เมื่อสี่ปีก่อน
อวี้ฉู่จาวเกือบถูกฆ่าตายในสนามรบ ซึ่งเป็ครั้งที่ได้ออกปราบพวกคนเถื่อนทางตะวันออกเฉียงเหนือ
เนื่องจากในกองทัพมีไส้ศึก
ขณะที่อวี้ฉู่จาวนำทัพเข้าซุ่มโจมตีจึงโชคไม่ดี ถูกลูกศรยิงเข้าที่ไหล่ซ้ายใกล้กับตำแหน่งหัวใจ
กระทั่งรอจนแพทย์สนามนำลูกศรออกถึงได้พบว่าบนหัวลูกศรนั้นอาบยาพิษ
ในตอนนั้นมีเพียงซูชิงเฟิงเท่านั้นที่รักษาอาการต้องพิษของท่านอ๋องได้ ทว่า เขาถูกพระราชกฤษฎีกาของฮ่องเต้ฉงเต๋อเรียกตัวกลับไปยังเมืองหลวงเสียก่อน!
เหิงหวังผู้เป็แม่ทัพใหญ่ในเวลานั้นจึงทำได้เพียงรีบให้คนส่งตัวอวี้ฉู่จาวกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
ซูชิงเฟิงที่อยู่เมืองหลวง เมื่อได้ยินข่าวพลันรีบไปพบอวี้ฉู่จาวระหว่างทาง
สุดท้าย ภายหลังทั้งสองฝั่งได้พบกันกลางทางก็สามารถช่วยชีวิตของอวี้ฉู่จาวไว้ได้ทัน
อย่างไรก็ตาม ซูชิงเฟิงที่ต้องกลับไปยังเมืองหลวงตอนนั้นมารู้ทีหลังว่า คนที่มีอาการประชวรนั้นไม่ใช่ฮ่องเต้ฉงเต๋อ หากแต่เป็พระสนมลี่ที่เป็สนมคนโปรด
ั้แ่นั้นเป็ต้นมา ซูชิงเฟิงปฏิเสธที่จะรับของกำนัลที่มอบให้เป็รางวัล แล้วตัดสินใจว่าจะเป็คนที่ไม่ต้องรับใช้ใคร ไม่ต้องมีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น
แต่เื่ราวที่น่าใเช่นนี้ หลานจื่อกลับพยายามจะทำให้มันเป็เื่ที่แสนเรียบง่ายไม่ตึงเครียด แต่พอหลินหร่านได้ยินแล้วกลับรู้สึกใและหวาดกลัวเป็อย่างหนัก
สีหน้าของหลินหร่านยังคงแสดงออกถึงความตกตะลึง ไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว
ท่านอ๋องของเขาผ่านพ้น่เวลาของชีวิตมาไม่ง่ายเอาเสียเลย
่เวลานี้ หลินหร่านจึงได้ตัดสินใจว่า เขาต้องตั้งใจศึกษาด้านการแพทย์ ภายภาคหน้าจะได้คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องท่านอ๋องด้วยตัวเขาเอง
.........
หลังจากอวี้ฉู่จาวออกมาจากศาลาไม้ไผ่ก็ได้กลับมาที่ตำหนัก เวลานั้นเลยเวลามื้อเที่ยงมาแล้ว
ลุงตงให้คนนำหัวเนี่ย อาชาของอวี้ฉู่จาวไปเข้าคอกก่อนเดินตามหลังท่านอ๋องไป
“อวิ๋นซีล่ะ” อวี้ฉู่จาวถาม
“พระชายาอยู่ในห้องตำราพ่ะย่ะค่ะ”
“นอนพักตอนกลางวันหรือยัง”
“พักผ่อนไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ พระชายาตรัสว่าไม่ค่อยง่วงเท่าไร”
ภายหลังอวี้ฉู่จาวออกจากตำหนัก พระชายาก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องตำรา มื้อเที่ยงก็เสวยในห้องนั้น
ลุงตงจำที่อวี้ฉู่จาวกำชับได้ดีว่าให้พระชายานอนพักผ่อนตอนกลางวันด้วย หลังมื้อเที่ยงจึงได้พยายามโน้มน้าวอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ในตอนแรกแม้หลินหร่านจะรับปาก แต่เมื่อถึงเวลาก็ยังไม่ยอมนอน
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ลุงตงต้องหยิบยกอวี้ฉู่จาวออกมาอ้างถึงได้ยอมกลับไปพักผ่อนที่ห้อง แต่เวลาผ่านไปไม่นาน หลินหร่านก็ลุกขึ้นมาพร้อมเอ่ยว่าตนเองยังไม่ง่วงจึงนอนไม่หลับ ลุงตงจึงไม่ได้บังคับอะไรอีก
“ไม่ง่วง?” เมื่อได้ยิน อวี้ฉู่จาวรีบตรงไปหาหลินหร่านที่ห้องตำราโดยพลัน
หลินหร่านนั่งอยู่บนพื้น บนขาวางตำราเอาไว้หนึ่งเล่ม ในมือก็กำลังเปิดตำราอีกหนึ่งเล่มอ่านอยู่
ติงหร่วนนั่งอยู่ใกล้ๆ ในมือถือตำรายาพร้อมเปิดอ่านอย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มสองคนกำลังขมวดคิ้วด้วยท่าทีครุ่นคิด ฝ่ามือข้างหนึ่งถือพู่กัน กำลังจดอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษ
พอหลินหร่านได้ยินเื่ราวเมื่อสี่ปีก่อนของอวี้ฉู่จาวทำให้เขาเริ่มที่จะ ‘ตัดสินใจและมุ่งมั่นเพื่อความก้าวหน้า’ มากขึ้น
ภายใต้อารมณ์และความรู้สึกมากมายของเขา ติงหร่วนทนดูคุณชายน้อยมีท่าทีลำบากใจไม่ได้ ตนเองจึงตั้งใจว่าต้องเรียนรู้อะไรบ้างสักหน่อย เป็ผู้ช่วยในอนาคตของหลินหร่านและได้ช่วยปกป้องท่านอ๋องคงเป็เื่ดี
หลินหร่านกับติงหร่วนที่อายุน้อยกว่าชายาตัวน้อยถึงสองปีนั่งเป็ระเบียบอยู่ด้วยกัน แต่ละคนต่างเปิดตำราที่เล่มใหญ่กว่าใบหน้าของตนเองดู อีกทั้งยังมีตำรา พู่กัน และหมึกวางกระจายอยู่โดยรอบ
นี่คือสิ่งที่อวี้ฉู่จาวเห็นเมื่อมาถึงห้องตำรา
ทั้งคู่อ่านตำราด้วยความตั้งใจ ไม่ได้สนใจอวี้ฉู่จาวที่เดินเข้ามาเลย
“อวิ๋นซี” อวี้ฉู่จาวเอ่ยเรียก
เมื่อได้ยินเสียง หลินหร่านก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที “...ท่านอ๋อง!”
หลินหร่านรีบวางหนังสือลง แล้วลุกขึ้นเดินมาอยู่ตรงหน้าอวี้ฉู่จาว
ติงหร่วนก็รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพก่อนถอยออกไป
หลินหร่านเดินเข้าไปกอดอวี้ฉู่จาวก่อนกล่าวขึ้น “ท่านอ๋องจัดการธุระเสร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ได้เสวยอะไรหรือยัง”
“จัดการเรียบร้อย ข้ากินมาแล้ว แต่ว่าทำไมเ้าถึงไม่นอนกลางวันดีๆ เล่า” อวี้ฉู่จาวเอ่ยถาม
“ข้า…” หลินหร่านรู้สึกผิด เพราะตนเองรับปากกับท่านอ๋องแล้วว่าจะนอนพักผ่อนยามถึงเวลากลางวัน
หลินหร่านรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยใบหน้าที่แดงขึ้น “ข้าไม่ง่วง…ไม่มีท่านอ๋องคอยกล่อม...ข้านอนไม่หลับ”
เพราะกลัวว่าท่านอ๋องอาจทำโทษ หลินหร่านจึงได้หาเหตุผลดีๆ อย่างไรตอนนี้ติงหร่วนก็ออกไปจากห้องแล้ว ในห้องจึงมีเพียงเขาสองคนเท่านั้น
ถ้อยคำอันนุ่มนวลของหลินหร่านทำให้อวี้ฉู่จาวรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ สายตาของเขาเปลี่ยนไป เริ่มเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“เมื่อก่อน ทุกครั้งข้าไม่ได้กล่อมเ้านอนมิใช่หรือ แล้วเหตุใดวันนี้ถึงนอนไม่หลับ”
อวี้ฉู่จาวโอบเอวของหลินหร่านแล้วพาเดินเข้าไปด้านใน มองดูบนพื้นที่เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็ตำราเกี่ยวกับการแพทย์ และข้างๆ ตำราเ่าั้ก็เต็มไปด้วยกระดาษที่จดอะไรเอาไว้มากมาย บนนั้นเขียนตัวอักษรคดเคี้ยวไปมาเต็มไปหมด
“เพราะว่า...เพราะว่าวันนี้...ข้าคิดถึงท่านอ๋องมากเลยพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังพูดอะไรอยู่
นี่คงเป็ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาเอ่ยกับอวี้ฉู่จาวอย่างเผลอไผล พูดได้เรื่อยเปื่อยอย่างที่สุด
อวี้ฉู่จาวฟังแล้วก็รู้เลยว่าคำพูดเ่าั้คงเป็เพียงข้ออ้างเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก
อวี้ฉู่จาวก้มตัวลงหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรมากมายขึ้นมาดูก่อนถาม “อวิ๋นซีเขียนหนังสือได้ด้วยหรือ?”
ในสายตาของอวี้ฉู่จาว หลินหร่านที่ถูกขับไล่ออกจากจวนแม่ทัพั้แ่อายุสิบขวบน่าจะอ่านหนังสือไม่ออก ไม่ต้องไปกล่าวถึงเื่เขียนหนังสือเลย
ทว่า บนกระดาษใบนี้กลับเต็มไปด้วยชื่อของพืชสมุนไพรหายากที่หลินหร่านเป็คนเขียนกับมือ
“...ข้าเขียนได้พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวนำกระดาษเ่าั้ขึ้นมาดูอย่างละเอียด หลินหร่านก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกประหม่า
สุดท้ายอวี้ฉู่จาวจึงเอ่ยออกมา “แต่ว่า...ตัวอักษรเหล่านี้ของอวิ๋นซีไม่งดงามเท่าภาพวาดเท่าไรนะ”
ตัวอักษรของอวิ๋นซีเหมือนอะไรน่ะหรือ คงเหมือนแมงมุมกระมัง
อวี้ฉู่จาวไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น แต่หลินหร่านก็พอจะรู้ว่าท่านอ๋องคงคิดว่าเขาลายมือไม่สวยเป็แน่
ความกังวลใจเมื่อครู่ของเขาพลันหายไปทันที เขาขยับตัวไปด้านหน้าพลางมองตัวอักษรของตนเองด้วยความตั้งใจ
เขาคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่สักหน่อย แม้จะเขียนตัวใหญ่ไปหน่อย บูดเบี้ยวไปบ้าง แต่ก็เขียนออกมาได้สัดส่วนดี
“ก็….ก็ดีอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านมองตัวอักษรของตนเองก่อนบอกความรู้สึกในใจออกมา
เขาเป็คนในยุคปัจจุบันที่ไม่ได้ชำนาญด้านการเขียนพู่กัน หลังจากใช้ชีวิตดิ้นรนอยู่ที่นี่นานถึงเจ็ดปี ทว่าตนเองก็ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อพู่กันกับกระดาษมาฝึกฝนเขียน
อวี้ฉู่จาวหันมามองเขาพลางยกยิ้มมุมปากอย่างห้ามไม่ได้ “อืมๆ เ้าเขียนได้ดี แค่อวิ๋นซีชอบก็พอ”
สุดท้ายอวี้ฉู่จาวก็ยืนยันกับหลินหร่าน ทำให้หลินหร่านคิดว่าท่านอ๋องกำลังเยาะเย้ยตนเอง เขาจึงได้มุ่ยปากก่อนแย่งกระดาษมาจากมืออีกคน
เมื่อแย่งกลับมาแล้วก็ไม่ลืมที่จะพับเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง
อวี้ฉู่จาวรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก เขามองหลินหร่านที่กำลังเก็บกระดาษที่ตัวเองกับติงหร่วนเขียนทั้งหมด
อวิ๋นซีโกรธที่เขาบอกว่าตัวอักษรของตนเองไม่สวยอย่างนั้นหรือ?
แม้หลินหร่านจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่อวี้ฉู่จาวก็รู้ชัด
เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทีเช่นนั้น แน่นอนว่าหลินหร่านคงไม่อยากโกรธเขา แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ค่อยดี จึงได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา
หลังจากเห็นท่าทีของหลินหร่านที่เป็อย่างนี้ ทำให้อวี้ฉู่จาวรู้สึกชอบอกชอบใจ
รอจนหลินหร่านไปเก็บของอยู่ข้างๆ โต๊ะอ่านตำรา อวี้ฉู่จาวจึงเดินไปด้านหลังแล้วโอบเอวของหลินหร่านไว้ “วันนี้ เหตุใดเ้าถึงไม่ยอมนอนกลางวัน เ้าสัญญากับข้าแล้วไม่ใช่หรือ?”
อวี้ฉู่จาวไม่สนที่หลินหร่านกำลังโกรธ แต่ย้อนกลับไปยังคำถามก่อนหน้านี้
ผลสุดท้าย หลินหร่านพลันกลับมารู้สึกผิดอีกในทันที
“พูดมาเถิด เป็เพราะเหตุใด” อวี้ฉู่จาวจับอีกคนให้หันหน้ามาหาตนเอง
“เพราะว่า...ข้าอยากรีบศึกษาด้านการแพทย์โดยเร็ว จะได้ออกรบร่วมกับท่านอ๋อง ช่วยชีวิตท่านอ๋องได้”
หลินหร่านไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่คำพูดเหล่านี้หากพูดออกไปคงทำให้ท่านอ๋องลำบากใจมากกว่า
ความรู้สึกที่เขามีให้ท่านอ๋องเป็เช่นไร เื่นั้นคงไม่ต้องเอ่ยถึง แต่หากเขาแสดงความรู้สึกออกไปมากมายเช่นนี้ อาจทำให้ท่านอ๋องรู้สึกว่าเขาเป็คนใจง่าย แล้วก็อาจย้อนกลับมาดูถูกเขา
----------------------------------------------------
