บทที่ 1
พระราชโองการในหิมะ
สามวันหลังพิธีแต่งตั้งหวงซื่อจื่อ
หิมะยังไม่หยุดตกหนักทำให้บรรยากาศตึงเครียดในท้องพระโรงแลดูเย็นเยียบขึ้นไปอีก ขุนนางกว่าร้อยนายคุกเข่าเรียงราย เสียงโต้เถียงดังระงมแลดูทั้งวุ่นวายและน่าเบื่อ
“หวงซื่อจื่อแม้มีฝีมือในการศึก แต่พระองค์อยู่ในสนามรบมานาน จะเข้าใจราชกิจได้อย่างไรพะย่ะค่ะ!”
“บังอาจนัก! พระองค์คือเืเนื้อเชื้อไขราชวงศ์จ้าว หากไม่ใช่พระองค์แล้วจะมีใครคู่ควร!”
“ท่านพูดเหมือนการถือดาบคือคุณธรรม!”
“แต่ถ้าไม่มีดาบ แผ่นดินนี้จะยังมีวันนี้หรือไม่!”
เสียงเถียงกันดังระงม
ฮ่องเต้จ้าวอี้หานประทับอยู่บนบัลลังก์ทองสูงสุด พระพักตร์นิ่งเยียบพระเนตรทอดลงมามองหลานชายที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางเสียงโกลาหลราวกับกำลังคิดหาทางออกถึงสถานการณ์นี้ จริงอยู่ที่เขาคู่ควรเป็หวงซื่อจื่อแต่ทว่ามันยังไม่มั่นคงมากพอ หวงซื่อจื่อองค์ใหม่ยัง้าอำนาจในราชสำนักเพราะตัวเขาอยู่แต่ชายแดนไม่มีใครสนับสนุน
“สร้างประเทศใช้ทหาร แต่บริหารประเทศใช้ทหารไม่ได้นะพะย่ะค่ะ...”
เสียงหนึ่งดังขึ้นชัดเจนท่ามกลางความวุ่นวาย เสนาบดีเสิ่น ชายชราผู้มีผมขาวครึ่งศีรษะเขาเอ่ยช้าแต่ทุกถ้อยคำหนักแน่นดั่งศิลา
“ทหารยึดฟ้าได้ แต่ไม่อาจปกครองหัวใจคนได้”
เสียงในห้องเงียบลงทันทีลมหายใจทุกคนเหมือนถูกดึงออกจากร่าง
หลี่เจี๋ยอวิ๋นยังคงคุกเข่าอยู่กลางห้อง ชุดสีดำมีภูมิฐาน รอยแผลเก่าบนใบหน้าคมคายยิ่งขับให้สีหน้านิ่งสนิทของเขาดูเ็าเขาไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่มองเสนาบดีเสิ่นนั้นคมราวดาบพันเล่ม ชายผู้เอ่ยคำนั้น คือผู้เคยลงชื่อ “คัดค้านการส่งเสบียง” และเป็เหตุให้กองทัพของบิดาเขาอดตายกลางพายุหิมะ หลังจากนั้นไม่นานท่านแม่ของเขาก็ตรอมใจตายอยู่ที่หน้าป้ายิญญาของท่านพ่อ
“พอเถอะ”
เสียงนั้นเพียงสองพยางค์จากพระโอษของ ฮ่องเต้ ทำให้ทั้งห้องเงียบงันราวถูกตรึงด้วยน้ำแข็ง
“ข้าไม่้าให้เืของราชวงศ์นี้หลั่งอีก หวงซื่อจื่ออย่างไรเสียก็เป็ว่าที่ฮ่องเต้องค์ถัดไปที่ข้าแต่งตั้ง แต่แผ่นดิน้ามืออีกข้างหนึ่ง...เพื่อรักษาบัลลังค์ให้มั่นคง”
พระเนตรของฮ่องเต้ทอดไปยังเสนาบดีเสิ่น แล้ววกกลับมาที่หลานชาย
“เพื่อให้ฟ้าดินถ่วงดุล ข้าจะเป็ผู้สร้างสมดุลนั้นเอง” น้ำเสียงสงบแต่เฉียบขาด
พระหัตถ์ยกขึ้นขันทีหลวงรีบก้าวออกมาจากเงามืด ถือม้วนทองในมือเสียงพระสุรเสียงของฮ่องเต้สะท้อนดังกังวานทั่ววัง
“ั้แ่บัดนี้ ข้าประทานสมรสให้หวงซื่อจื่อ หลี่เจี๋ยอวิ๋นกับธิดาเอกแห่งตระกูลเสิ่น เสิ่นอิงอิง เพื่อให้บุ๋นและบู๊รวมเป็หนึ่งเดียวดุจหยินหยางแห่ง์และปฐี”
เสียงประโคมดังขึ้น
ขุนนางทั้งห้องคุกเข่าลงพร้อมกัน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะเหลือบตาดูสีหน้าของชายที่เพิ่งถูกผูกพันด้วยโซ่ทองคำของจักรพรรดิ ด้วยรู้ดีว่าการประทานสมรสนี้ไม่อาจสร้างความพอใจให้หวงซื่อจื่อเลยแม้แต่น้อย
หิมะโปรยจากฟ้าอย่างไม่สิ้นสุด สวนไผ่ในจวนเสนาบดีถูกปกคลุมด้วยสีขาวบริสุทธิ์
และที่กลางลานนั้น ดอกเหมยขาวกำลังบานสะพรั่งท่ามกลางความหนาว ใต้ต้นเหมย หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ในชุด ผ้าไหมเขียวแมงทับ สีของมันเปลี่ยนไปตามแสงเทียน เขียวบ้าง น้ำเงินบ้าง ม่วงแ่บ้างราวกับท้องฟ้ายามสนธยาอยู่บนผืนผ้า
ผมดำยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกขาว เส้นบางหล่นแนบแก้มขาวละเอียดจนแทบมองเห็นเส้นเื คิ้วเรียวเหมือนพู่กัน ดวงตาเรียวยาวราวสายน้ำในฤดูหนาวแววตานั้นนิ่ง...แต่มีบางสิ่งที่คล้ายความเศร้าแ่เบาในก้นบึ้งเธอคือ เสิ่นอิงอิง ธิดาเอกแห่งตระกูลเสิ่น
งามดุจภาพฝัน
สง่าเกินกว่าจะเปรียบกับดอกไม้
เยือกเย็น แต่กลับดึงดูดสายตาทุกคู่ที่มองมา
เพียงก้าวเดินของนางส่งเสียงบางเบาสง่างามราวกับหิมะที่กระทบพื้นก็แ่เบา กลิ่นหอมของดอกเหมยขาวปะปนกับกลิ่นเย็นของผ้าไหมที่ถูกอบร่ำมาอย่างดี ราวกับลมหายใจของฤดูหนาวทั้งหมดรวมอยู่รอบตัวเธอ
“คุณหนูเ้าคะ...ลมแรงนัก ควรเสด็จกลับข้างในเถิดเพคะ”
อิงอิงเพียงเอียงหน้าเล็กน้อย กลีบเหมยดอกหนึ่งตกลงบนบ่า เธอหยิบมันขึ้นมาดูริมฝีปากบางคลี่ยิ้มบางเบาอบอุ่นจนแม้แต่พระจันทร์ยังกลัวจะละลาย
“ดอกเหมยงามที่สุดตอนที่หิมะตก...เ้าว่าเพราะอะไรกันนะ”
เสียงของนางแ่เบา แต่สั่นะเืหัวใจคนฟังนางกำนัลทั้งสองค้อมศีรษะ ไม่กล้าพูดอีกเพราะรู้ว่าคำถามที่นางเอ่ยออกมานั้นมิ้าคำตอบที่ไม่ฉลาดของนาง
ในยามนั้นเอง ลานทั้งลานเหมือนหยุดหายใจ
.
.
.
เสียงฝีเท้าเกราะดังขึ้นจากหน้าประตูจวนขันทีหลวงในชุดม่วงเข้มเดินนำขบวนเื้ัเป็ทหารถือพานทองและธูปมงคล
“มีพระราชโองการ!”
เสียงประกาศก้องสะท้อนกลางหิมะเสิ่นอิงอิงก้าวออกมาช้า ๆ ชุดเขียวแมงทับส่องประกายราวแสงหยกที่เต้นระยิบในหิมะ
“เสิ่นอิงอิง คุกเข่ารับราชโองการ!!!”
ขันทีคลี่ม้วนทองออก อ่านด้วยเสียงหนักแน่น
“ฮ่องเต้จ้าวอี้หาน มีพระราชดำรัสประทานสมรสให้หวงซื่อจื่อ หลี่เจี๋ยอวิ๋น กับธิดาเอกแห่งตระกูลเสิ่น เสิ่นอิงอิง เพื่อให้บุ๋นและบู๊เป็หนึ่งเดียว ดุจหยินหยางใต้หล่าสงบสุข!!”
หิมะหยุดตกเพียงชั่วขณะ ทุกอย่างเงียบลงจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในลาน เสิ่นอิงอิงคุกเข่าลงอย่างสง่างามหิมะตกกระทบปลายผมแล้วละลายเป็หยดน้ำใสไหลผ่านแก้มงามราวหยาดหยก
“หม่อมฉัน...น้อมรับพระราชโองการ”
เสียงนั้นเบา แต่ชัดจนสะท้อนกลับไปทั่วลานราวกับว่าแม้ลมหนาวยังต้องหยุดพัด เพื่อฟังถ้อยคำของนาง
เมื่อขันทีและขบวนจากไป เหลือเพียงความเงียบในจวน เสิ่นอิงอิงยืนอยู่ใต้ต้นเหมยขาว มือถือม้วนทองแนบอก แววตาของนางนิ่งราวผิวน้ำแข็ง เพราะรู้ตัวเองดีว่าวันคืนแห่งความสงบสุขของนางได้สิ้นสุดลงแล้ว
“หึ แต่งงานตามราชโองการ…ช่างน่าขันนัก”