่างสะลึมสะลือ เขาชำเลืองเห็นเ้านายที่นั่งอยู่ด้านข้าง จากนั้นรีบลุกพรวดขึ้น
“ขออภัยเ้านาย ข้าทำงานสะเพร่า ขอเ้านายโปรดลงโทษ!”
หนิงโม่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงหรี่ตามองอีกฝ่ายอยู่นาน ก่อนจะเอ่ย “เ้าผิดตรงไหน?”
หืม? เยี่ยนชีััผ้าที่พันรอบศีรษะ ก่อนจะหยั่งเชิงถาม “ข้า... ไม่ควรมาเฝ้าท่านบนหลังคากลางดึก?”
ไม่ทันสิ้นเสียง สายตาของหนิงโม่ก็แข็งกร้าว
เยี่ยนชีสะดุ้งจนต้องกลืนน้ำลายและรีบเอ่ย “ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าผิดตรงไหน ขอเ้านายได้โปรดชี้แนะ!”
เ้านี่ ไม่เจอกันหนึ่งเดือนเศษ สมองก็ยังทำงานไม่ดีเหมือนเคย หนิงโม่อดกลั้นความโกรธไว้พลางกัดฟันกรอด
“ในฐานะหนึ่งในยอดองครักษ์แห่งเมืองหลวง กลับถูกสาวชาวบ้านคนหนึ่งใช้อิฐทุบจนหมดสติ เ้าไม่รู้สึกว่าน่าขายหน้าเลยหรือ?”
-----
