วันที่สองเดือนสอง ัเชิดหน้า
หลิวซานกุ้ยพักผ่อนอยู่ในบ้านทั้งวัน หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ ทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงที่เตาไฟ
แม้จะเป็เดือนกุมภาพันธ์ แต่อากาศก็ยังหนาวอยู่
หลิวเต้าเซียงฟังแผนการของหลิวซานกุ้ย เดิมทีเขาอยากอาศัย่ที่ยังไม่เริ่มการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิให้คนเริ่มขุดพื้นที่ไว้ก่อน
การสร้างบ้านขนาดใหญ่ไม่ใช่เื่ที่จะทำได้ในวันสองวัน คงต้องใช้เวลาราวหนึ่งปี ระหว่างนั้นยังต้องหยุดเป็พักๆ ข้อหนึ่งเพราะว่าบ้านต้องปล่อยพักเพื่อไล่ความชื้น ข้อสองเพราะยังต้องยุ่งกับฤดูกาลซวงเฉี่ยง (ซวงเฉี่ยงคือหลังการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนก็ต้องรีบดำนา เพื่อให้ทันได้เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอีกหนึ่งรอบ) หมู่บ้านสามสิบลี้มีการเก็บเกี่ยวเพียงสองฤดูต่อปี
“ท่านพ่อ เราสร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ เกรงว่าคงมีงานไม่น้อย ท่านยังต้องไปเล่าเรียนที่ตำบล ท่านแม่ก็ต้องดูแลน้องชายทั้งสอง คงไม่มีเวลาไปดูแลเื่อื่น ส่วนท่านยายก็อายุมากแล้ว ข้ากับท่านพี่แม้ว่าจะช่วยงานได้บ้าง แต่บางเื่ก็ไม่เหมาะสมที่พวกข้าจะดูแล แต่ท่านพ่อห้ามเสียการเรียนเพราะเื่สร้างบ้านนะ” หลิวเต้าเซียงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็ห่วง
จางกุ้ยฮัวสับสนเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินบุตรสาวคนรองพูด นางก็คิดได้ทันที
“ข้าคิดว่าลูกสาวพูดได้ถูกต้อง เื่นี้จัดการไม่ง่าย หากว่าขอเชิญคนมาช่วย ก็ไม่อาจไปรบกวนคนอื่นได้ หากว่าจ่ายเงินให้ก็พูดยาก เพราะว่าต้องเทียวไปเทียวมาทุกวัน ตอนนั้นที่บ้านเดิมสร้างบ้าน ก็อาศัยท่านพ่อยุ่งวุ่นวายทั้งในและนอก แต่ถึงอย่างนั้นท่านย่าก็ยังซื้อคนรับใช้ที่คอยช่วยวิ่งงานให้สองคนไม่ใช่หรือ?”
กุ้ยฮัวเป็คนสมัยโบราณดั้งเดิม นางรู้สึกว่าเมื่อในบ้านมีเงินแล้ว การวางแผนซื้อทาสก็ราวกับการซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เป็เื่ปกติทั่วไป
สำหรับเื่ซื้อทาส นางไม่ได้มีความคิดผิดแปลกแต่ประการใด คิดเพียงว่าทุกคนต่างก็คือคนยากจนที่ลำบาก
เฉินซื่อยังกล่าวอีกว่า “ซานกุ้ย จากที่ข้าดู ควรซื้อทาสหลายคนหน่อย อย่างอื่นไม่เท่าไร แต่ของที่เ้าซื้อกลับมาก็ต้องมีคนช่วยดูแล หากเ้าไปเล่าเรียนแล้วในบ้านมีก้อนอิฐน้อยไปไม่กี่ก้อน ก็ต้องให้เ้าวิ่งโร่ไปเอง เื่จุกจิกเหล่านี้มีมากนัก แล้วก็ในเมื่อจะสร้างบ้าน เื่อาหารการกินสามมื้อของคนงานก่อสร้างก็ต้องรับผิดชอบด้วย แล้วยังต้องขอให้คนมาช่วยอีก เอาเถิด ถึงแม้จะสามารถเชิญคนในหมู่บ้านให้มาช่วย แต่เื่ซื้อกับข้าวเล่า?”
ความหมายของนางก็คือ การสร้างบ้านไม่ได้ง่ายเหมือนการดื่มน้ำแกงไข่ไก่ ที่เพียงแค่ซดก็ได้สารอาหารเข้าไปในร่างกายแล้ว
หลิวเต้าเซียงนั้นดวงตามืดบอดกับเื่สร้างบ้าน นางไม่รู้เื่ใดๆ จึงย้อนนึกถึงตอนที่ซ่อมแซมบ้านเก่าหลังนี้ซึ่งค่อนข้างยุ่ง หากสร้างบ้านใหม่ก็คงจะมีอีกหลายเื่
“ท่านพ่อ หาที่เผาอิฐได้แล้วหรือ?”
“ไม่ต้องกังวลเื่นี้ เกาจิ่วสัญญาว่าจะแนะนําคนที่พึ่งพาได้ให้ วันนี้ข้าคิดว่าจะจัดการเื่นี้ให้ลงตัว”
หลังจากที่หลิวซานกุ้ยสอบผ่านซิ่วไฉ กัวซิวฝานก็ช่วยสอดส่องดูแลเขามากขึ้น ประสบการณ์ที่อาจารย์อย่างเขาเคยพบเจอมา ทุกครั้งที่หลิวซานกุ้ยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็มักจะชี้แนะตักเตือนอย่างทันท่วงทีเสมอ ทำให้หลิวซานกุ้ยซาบซึ้งใจ
ตอนนี้เขาสอบผ่านจวี่เหรินจึงรับสอนลูกศิษย์ในบ้านเพียงแค่สามถึงสี่คน ไม่เพียงแค่มีรายได้ไม่น้อย ทั้งความตึงเครียดก็ยังผ่อนคลายลงไปมาก
นอกจากนี้ผลพวงจากสถานะของเขาทำให้น้ำขึ้นเรือสูง สถานการณ์ทางบ้านก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
“ใช่สิ เดือนสองวันที่สิบแปดเป็วันคล้ายวันเกิดของเหล่าฮูหยินกัว กุ้ยฮัว เ้าต้องลองสืบถามดูว่าควรเตรียมของขวัญอย่างไรจึงจะเหมาะสม”
จางกุ้ยฮัวถามว่า “ครบรอบห้าสิบแล้วหรือ?”
เวลาจัดวันคล้ายวันเกิดของผู้เฒ่าผู้แก่ ทั่วไปแล้วผู้ชายนับวันเริ่มตั้งครรภ์ ส่วนผู้หญิงนับหลังครบกำหนดครรภ์
ผู้ชายจะนับอายุแบบซวีซุ่ย หญิงนับแบบหม่านซุ่ย [1]
“ใช่ พักเื่นี้ไว้ก่อน” ในใจหลิวซานกุ้ยพะวงกับเื่สร้างบ้านใหม่ แล้วหันไปปรึกษากับหลิวเต้าเซียง “ครั้งที่แล้วที่ไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านเกาจิ่ว ได้เคยถามเื่นี้กับเขา ลำพังสร้างบ้านซานเหอย่วน เพียงแค่สร้างเรือนอาศัยหลักกับเรือนทิศตะวันออกกับตะวันตก รวมกับห้องเอ่อร์ฝาง ต้องใช้อิฐราวหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน”
เขาเล่าเื่ที่ได้ปรึกษาหารือกับเกาจิ่ว แล้วเอ่ยอีกครั้ง “ลำพังสร้างเรือนหลักก็ต้องใช้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเพื่อซื้ออิฐสีน้ำเงิน ยังไม่รวมถึงหลังคากระเบื้องที่จะใช้”
“เหตุใดถึงแพงขนาดนี้ อิฐสีน้ำเงินเผาจากดินโคลนไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงแพงถึงก้อนละหนึ่งอีแปะ?” จางกุ้ยฮัวไม่รู้และใ
หลิวเต้าเซียงไม่คาดคิดเช่นกัน ก่อนจะนึกถึงเื่ที่เคยเสนอกับบิดา จึงยิ้มแล้วเอ่ย “หรือไม่ก็สร้างแค่เรือนหลักก่อนเถิด ส่วนเรือนฝั่งตะวันตกก็สร้างแค่ห้องของข้ากับท่านพี่ก่อน เช่นนี้คงไม่ถึงหลายร้อยตำลึง”
หลิวซานกุ้ยโบกมือและตอบว่า “มันไม่เป็เช่นนั้น เรือนหลักหลังหนึ่งต้องใช้หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ยังมีห้องของพวกเ้า แล้วยังต้องสร้างเรือนรับรองแขก แล้วยังมีเรือนเก็บของด้วย ของเหล่านี้ต้องสร้างให้เสร็จ พอคำนวณแล้วเกรงว่าต้องใช้เงินเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยตำลึงเชียว”
หลิวเต้าเซียงพินิจแล้วเอ่ย “ท่านพ่อ หรือไม่ก็เอาแบบนี้ เราสร้างเรือนสำคัญก่อน คงใช้ราวหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง แล้วค่อยสร้างห้องฝั่งทิศตะวันตกก่อนหนึ่งหลัง ข้ากับท่านพี่พักคนละห้อง ที่เหลือก็ค่อยๆ สร้างเพิ่มในภายหลังปีละหน่อย ถึงตอนนั้นน้องชายกับน้องสาวโตขึ้นก็น่าจะได้ใช้พอดี ไม่จำเป็ต้องสร้างให้เสร็จในคราวเดียว ส่วนเรือนบริวารทิศใต้ก็เก็บไว้สร้างในครึ่งปีหลัง ถึงตอนนั้นไก่บ้านเราคงวางไข่แล้ว”
หากเป็เช่นนั้น เงินในมือคงไม่ขัดสนนัก
ในความเป็จริง นางยังคงไม่รู้ชัดเจนเื่ราคาข้าวของในยุคโบราณมากนัก
ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าทางด้านของหลิวฉีซื่อใช้เงินสร้างบ้านเพียงแปดสิบตำลึง นางคิดว่าอย่างมากที่สุดสามร้อยตำลึงก็เพียงพอแล้ว ใครจะรู้ว่าการสร้างบ้านก็เป็เื่ที่ต้องเสียเงินอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
“ไม่อย่างนั้น ตรงพื้นที่ราบเราก็ใช้แผ่นหินสีเขียวก่อน ทั้งราคาถูกและใช้งานดี” หลิวเต้าเซียงคิดว่าการสร้างบ้านต้องใช้เงินมาก สู้ใช้แผ่นหินสีเขียวทำพื้นราบดีที่สุด ใช้งานอย่างไรก็ไม่ผุพังง่าย
หลิวซานกุ้ยเอื้อมมือออกไปลูบท้ายทอย แล้วเอ่ย “ใช่สิ ที่นี่มีก้อนหินเยอะ แผ่นหินสีเขียวก็ราคาถูก ขนาดยาวสามเมตรกว้างสองเมตรก็แค่ไม่ถึงสิบอีแปะ”
แต่หากใช้อิฐสีน้ำเงิน คงไม่ใช่ราคานี้แน่นอน
“ท่านพ่อ เราสร้างเรือนหลักๆ กันก่อน พอให้คนได้อยู่ทั้งหมด จากนั้นค่อยสร้างเรือนหลังอื่น”
หลิวเต้าเซียงพินิจและรู้สึกว่าบ้านใหม่ของครอบครัวนางคงต้องใช้เวลาสร้างไปอีกหลายปี
“ถ้าเป็เช่นนั้น ข้าก็จะไม่เชิญคนมามากเกินไป สร้างเพียงเรือนอาศัยหลักกับเรือนบริวารให้เสร็จก่อน่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเป็พอ ที่เหลือค่อยสร้างในปีถัดไปได้”
เรือนบริวารทิศใต้จำเป็ต้องสร้าง เพราะหากมีแเื่มาคงไม่อาจปล่อยให้พวกเขานอนกินลมอยู่ในลานบ้าน?
เช่นนั้นคงดูไม่ดีแน่
“ท่านพ่อ หรือไม่เราก็สร้างโรงเก็บของขนาดใหญ่ต่างหากดี ในอนาคตเราจะได้ไว้เก็บผลผลิตจากที่นาดี ทั้งยังเก็บมันเทศที่รับซื้อจากในหมู่บ้านได้อีก”
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ หลิวเต้าเซียงเพิ่งพบว่าตนเองนั้นมัวแต่ยุ่งวุ่นวายจนลืมเื่ทำวุ้นเส้นมันเทศไป
หลิวซานกุ้ยคิดอย่างรอบคอบและเห็นด้วยกับข้อเสนอของนาง
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ส่วนเื่ที่นาเราจะซื้อที่ไหนดี? หมู่บ้านเราไม่รู้ว่าจะยังมีที่นาดีเหลืออยู่หรือไม่”
“ท่านพ่อ เหตุใดต้องซื้อที่นาดีเพียงอย่างเดียว เราเลี้ยงหมูกับไก่มากมาย มีปุ๋ยมูลมากพอสำหรับที่นา สู้เราซื้อที่นาชั้นกลางหรือชั้นล่างดีกว่า ขอเพียงมีปุ๋ยก็ไม่ต้องกลัวว่าผลผลิตจะไม่ดี”
บ้านเกษตรกรล้วนพึ่งพาปุ๋ยในการเลี้ยงดูครอบครัว
ปีที่แล้วครอบครัวของหลิวเต้าเซียงได้สะสมมูลไก่และมูลสุกรไว้จำนวนมาก ซึ่งตากแห้งและเก็บไว้ในตะกร้าใต้มุ้งฟางที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ เพื่อใช้บำรุงดินหลังจากซื้อที่นาในปีนี้
เดิมทีนางไม่้าซื้อที่นาในหมู่บ้านสามสิบลี้ คิดเพียงว่าหากท่านพ่อสอบผ่านซิ่วไฉแล้ว ทั้งครอบครัวคงต้องย้ายไปในอำเภอ
จางกุ้ยฮัวไม่ได้วางแผนที่จะซื้อเพียงสามสิบไร่ “ใช่ เราอยู่ใกล้กับตำบล ข้าว่าเราซื้อไว้มากหน่อย ขอเพียงอยู่ที่เดียวกัน ที่นาชั้นล่างก็แค่ไร่ละสองตำลึง ลองดูว่าสามารถรวบรวมได้ถึงสองร้อยไร่หรือไม่”
“ที่นี่มีที่นาน้อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่ดินที่ใกล้แหล่งน้ำ สองร้อยไร่คงยากลำบาก ดูสิว่าจะมีถึงหนึ่งร้อยไร่หรือไม่ น่าจะกำลังดี หลี่เจิ้งที่ดูแลตำบลอื่นข้าเองก็รู้จัก เดี๋ยวข้าจะลองไปหาเขา”
ไม่รู้ว่าหลิวซานกุ้ยไปเจรจากับหลี่เจิ้งอย่างไร สรุปแล้วก็คือ เพียงแค่สองวันเขาก็ซื้อที่ดินได้เจ็ดสิบไร่ มีทั้งชั้นกลางกับชั้นล่าง ส่วนในหมู่บ้านสามสิบลี้เขาก็ซื้อที่นาได้สามสิบไร่ เพียงแต่ไม่มีที่นาดีเช่นกัน
หลิวเต้าเซียงยังไม่มีแผนจะเลี้ยงเป็ดอยู่ดี เพราะไม่มีพื้นที่สำหรับเพาะเลี้ยง นางไม่้าให้ลำธารที่ชาวบ้านใช้ดื่มกินอยู่ต้องถูกเป็ดสร้างมลพิษ
หลังจากหลิวซานกุ้ยเจรจาแล้ว เขาก็ขอเงินจากหลิวเต้าเซียงจำนวนห้าร้อยตำลึง จากนั้นในวันรุ่งขึ้นก็ขับเกวียนลาไปกับหลี่เจิ้งเพื่อเข้าอำเภอพร้อมกัน
ระยะทางจากหมู่บ้านสามสิบลี้ไปยังอำเภอค่อนข้างไกล หลิวซานกุ้ยจึงไม่ได้วางแผนจะกลับมาในวันนี้
ใน่บ่ายของวันที่สาม เขาขับเกวียนลากลับบ้าน จากนั้นก็ยื่นโฉนดสีแดงในมือให้แก่จางกุ้ยฮัว
จางกุ้ยฮัวหยิบโฉนดขึ้นมาััแล้วมองดูอยู่อย่างนั้น นิ้วของนางชี้ไปที่ตราประทับ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “เฮ้อ นี่คือโฉนดจริงด้วย ใช่สิ เหตุใดของเราเป็สีแดง?”
ด้วยเื่ซื้อที่นา นางกับท่านย่าหวงได้สืบถามข้อมูลมาไม่น้อย “ไม่ใช่ว่าโฉนดควรเป็สีขาวและมีพยานสองคนก็พอหรือ?”
หลิวซานกุ้ยชี้ไปที่ตราประทับสีดำที่อยู่ด้านข้างของโฉนดและตอบว่า “เห็นหรือไม่ นอกจากตราประทับอันใหญ่บนโฉนด ตรงนี้ยังมีตราประทับขนาดเล็ก มีอยู่สองฉบับ ฉบับหนึ่งเป็ของเรา อีกหนึ่งฉบับทางการเก็บไว้เป็ข้อมูล ไม่มีใครอ้างไปได้”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและกล่าวว่า “ข้ารู้ ในมือท่านพ่อคือโฉนดของราชการ ไม่มีใครหลอกเอาไปได้ ที่ท่านแม่พูดหมายถึงโฉนดส่วนตัว แม้โฉนดส่วนตัวไม่ต้องจ่ายภาษี แต่เพราะเหตุนี้ก็อาจถูกคนปลอมแปลงได้ง่าย ขอเพียงมีพยานก็สามารถเปลี่ยนโอนโฉนดที่นาให้กับเ้าของอีกคน โดยไม่อาจไปฟ้องกับหน่วยงานราชการได้”
เพราะว่าโฉนดส่วนตัวสามารถเลี่ยงภาษีที่นา จึงไม่มีหน่วยงานราชการควบคุมดูแล
“ภาษีนั้นหนักไปหน่อย ที่นาหนึ่งร้อยไร่ของเราก็จ่ายแค่ห้าสิบตำลึง โชคดีที่ตอนนั้นเอาจากเ้าไปห้าร้อยตำลึง นี่เป็เพราะว่าไม่ใช่ที่นาดี ได้ยินว่าหากเป็ที่นาดีจะต้องจ่ายภาษีมากกว่า” หลิวซานกุ้ยคิดว่าจ่ายไปเปล่าๆ ห้าสิบตำลึง พลันรู้สึกปวดใจ
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าท่าทางของเขาน่าขบขัน แต่ก็เกรงว่าหากหัวเราะออกมาจะทำให้ท่านพ่อหงุดหงิด จึงกลั้นขำไว้ “เพียงแค่จ่ายเงินซื้อความสบายใจ ที่นาเหล่านี้ต่อไปจะต้องเก็บไว้ให้น้องชายสองคนของข้า”
จางกุ้ยฮัวอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เก็บไว้ในใจ
หลิวเต้าเซียงยิ้มเบาๆ “ท่านแม่ ข้ายังเด็ก ท่านพี่อีกสองสามปีถึงจะออกเรือน ถึงอย่างไรก็มีสินเ้าสาวดีๆ ให้พวกข้าได้อยู่แล้ว”
จางกุ้ยฮัวนึกถึงรายได้ของปีที่แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ปรากฏชัดเจนขึ้น ในใจของนางไม่ว่าจะบุตรชายหรือหญิง ต่างก็เป็เืเนื้อที่นางรักใคร่เอ็นดูทุกคน
“น้องของพวกเ้าเป็เด็กผู้ชาย เติบโตขึ้นมาก็ต้องพึ่งพาตัวเอง พวกเ้าเป็ผู้หญิง หากว่าสินเ้าสาวน้อยเกินไป ออกเรือนไปคงยากที่จะยืนบนลำแข้งตัวเองได้อย่างมั่นคง”
เมื่อหลิวเต้าเซียงได้ยิน ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าที่ท่านย่าคอยด่าว่าตนเองคือเด็กล้างผลาญก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล
บิดามารดาคนใดเล่าที่ไม่รักใคร่บุตรสาว?!
เพื่อไม่ให้บุตรสาวที่ออกเรือนไปต้องมีชีวิตที่ยากลําบากหลังแต่งงาน ย่อมต้องตระเตรียมสินเ้าสาวให้มาก
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ครอบครัวเราจะมีเงินยิ่งๆ ขึ้นไป อีกอย่างมีที่ดินเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยไร่ไม่พอ ข้าว่าปีหน้า เราอาจจะได้ซื้อที่นาที่อื่นเพิ่มขึ้นอีกมากมายก็เป็ได้”
-----
เชิงอรรถ
[1] ซวีซุ่ย虛歲 อายุเทียม หรือ เฮ้อห่วย คือการนับอายุหลังจากคลอดได้ 1 วันก็นับอายุเป็ 1 ขวบ เนื่องจากรวมอายุในครรภ์ด้วย 10 เดือน ให้นับเป็ 1ปี และไม่ว่าจะคลอดในวันไหนเดือนไหนก็ตามเมื่อพ้นวันตรุษจีนคือวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติจีนก็ให้นับเพิ่มไปอีก 1 ขวบ
หม่านซุ่ย 满岁อายุเต็ม หรือ อายุแท้實歲สือซุ่ย (ซิกห่วย) บางทีก็เรียกว่า 周歲 โจวซุ่ย (จิวห่วย) ซึ่งการคือการนับอายุแบบปัจจุบันนั่นเอง คือนับจากวันเดือนปีเกิดจากวันที่คลอดออกมาเป็การเริ่มนับวันที่ 1 จวบจนเมื่อครบรอบ 1 ปี คือวันเกิดของตนเองจึงนับเป็ 1 ขวบ ซึ่งใช้ระบบสุริยคติในการนับวันเดือนปี ดังนั้นจึงเป็การนับปีและอายุแบบสากลทั่วไป โดยมีหลักกฎหมายรองรับในการนับอายุ เช่น การนับอายุผู้เยาว์ การบรรลุนิติภาวะ การแต่งงานและการรับบุตรบุตรธรรมเป็ต้น ฯลฯ ส่วนทางการแพทย์ก็ใช้วิธีนี้นับอายุเช่นเดียวกัน ในการวัดความเจริญเติบโตของทารกในวัยต่างๆจนกระทั่งเป็ผู้ใหญ่และวัยชราและวินิจฉัยโรคต่างๆตามวัยอายุ