เมื่อเห็นฉากที่น่าตกตะลึงนั้น ฝูงชนก็พากันขวัญหนีดีฝ่อ ต่อหน้าจงเทาแล้ว เย่เฟิงยังคงสังหารคนของสำนักศึกษาเสินเจียงต่อไป นี่มันพลังอันใดกัน?
“ชะตาของคนผู้นี้ดูอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ถ้ามีคนฆ่าเขาได้ ชะตาทั้งหมดก็จะกลายเป็ของคนคนนั้น พวกเ้ายังจะรออะไรกันอยู่อีก ลงมือสิ!” ขณะนั้นศิษย์ของสำนักศึกษาเสินเจียงคนหนึ่งได้เอ่ยกับผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ
คำพูดนี้เรียกสายตาอันเฉียบคมจากฝูงชน หากสังหารเย่เฟิงได้ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้รับชะตามหาศาลจากเย่เฟิง แรงจูงใจนี้ยากจะต่อต้านได้ นี่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนถูกชักจูงเพราะคำพูดนั้น สายตาที่จ้องมองเย่เฟิงจึงเต็มไปด้วยความละโมบ จิตสังหารเริ่มปะทุออกจากร่างกาย
เย่เฟิงเลื่อนสายตาไปมองคนนั้นที่พูดโน้มน้าวผู้อื่นด้วยสายตาเย็นเยียบ นั่นเป็ดวงตาแห่งความตายที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า จู่ ๆ ชายผู้นั้นหนาวสั่นไปทั่วกาย เขาอยากจะหนีไปให้พ้นจากสายตาของเย่เฟิง แต่กลับเห็นฝ่ามือขนาดั์แผ่ปกคลุมไปทั่วน่านฟ้าและพุ่งโจมตีใส่เขา เป็พลังที่สั่นะเืฟ้าดิน เมื่อเผชิญหน้ากับพลังนั้น ชายผู้นี้จึงรู้สึกว่าร่างกายของเขานั้นเล็กนิดเดียวดุจเม็ดทราย เมื่อฝ่ามือฟาดลงมา ชีวิตของเขาคงดับสูญเป็แน่
“พวกยุแยงตะแคงรั่ว ตายซะเถอะ!” เมื่อสิ้นเสียง ฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวก็ตบลงมาที่ร่างชายผู้นั้น คนคนนั้นกรีดร้องออกมา ก่อนจะร่วงกระแทกพื้นเข้าอย่างจัง มิรู้ว่ากระดูกในร่างกายหักไปมากเท่าใด ที่พื้นปรากฏรอยแตกนับไม่ถ้วน สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คน
“โหดมาก!” ฉากนี้ทำให้หลายคนที่คิดจะลงมือกับเย่เฟิงเริ่มใจสั่น หากการโจมตีที่น่ากลัวนั่นฟาดลงมาที่พวกเขา กระดูกของพวกเขาคงถูกบดขยี้จนเละ กล่าวได้ว่าการลงมือที่เด็ดขาดของเย่เฟิงนั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน มันเป็การเคาะูเาเขย่าเสือ ทว่าก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังอยากลองเล่นกับไฟ พยายามจะสังหารเย่เฟิงเพื่อแย่งชิงชะตาของเขา
เย่เฟิงสู้กับจงเทาต่อ การโจมตีที่บ้าคลั่งยังคงถูกปล่อยอย่างต่อเนื่อง พลังทำลายล้างไร้ที่สิ้นสุดสว่างไสวดุจแสงอาทิตย์ เย่เฟิงควงหอกัเงินประกาย ชายเสื้อคลุมพลิ้วไหวตามแรงลมราวกับเทพาลงมาจุติ รังสีหอกอันทรงพลัง ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองตรง ๆ
ความแข็งแกร่งของเย่เฟิงทําให้จงเทารู้สึกกดดันอย่างมาก กระทั่งถูกบีบให้ถอยร่น หากไม่ใช่เพราะมีสำนักศึกษาเสินเจียงและคนบางส่วนที่ลอบโจมตีเย่เฟิงล่ะก็ จงเทาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกคนจำนวนมากล้อมเอาไว้ ร่างกายเย่เฟิงจึงมีาแเป็จำนวนมาก ถ้าเขาไม่ได้ฝึกทักษะหล่อิญญา และมีเพียงเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายอย่างคัมภีร์หล่อกายาเทพาละก็ เกรงว่าตอนนี้เขาคงสิ้นชีพไปแล้ว
“ตาย!” หอกอันแหลมคมพุ่งแทงออกไป บนด้ามหอกนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว จนเกิดเสียงแหลมหูในอากาศ ก่อนร่างของผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งถูกคมหอกแทงทะลุร่างจนตายคาที่!
“รายนามขั้นรวมชี่อันดับที่ 6 ก็แค่นั้นแหละ!” เย่เฟิงกล่าวเย้ยหยันพลางปรายตามองจงเทา
“สวะ อย่าได้ใจไปนักเลย หากการบ่มเพาะของข้าไม่ถูกลดทอน สวะอย่างเ้ามีหรือจะสู้ข้าได้?” จงเทาพูดอย่างเ็า คมดาบที่น่าสะพรึงกลัวส่องประกายไปทั่วผืนดิน คลื่นดาบพุ่งไปหาเย่เฟิงอย่างต่อเนื่อง
“อย่าพูดให้ดูดีนักเลย ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้าแค่ขั้นบ่มเพาะกายาเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนที่พูดเื่น่าอายเช่นนั้นเ้ารู้สึกละอายใจหรือไม่ ช่างหน้าหนาเสียจริง!” เย่เฟิงหัวเราะอย่างเ็า ขณะกล่าวเสียดสีอีกฝ่าย พวกอัจฉริยะก็แค่สวะฝูงหนึ่งที่ชอบยกตนข่มท่านเท่านั้น จากนั้นเขายกหอกขึ้นมาแล้วแทงออกไป คมหอกอันทรงพลังพุ่งฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็ว ทุกท่าที่หอกแทงไปนั้น ล้วนสามารถกดดันจงเทาได้
ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นเย่เฟิงาเ็อยู่ไม่น้อย ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่รอบ ๆ ก็แห่เข้ามาโจมตีเขา คิดจะฉวยโอกาสนี้ลงมือสังหารเย่เฟิง
“ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมาก้าสังหารเขา ครั้งนี้เย่เฟิงไม่น่าจะรอดไปได้!” ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ พูดขึ้นมา คนเพียงคนเดียวสามารถต่อกรกับจงเทาและผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่นับสิบคนได้ พลังของเย่เฟิงนั้นแทบจะฉีกทุกกฎเกณฑ์ที่มี แม้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เสียเปรียบเช่นนี้ แต่เย่เฟิงก็ยังสามารถสังหารศัตรูได้ ความแข็งแกร่งของเขามิอาจประมาณค่าได้
“คนพวกนี้จ้องจะจัดการข้าท่าเดียว จะอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ข้าต้องหาวิธีฝ่าวงล้อมออกไป”
เมื่อประเมินจากการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งยังมาไม่ถึง ในใจของเย่เฟิงจึงรีบคิดหาวิธี จากนั้นเขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ พร้อมแสงดาวส่องสว่างรอบตัว ทันใดนั้นเขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้แข็งแกร่งจากสำนักศึกษาเสินเจียงคนหนึ่ง จากนั้นหอกอันน่ากลัวก็แทงทะลวงอากาศ จิตสังหารรุนแรงไร้ที่เปรียบพลันคุกรุ่น เสียงสวบดังขึ้น ร่างของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นถูกหอกแทงจนทะลุตายคาที่!
จากนั้นฉวยโอกาสนี้ รีบใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อพุ่งทะยานออกไปในพริบตา แต่เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ล้อมโจมตีเย่เฟิงก็พลันแข็งทื่อ กลิ่นอายอันเ็าแผ่ออกมาจากตัวจงเทา จากนั้นก็ะโเสียงดัง “จะหนีไปไหน!”
เมื่อสิ้นเสียง กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่นำโดยจงเทาได้ออกตามล่าเย่เฟิงไปติด ๆ
เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้ออย่างเต็มกำลัง ร่างกายของเขาจึงทะยานดั่งดาวตกด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงพริบตาก็ทิ้งห่างกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังไปไกลโข
“ท่าร่างนี้ดูคุ้น ๆ มาก!” บนยอดเขาเทพโอสถ ผู้าุโคนหนึ่งของวังเทพโอสถพึมพำพลางดวงตาฉายแววครุ่นคิด
“นั่นมันย่างก้าวดาวตกผีเสื้อของตระกูลหวังนี่!” ผู้าุโอีกคนพูดโพล่งขึ้นมา นั่นคือชื่อท่าร่างที่เย่เฟิงใช้อยู่
ดวงตาทุกคนพลันเบิกโพลงเมื่อได้ยินประโยคนี้ พวกเขารู้ว่าย่างก้าวดาวตกผีเสื้อนั้นเป็วิชาของตระกูลหวัง แม้แต่ลูกหลานตระกูลหวังหลายคนก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียนวิชานี้ แล้วเหตุใดเย่เฟิงถึงสามารถเรียนรู้มันได้ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะบรรลุระดับสองแล้วด้วย เคล็ดวิชานี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้หลบการโจมตีของศัตรูได้
“เป็ไปไม่ได้ ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อเป็ของตระกูลหวัง ด้วยฐานะของเ้าเด็กนี่ สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้หรือ?” ฟู่หยางหรี่ตาเล็กน้อย เขาไม่เชื่อว่าเย่เฟิงจะได้เรียนรู้เคล็ดวิชาย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ
“นั่นสิ แม้แต่ลูกหลานตระกูลหวังมากมายก็ไม่ได้เรียนวิชานี้ แล้วเหตุใดคนที่ไม่เกี่ยวข้องถึงสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาล้ำค่าของตระกูลได้ เื่นี้ไม่น่าเป็ไปได้” จี๋เหยียนเห็นด้วยกับคําพูดของฟู่หยาง
“อย่าใช้ตาสุนัขมองคนต่ำ1 เ้าเด็กเย่เฟิงมีชะตากรรมอันรุ่งโรจน์ เหตุใดจึงจะฝึกฝนย่างก้าวดาวตกผีเสื้อของตระกูลหวังมิได้?” เซี่ยชิงซานแค่นยิ้มออกมา เนื่องจากฟู่หยางกับจี๋เหยียนไม่รู้จักเย่เฟิงดี ทั้งสองจึงดูแคลนเขา นอกจากเซี่ยชิงซานแล้ว ยังมีหลายคนที่คิดว่าเย่เฟิงฝึกฝนย่างก้าวดาวตกผีเสื้อได้ ต่างฝ่ายต่างถกเถียงกันจนวุ่นวาย โดยมีเย่เฟิงเป็หัวข้อหลัก
ในแดนลับ เย่เฟิงสลัดพวกจงเทาจนไกลลิบ แม้เขาจะได้รับาเ็มิใช่น้อย แต่ชะตากลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ชะตาเรืองรองแสงห้าสีอยู่รอบกายเย่เฟิงอย่างเจิดจ้า กลิ่นอายทรงพลังและดูสวยงดงามมากขึ้น เมื่อชะตาของเย่เฟิงแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สิ่งที่เย่เฟิงมองเห็นเปลี่ยนไปเช่นกัน
ขณะนั้นมีูเาสูงตระหง่านแห่งหนึ่งปรากฏที่ด้านหน้าของเย่เฟิง ตรงไหล่เขามีถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ด้านใน ปราณเพลิงอันหนาแน่นลอยออกมาจากปากถ้ำ แต่ถึงกระนั้นกลับไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด ด้วยชะตาที่ชิงมาได้ ทำให้ประสาทััของเย่เฟิงก้าวข้ามขีดจำกัด เย่เฟิงเหมือนรู้สึกได้ว่าภายในถ้ำมีบางสิ่งที่เขา้า เย่เฟิงจึงมุ่งหน้าไปทางนั้นโดยไม่ลังเล โดยปีนูเาขึ้นไปที่ถ้ำ
ผ่านไปประมาณสองก้านธูป เย่เฟิงก็ปีนมาถึงไหล่เขาและเดินเข้าไปในถ้ำลึกลับ แต่ครู่ต่อมามีกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์เดินมาทางนี้ พร้อมกับกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ออกจากร่าง แต่ละคนเหมือนกระเหี้ยนกระหือรือ2อยากจะฆ่าใครสักคน
“เ้าหมอนั่นหายไปไหนแล้ว!” จงเทาที่เป็หัวหน้ากวาดสายตาอันเ็าไปทางูเาเบื้องหน้า ทว่ากลับไม่พบถ้ำที่ไหล่เขา นี่คือข้อได้เปรียบของเย่เฟิงที่มีชะตามหาศาล
“พวกเราลองมุ่งหน้าไปต่อ!” จงเทาเบือนสายตาจากูเา และมองไปยังเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะกล่าวกับคนที่อยู่รอบตัว ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับจงเทา เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา จากนั้นคนเหล่านี้ก็ออกไปจากที่นี่
ที่ไหนสักแห่งในแดนลับ ซึ่งโอบล้อมไปด้วยูเา แต่กลับดูว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา ซึ่งมีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนปรากฏตัวอยู่ที่นั่น พวกเขาก็คือนี่จ้านเทียน อี้ชิง และสองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองลําแสงขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากท้องฟ้าด้านหน้าพวกเขา ลำแสงเ่าั้พุ่งตรงสู่ท้องฟ้า และปกคลุมไปทั่วพื้นที่ มีพลังประหลาดเล็ดลอดออกมาจากแสงนั้น ค่อย ๆ แพร่กระจายอยู่ในอากาศ ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความลึกลับที่มาจากความว่างเปล่านี้
เมื่อเวลาผ่านไปลำแสงเ่าั้ค่อย ๆ รวมตัวกัน ก่อนจะเกิดลำแสงเก้าสายในลักษณะรูปสามเหลี่ยม ทั้งยังมีพลังหยวนไร้ที่สิ้นสุดปั่นป่วนบนท้องฟ้า อำนาจฟ้าดินทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้
พลังอันแกร่งกล้ารวมตัวกัน พลันลำแสงเก้าสายสาดส่องพื้นดิน เกิดเป็ดินแดนเก้าส่วนที่อัดแน่นไปด้วยพลังประหลาด ซึ่งยังคงเรียงแถวเป็ลักษณะสามเหลี่ยม คล้ายกับเป็เส้นทางเชื่อมต่อกับ์ ดูลึกลับอย่างบอกไม่ถูก
ดินแดนทั้งเก้าส่วนล้วนปกคลุมด้วยพลังประหลาดและพลังธาตุที่แตกต่างกันไป ในนั้นแฝงด้วยมรดกต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกัน
“ว่ากันว่ามรดกของประมุขวังเทพโอสถทั้งเก้ายุคถูกทิ้งไว้ในแดนลับนี้ ดูจากรูปการณ์แล้ว ดินแดนทั้งเก้าส่วนที่ปรากฏจะใช่แดนมรดกหรือไม่?” ผู้ฝึกยุทธ์บางคนกล่าวขณะจ้องมองไปยังดินแดนเก้าส่วนที่มีแสงส่องสว่าง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของทุกคนก็เป็ประกายขึ้นมา สายตาเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความหวัง มรดกแบบไหนกันที่ประมุขวังเทพโอสถทั้งเก้าท่านทิ้งไว้ หากได้รับการสืบทอดแล้วจะบรรลุวิถีโอสถใช่หรือไม่?
ทุกคนต่างมีข้อสงสัย และตั้งตารอกับดินแดนเก้าส่วนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ข้าเดาว่าดินแดนเก้าส่วนที่ปรากฏอยู่ตอนนี้คือจุดที่มรดกอยู่ เช่นนั้นข้าขอล่วงหน้าไปก่อนล่ะ” จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในฝูงชน ก่อนที่คนผู้หนึ่งจะก้าวเท้าออกไป เขามุ่งหน้าไปยังหนึ่งในดินแดนเก้าส่วนที่อยู่ด้านหน้า วินาทีที่ร่างกายของเขาัักับแสงของเขตแดน ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นก็ถูกพลังประหลาดที่ดินแดนปล่อยออกมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ สีหน้าของชายคนนั้นพลันตื่นใขึ้นมา พยายามจะดิ้นให้หลุด แต่ก็มีพลังบางอย่างแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเขา ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์
แสงประหลาดทะลักเข้ามาในร่างของคนผู้นั้นไม่หยุด แม้ชายผู้นั้นจะตกอยู่ในภวังค์ แต่การแสดงออกบนใบหน้าของเขาก็ดูเ็ปเป็อย่างมาก
ผ่านไปสักพัก พลังประหลาดรอบกายของชายผู้นั้นเริ่มะเิขึ้นมา แรงโน้มถ่วงที่แข็งแกร่งได้กดทับลงมาบนร่างของชายผู้นั้น ทําให้เขาร้องโหยหวนออกมา ก่อนที่ร่างกายจะถูกแรงโน้มถ่วงดีดกลับไปที่เดิม ใบหน้าของเขาซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด
-------------------------------------------
[1] อย่าใช้ตาสุนัขมองคนต่ำ หมายถึง อย่าดูถูกคน
[2] กระเหี้ยนกระหือรือ หมายถึง แสดงความกระตือรือร้นเอาจริงเอาจังอย่างออกนอกหน้า