วันนี้ผิงอันขี่ม้าเดินทางอยู่ข้างหน้าตามปกติ
เขาฝึกอยู่หลายวัน ฝีมือการขี่ม้าพัฒนาขึ้นได้ไวอย่างน่าทึ่ง ขณะนี้สามารถควบคุมม้ากับความเร็วได้ดีมากแล้ว
หลัวจิ่งก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เพราะเข้าสู่ฤดูหนาว รถม้าและคนที่สัญจรบนถนนทางการจะเห็นได้ชัดว่าลดลงไปมากนัก ขอแค่ผิงอันไม่ห่างออกไปไกลเกิน ย่อมไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
เจินจูก็คร้านที่จะสนใจแล้วเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมีคนคอยจับจ้องดูแลอยู่ เหตุใดนางจะต้องกังวลใจตามไปอีกด้วยล่ะ
ผิงอันรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ขี่ม้าได้อย่างสบายอกสบายใจยิ่ง ในทันใดนั้นก็พบว่าข้างถนนทางการมีตรอกเล็กอยู่แห่งหนึ่ง เขาเร่งตรงเข้าไปทันที ตั้งใจจะพุ่งเข้าไปสำรวจสักรอบและจะออกมาด้วยความรวดเร็ว
ม้าใต้สะโพกของเขาเป็ม้าสี่ขาคล่องแคล่วแข็งแรงของหลัวสือซาน ทั้งรวดเร็วและว่องไว เวลาไม่กี่ลมหายใจก็พุ่งไปถึงทางเลี้ยวของตรอกเล็ก
เมื่อเห็นว่าตรงทางที่จะเลี้ยวโค้งเข้าไปเป็ป่าหนึ่งผืน ผิงอันจึงดึงบังเหียนม้าไว้และกำลังคิดจะหมุนกลับ
ทันใดนั้น ในป่าก็มีเสียงกระทบกันของมีดดาบแว่วออกมา
ผิงอันมองหาไปตามที่มาของเสียง เห็นชายร่างกำยำผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดผู้คุ้มกันบนกายมีเืท่วม ได้ประคองคุณชายที่อยู่ในชุดผ้าไหมรูปร่างผอมแห้งผู้หนึ่งไว้ พวกเขาก้าวซวนเซออกมาจากป่า
เื้ัของพวกเขา เป็ชายชราผู้แข็งแกร่งมีหนวดเคราสีดอกเลาผู้หนึ่ง กุมดาบใหญ่ชูขึ้นมา กำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนชุดดำมากกว่าสิบคนที่ปิดบังใบหน้าไว้
ชายชราทั้งต่อสู้ทั้งถอย ยกดาบใหญ่ขึ้นมาอย่างเสือเกิดลมแรง [1] แต่คู่ต่อสู้มีมากมายและทรงพลัง เขารับมือได้ไม่ทั่วถึง อีกทั้งบนร่างกายยังได้รับาเ็หลายจุด เห็นเพียงเขาหอบหายใจหนักหน่วง กำลังกายเริ่มหยัดยืนไว้ไม่อยู่ลงเรื่อยๆ
ชายร่างกำยำผู้นั้นทะลวงออกมาจากป่าก็พบเข้ากับเด็กชายอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีผู้หนึ่ง ขี่ม้าพันธุ์ดีมองพวกเขาอย่างมึนงง เขาดีใจเป็อย่างยิ่งรีบพยุงคุณชายในชุดผ้าไหมที่มีสีหน้าขาวซีดมุ่งหน้าเข้ามาหาโดยทันที
“น้องชาย คุณชายพวกข้าเป็คุณชายซื่อจื่อของครอบครัวเจิ้นกั๋วกง [2] ประสบกับผู้ร้ายจู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหัน หากท่านยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ จวนเจิ้นกั๋วกงจะตอบแทนให้อย่างงามแน่นอน”
กล่าวจบเขาก็ไม่รอให้ผิงอันได้ตอบกลับ รีบประคองคุณชายที่สวมชุดผ้าไหมส่งขึ้นบนม้า
“…ฮะ?” ผิงอันตกตะลึงทันที นี่ต้องทำอย่างไรดีล่ะนี่
คนชุดดำเหล่านี้ช่างคล้ายกับคนชุดดำที่จู่โจมบ้านของพวกเขาในคืนนั้นยิ่งนัก ลงมืออย่างโเี้ แต่ละดาบล้วน้าเอาชีวิต ต่อให้ชายชราผู้นั้นมีฝีมือดี แต่คงต้านการต่อสู้ที่ต้องใช้ชีวิตเข้าแลกกับคนโเี้เ่าั้ไม่ไหว ดูจากลักษณะคล้ายว่าจะพ่ายแพ้อยู่เต็มทนในไม่ช้านี้ คาดว่าน่าจะต้านไว้ได้อีกไม่นานแล้ว
คุณชายในชุดผ้าไหมฝืนขึ้นมาบนหลังม้าอย่างเสียมิได้ ชายร่างกำยำตบสะโพกม้าหนึ่งครั้ง ม้าจึงวิ่งไปข้างหน้าทันที
ชายร่างกำยำเห็นดังนั้น ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่ เขาหมุนกายกลับไป ชักดาบเข้าเผชิญหน้ากลับคนชุดดำที่ไล่ตามเข้ามา พร้อมฟาดฟันอย่างหนักหน่วง เคลื่อนไหวด้วยความดุเดือด ไม่สนใจสภาพอาการาเ็ทั่วทั้งร่าง ก้าวไปด้านหน้าอย่างมั่นคงห้าวหาญราวกับไม่เสียดายชีวิต
ผิงอันควบม้าไปด้วยความรวดเร็ว คุณชายในชุดผ้าไหมจับเอวของเขาอยู่ด้านหลัง ศีรษะชนอยู่ที่ไหล่ของผิงอัน ลมหายใจหอบหนัก ท่าทางเ็ปอย่างมาก
เมื่อพวกเขาออกจากตรอกเล็กก็พบเข้ากับหลัวจิ่งที่รอเขาอยู่บนถนนแล้ว
ครั้นได้เห็นว่าด้านหลังผิงอันมีใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา สีหน้าเขาจึงแปรเปลี่ยน ตบม้าเข้าไปด้านหน้าทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ในป่ามีคนชุดดำสิบกว่าคนล้อมโจมตีพวกเขาอยู่ และมีผู้คุ้มกันผู้หนึ่งกล่าวว่า นี่เป็ซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกง ให้ข้าช่วยเขาที พวกเขายังต่อสู้อยู่ด้านหลังกับคนชุดดำสิบกว่าคนอยู่เลย พี่ชายยู่เซิง พวกเราต้องช่วยเขาหรือไม่?”
ผิงอันถามอย่างร้อนรน
ซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกง? เซียวจวิ้น? หลัวจิ่งเอียงหน้ามอง เป็เ้าหมอนั่นที่อ่อนแอและผอมแห้งจริงด้วย ดูท่าทางคล้ายเป็ลมไปแล้วอีกต่างหาก
ในเมื่อเป็เขา เช่นนั้นก็ควรช่วยคนสักหน่อยแล้ว เขาขมวดคิ้วขึ้นและหมุนตัวกลับไปเรียกหลัวสือซาน
“ผิงอัน เ้าพาเขาไปก่อน ข้าจะไปช่วยทางนั้น”
ขณะกล่าวเขากับหลัวสือซานก็นำทางผู้คุ้มกันสิบคน เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กด้วยความรวดเร็ว
ผิงอันพยุงซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงที่หมดสติไปแล้วลงจากหลังม้า โดยมีหลิวอี้คอยช่วยเหลือ
เจินจูตาดีหูไว จึงได้ยินบทสนทนาของเขาแล้ว นางเปิดประตูเกวียนและลงจากรถม้า
บนเกวียนรถม้าอีกหนึ่งเกวียนด้านหลัง บรรทุกสิ่งของกระจุกกระจิกสำหรับเดินทางไว้เต็ม ทั้งยังไม่สามารถย้ายออกได้ในชั่วขณะด้วย หมดหนทางให้เลือกยิ่งนัก เจินจูจึงทำได้เพียงเสียสละรถม้าของตัวเอง และพยุงเ้าหนุ่มน้อยขึ้นไปนอน
โธ่เอ๋ย ดูหมอนอันล้ำค่าของตนสิ รองอยู่ใต้ศีรษะของชายแปลกหน้าผู้หนึ่งเสียนี่ ช่วยไม่ได้นี่นะ ตอนเย็นต้องซักปลอกหมอนสักหน่อยแล้ว
นางสังเกตชายหนุ่มที่ไม่ได้สติอย่างละเอียด ผิวขาวบริสุทธิ์ โครงหน้าผอมซูบ เครื่องหน้าบนใบหน้าก็ไม่เลว แต่ใต้ตาเป็สีคล้ำเล็กน้อย รวมกับร่างกายอ่อนแอ พอมองดูก็รู้ได้เลยว่าเป็คุณชายที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง
“ผิงอัน คนที่จู่โจมพวกเขามีมากไหม?” นางกลัวว่าหลัวจิ่งจะพากำลังคนไปไม่เพียงพอ
“เหมือนว่าจะสิบสองคนหรือสิบสามคนกันนะ?” ผิงอันก็อยากไปช่วยด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายนัก เขารู้ว่าผู้เป็พี่สาวคงไม่ยอมอย่างแน่นอน
“เยอะเพียงนั้นเลย?” เจินจูขมวดคิ้วขึ้น “คนขับรถหลิว ท่านพาคนไปช่วยอีกห้าคนเถอะ ระมัดระวังตัวหน่อยนะ”
หลิวอี้รับคำและจากไป เขาไม่ใช่ผู้คุ้มกันแต่ก็ค่อนข้างมีฝีมืออยู่บ้าง หากให้ต่อสู้กับชายร่างใหญ่สามคนห้าคน ล้วนไม่เป็ปัญหาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้หลิวผิงจึงส่งเขามาขับรถม้าให้กับสกุลหู
หลิวอี้เป็ญาติในตระกูลเดียวกันกับหลิวผิง ได้รับการกำชับมาั้แ่แรกแล้ว ว่า ทั้งหมดของการเดินทางล้วนต้องฟังคำสั่งของสองพี่น้องสกุลหู
ผู้คุ้มกันอีกห้าคนที่เหลือ เข้ามาปกป้องข้างรถม้าโดยทันที ขณะนี้เป็เวลาเช้าตรู่ พวกเขาเพิ่งออกมาจากเมืองซีซานได้ครึ่งชั่วยาม บนถนนมีเกวียนผ่านไปมา ทั้งยังมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้านรอบข้าง ต่างพากันหาบสินค้ามุ่งหน้าเข้าเมือง
เจินจูกับผิงอันรออยู่หนึ่งเค่อกว่าๆ ในขณะที่พวกเขากำลังเฝ้าสังเกตสถานการณ์ด้วยความร้อนใจ หลัวจิ่งก็ได้ประคองชายชราคนหนึ่งที่เืท่วมตัวออกมาจากตรอกเล็ก ด้านหลังยังมีผู้คุ้มกันอีกหนึ่งคนแบกชายร่างกำยำท่าทางร่อแร่ปางตายไว้อยู่อีกคนด้วย
พอเจินจูได้เห็นก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งที ชายร่างกำยำที่ร่อแร่ปางตายผู้นั้นถูกชโลมไปด้วยเืเหนียวข้นทั่วทั้งกาย ไม่รู้ว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
นางหาถุงน้ำหนังแกะออกมาจากในเกวียนอย่างเร่งรีบ ตอนเช้าได้กรอกน้ำร้อนไว้ดีแล้ว นางสอดไว้ในผ้านวมเพื่อรักษาความอบอุ่นอยู่ตลอด
หยิบแก้วสะอาดออกมาสองใบ เทน้ำใส่แก้วด้วยความปราดเปรียว แน่นอนว่านางผสมน้ำแร่จิติญญาลงไปด้านในด้วยครึ่งหนึ่ง
เจินจูยื่นน้ำไปให้ผิงอัน ให้เขาส่งไปให้พวกเขา ส่วนนางให้ผู้คุ้มกันจัดระเบียบสิ่งของจุกจิกบนรถม้าด้านหลังเล็กน้อย เพื่อเว้นที่ว่างให้หนึ่งคนนอนลงไปได้ ชายร่างกำยำผู้นั้นาเ็หนักอย่างยิ่ง ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถช่วยยื้อชีวิตไว้ได้หรือไม่
เมื่อชายชราเห็นคุณชายนอนอยู่ภายในเกวียนรถ เส้นประสาทที่ตึงเครียดเขม็งในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ผิงอันยกแก้วน้ำร้อนไปให้เขา ชายชราเห็นดังนั้นจึงรับมา และหันไปผงกศีรษะให้เขาด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขาพาคุณชายหลบหนีมาทั้งคืน หิวกระหายยากเกินกว่าจะทนไหว อีกทั้งทั่วทั้งกายก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหลือจะทนอยู่นานแล้ว
ชายชราดื่มลงไปในรวดเดียว อาจเป็เพราะภายในช่องปากมีเืปะปนอยู่ น้ำอุ่นที่ดื่มลงไปถึงได้มีรสชาติหวานออกมา เขาผ่อนลมหายใจ
ชายร่างกำยำที่ราวกับเป็ก้อนเืเดินได้ ไร้สติสัมปชัญญะไปแล้ว ผู้คุ้มกันวางเขาลงบนพื้นไว้เป็การชั่วคราว เืบนกายของเขาเปื้อนตัวผู้คุ้มกันแดงฉานไปกว่าครึ่ง
ผิงอันง้างปากของเขาให้เผยอออก กรอกน้ำลงไปด้วยความระมัดระวัง พบว่าเขาดื่มมันลงไปได้อย่างคาดไม่ถึง ในใจรู้สึกยินดีขึ้นฉับพลัน แล้วจึงกรอกน้ำอุ่นหนึ่งแก้วเข้าไปช้าๆ
สีหน้าหลัวจิ่งมืดครึ้ม คนชุดดำที่ไล่ฆ่าพวกเขาเ่าั้ คล้ายคลึงกันกับคนชุดดำที่จู่โจมพวกเขาในคืนนั้นอย่างมาก เหตุใดองค์ไท่จื่อจึงกล้าหันมาลงมือกับเซียวจวิ้นกันนะ เจิ้นกั๋วกงเซียวฉิงควบคุมอยู่หลังกองทัพตูตูฝู [3] กุมความสำคัญของการป้องกันเมืองหลวงอยู่ในมือ ไม่ใช่ผู้ที่จะรังควานได้โดยง่าย บุตรชายแสนล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวของเขา กลับถูกไล่ตามสังหารจนชีวิตเกือบจะหามีไม่เสียนี่
สามารถจินตนาการออกได้เลยว่าหากเซียวฉิงทราบเื่นี้เข้า จะต้องเดือดดาลขึ้นมากเลยทีเดียว
หลัวจิ่งรู้จักกับเซียวจวิ้น แม้ไม่นับได้ว่าสนิทสนมกัน แต่เห็นหน้าย่อมจำได้แน่นอน
จุดยืนของเจิ้นกั๋วกงเซียวฉิงชัดเจนมาโดยตลอด เขาถวายความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เท่านั้น หากไม่ใช่ว่าเขามั่นคงเช่นนี้มาั้แ่ต้นจนถึงสุดท้าย องค์ไท่จื่อคงลงมือก่อฏไปแล้ว เพราะคนอย่างองค์ไท่จื่อมีหรือจะยอมถูกคนใกล้ตายอยู่รอมร่อผู้หนึ่งควบคุมมาได้หลายปีเช่นนี้
หลัวจิ่งเลื่อมใสเซียวฉิงเป็อย่างมาก ฮ่องเต้ประชวรมานานนับหลายปี แต่จุดยืนของเขากลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย หากไม่ใช่ฉีกุ้ยเฟยอาศัยจุดยืนที่แน่วแน่ของเจิ้นกั๋วกง นางคงค้ำจุนอยู่ต่อไปไม่ไหวแน่
เซียวจวิ้นหลับใหลไปหนึ่งตื่น...
มีความรู้สึกสบายใจราวกับย้อนกลับสู่่เวลาที่อยู่ในผ้าอ้อม เงียบสงบ ผ่อนคลาย นุ่มนวล
กลิ่นอายหอมกรุ่นหนึ่งสายวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูกของเขาตลอดเวลา พอสูดดมกลิ่นหอมสายนี้เข้าไป ทำให้อาการปวดศีรษะที่มีมานานของเขาบรรเทาลง เมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้น รู้สึกเพียงว่าสติและสายตาต่างก็ชัดแจ้ง
ความรู้สึกเช่นนี้นานแล้วที่ไม่เคยได้ัั
เขางงงวยเป็อย่างยิ่ง
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือหลังคาเกวียนที่สั่นไหว เขานอนอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง และรถม้ากำลังเดินทางไปข้างหน้า บนกายคลุมด้วยผ้านวมอบอุ่น กลิ่นอายหอมอบอวลผ่อนคลายกำลังโอบล้อมเขาอยู่
ความรู้สึกปวดศีรษะที่มีมาตลอดทั้งปีของเขา ได้บรรเทาลงไปไม่น้อยอย่างไม่คาดคิด
เซียวจวิ้นยกศีรษะขึ้นมองไปยังด้านหน้าของเกวียน
หญิงสาวอายุสิบสี่ถึงสิบห้าปี ผิวพรรณขาวนวลดุจหยก หน้าตาราวภาพวาด สวมเสื้อกันหนาวสองชั้นสีแดง หลุบเปลือกตาลง กำลังปักกระเป๋าใบเล็กบนมือด้วยจิตใจจดจ่อ
เซียวจวิ้นมองอย่างมึนงง เขาจำได้ว่าผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เป็เด็กชายอายุประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองปีนี่
“เอ๋ ท่านฟื้นแล้ว ยอดเยี่ยมนัก ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเลยนะ ในที่สุดก็ฟื้นเสียที” หญิงสาวหันหน้ามา บนใบหน้างดงามละเอียดอ่อนประดับไว้ด้วยความแปลกใจระคนยินดีเล็กน้อย
“คนขับรถหลิว หยุดรถหน่อย แล้วบอกผู้าุโพานที ว่าคุณชายของเขาฟื้นแล้ว”
ผู้าุโพาน? พานเชียนซาน? เขาไม่เป็ไรหรือนี่ เยี่ยมไปเลย
เซียวจวิ้นพยายามดิ้นรนลุกขึ้นมานั่ง
หญิงสาวหันมายิ้มทางเขา ควานหาถุงน้ำหนังแกะออกมาจากใต้ผ้านวมหนึ่งใบ แล้วหยิบแก้วออกมาจากในตะกร้าที่อยู่ด้านข้าง เทน้ำอุ่นออกมาครึ่งแก้ว
“นี่... ท่านนอนมานานเช่นนี้ กระหายแล้วกระมัง”
“…ขอบคุณ” น้ำเสียงของเซียวจวิ้นมีความแหบพร่าเล็กน้อย
เมื่อรับแก้วน้ำมา เขาที่ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดก็ดื่มมันลงไปอย่างมึนงง
หลังดื่มจนหมด ถึงได้พบว่าน้ำที่อบอุ่นทำให้รู้สึกชุ่มชื่นนั้น มีรสชาติหวานสดชื่นอยู่ด้วย
“คุณชายซื่อจื่อ ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที ยอดเยี่ยมยิ่งนักขอรับ!” พานเชียนซานยืนอยู่ด้านนอกเกวียน ดีใจอย่างมาก
เซียวจวิ้นสีหน้าขาวซีด ทว่าจิตใจกลับไม่เลว ดูแล้วเื่เมื่อวานคงไม่ได้ทำให้ใเลย
เจินจูลงจากรถม้า พลางเดินยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างทาง
“ผู้าุโพาน ท่านไม่ได้เป็อะไรใช่หรือไม่? ต้าฉุยล่ะ?” เซียวจวิ้นเห็นว่าเขาถูกห่อด้วยผ้าพันแผล จึงถามด้วยความกังวลใจ
ต้าฉุยติดตามอยู่ข้างกายเขามาั้แ่เด็ก จิตใจซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเขายิ่งนัก เมื่อเขาฟื้นเช่นนี้ ต้าฉุยจะต้องปรากฏออกมาเป็คนแรก แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเงาของเขาเลย สีหน้าของเซียวจวิ้นซีดขาวยิ่งขึ้น
พานเชียนซานหยุดไปพักหนึ่ง ถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ “คุณชายซื่อจื่อ ชายแก่อย่างข้าไม่ได้เป็อะไรมาก แต่สภาพของต้าฉุยไม่ค่อยดีเท่าไร าเ็หนักยิ่งนัก ตอนนี้เขานอนอยู่บนรถม้าที่อยู่ด้านหลัง ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยขอรับ”
หน้าตาเซียวจวิ้นมืดครึ้มลง ออกเดินทางมาครั้งนี้ เพื่อความสะดวกสบายจึงพามาเพียงต้าฉุยกับผู้าุโพานเท่านั้น ผลสุดท้ายกลับถูกคนจ้องเข้าเสียได้ จุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามน่าจะ้าจับเขาไปเป็ๆ เมื่อวานคนชุดดำจับเขาไว้ได้หลายครั้ง แต่กลับถูกต้าฉุยชิงตัวเขากลับไปอย่างไม่สนความเป็ความตายของตัวเองสักนิด
จุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไรกันนะ?
“ผู้าุโพาน เป็ผู้ใดช่วยชีวิตพวกเราไว้?” กล่าวกันตามหลักแล้ว ตอนนี้เขาควรลงจากรถม้าไปขอบคุณผู้มีพระคุณจึงจะถูกต้อง แต่เขาได้กลิ่นหอมอบอวลที่คลุ้งไปทั่วทั้งเกวียนรถ กลับไม่อยากโยกย้ายออกไปจากสถานที่นี้เลย
“โอ๊ะ นี่เป็สองพี่น้องหญิงชายสกุลหู พวกเขาพาผู้คุ้มกันยี่สิบคนเดินทางผ่านมาพอดี เลยช่วยชีวิตพวกเราสามคนไว้ คนชุดดำเ่าั้ถูกสังหารทิ้งไปหมดแล้ว ชายแก่เช่นข้าคิดจะเหลือไว้สองคนเพื่อถามเป็พยาน ทว่าพวกเขากลับกินยาพิษจบชีวิตตัวเองไปเสีย” พานเชียนซานกล่าวอย่างทอดถอนใจ
ดูท่าล้วนเป็หน่วยทหารกล้าที่จวนขุนนางผู้สูงศักดิ์เลี้ยงดูไว้ เซียวจวิ้นขมวดคิ้วขึ้นแน่น ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย พวกมัน้าจับตัวเขาไปคุกคามท่านพ่ออย่างแน่นอน ใช้วิธีเช่นนี้ได้ นอกจากครอบครัวฮองเฮาแล้วก็คงเป็พรรคพวกขององค์ไท่จื่อเป็แน่ เหอะ
“แค่ก!” เสียงกระแอมไอเบาๆ หนึ่งที ดึงดูดสายตาของเซียวจวิ้นขึ้น
เขามองไปตามที่มาของเสียง จู่ๆ รูม่านตาก็หดเล็กลง และพลั้งปากส่งเสียงร้องใขึ้นทันที “เป็เ้า!”
เชิงอรรถ
[1] เสือเกิดลมแรง คือ การอุปมาถึงความเข้มแข็งทรงพลานุภาพ ให้บรรยากาศหรือออร่าไม่ธรรมดา
[2] เจิ้นกั๋วกง หรือ 镇国公 คือ ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ลำดับที่ห้า มักแต่งงานกับพระนัดดาที่มีมารดาเป็ชายารอง
[3] ตูตูฝู หรือ 都督府 คือ หน่วยงานบัญชาการทหารสูงสุดรับราชโองการจากฮ่องเต้โดยตรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้