"ไม่เพียงแต่ไร้สำนึก แต่ยังกล้าตีแม่ฉันต่อหน้า และพ่นคำดูถูกใส่? เฉินหลง! มือข้างที่แกใช้ทำร้ายแม่ฉัน ฉันจะตัดมันทิ้งพรุ่งนี้! วันนี้มีพิธีมงคล ฉันไม่้าเห็นเื จะเมตตาให้แกเก็บมือไว้ได้อีกวัน"
สิ้นเสียง เฉินเฟิงที่ไม่รอช้าพลันลงมือทันใด
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ฟาดฝ่ามือสองครั้งใส่หน้าเฉินหลงและเฉินขวงติดต่อกันอย่างแรง
"เพี๊ยะ...เพี๊ยะ..."
เสียงตบดังกังวาน
แรงมหาศาลของเฉินเฟิงทำให้เฉินขวงและเฉินหลงพ่อลูกตัวหมุนไปรอบๆ
ใบหน้าทั้งสองบวมเป่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"ไอ้ลูกทรพี..."
เฉินหลงหมุนตัวตามแรงอยู่นาน ก่อนจะหยุดลง แล้วใช้มือขวาปิดหน้าที่บวมแดงด้วยความโกรธ
"อย่ามาปากดี แกไม่ใช่พ่อฉัน ในอดีตก็เป็แกด้วยนี่ ที่ใช้ฐานะผู้นำตระกูลออกคำสั่งขับไล่ฉัน! ดูจากท่าทางที่แกตีแม่ไม่กะพริบ คงจะลงไม้ลงมือกับแม่ของฉันมาหลายครั้งแล้วสิ..."
เฉินเฟิงตอบกลับอย่างเ็า น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่พูดยังไม่ทันจบดี เขาก็ตบไปที่หน้าอีกข้างของเฉินหลงอย่างรุนแรง
เฉินหลงที่โกรธแทบขาดใจถูกเฉินเฟิงตบอย่างหนักจนทั้งหน้าทั้งตัวหันไปในทิศทางตรงข้าม
แม้สมาชิกในตระกูลบางส่วนจะรู้ว่าเฉินเฟิงไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเฉินหลง
แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะในอดีตชื่อของเฉินเฟิง ตัวเฉินฉางชิงเป็คนตั้งให้ด้วยตนเอง โดยตั้งตามชื่อพี่ชายของเขา เฉินเฟิง
ดังนั้นแม้เฉินเฟิงในปัจจุบันจะไม่ใช่สายเืตระกูลเฉิน
แต่เพราะเป็สายเืของหลินชิง เขาจึงได้รับการเลี้ยงดูในฐานะผู้สืบทอดเป็เวลานานถึงแปดปี
ยิ่งกว่านั้น ตัวหลินชิงเองก็มาจากตระกูลที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเฉิน
ยี่สิบเจ็ดปีก่อน เธอหนีมาเมืองเจียงเฉิงในขณะที่ตั้งครรภ์ จนได้พานพบกับเฉินหลงผู้มีสภาวะมีน้ำเชื้อแต่ไม่มีตัวอสุจิ [1]
แม้ว่าแม่ของเขาจะไม่เคยบอกเื่นี้กับเขา แต่ใน่หลายปีที่อยู่ในหุบเขาหมอยาะและสนามรบ เฉินเฟิงก็สืบหาที่มาของตัวเองได้
เฉินเฟิงยังรู้ด้วยว่าพ่อแท้ๆ ของเขามาจากตระกูลใหญ่ที่ยิ่งใหญ่เหนือตระกูลหลินขึ้นไปอีก
ด้วยเหตุนี้ เฉินเฟิงจึงเกลียดชังตระกูลผู้ทรงอำนาจ ไม่ว่าจะตระกูลเย่ ตระกูลเฉิน ตระกูลหลิน และตระกูลของพ่อแท้ๆ ตระกูลอันยิ่งใหญ่เหนือใคร
สักวันหนึ่ง เฉินเฟิงต้องหาเวลากลับไปทักทายตระกูลฝ่ายพ่อเสียหน่อย
เขาต้องไปเผชิญหน้ากับพ่อแท้ๆ ที่ไม่เคยพบหน้า เพื่อถามเขาว่า ทำไมถึงทอดทิ้งเขากับแม่
ตัดกลับมาปัจจุบัน สองฝ่ามือของเฉินเฟิงนี้เปรียบเสมือนการตั้งคำถามกับพ่อเลี้ยงอย่างเฉินหลงที่เลี้ยงดูเขามาเพียงแปดปี
เป็คำถามว่า ทำไมมันถึงตัดสินใจทำตามคำสั่งเฉินขวง ทำไมถึงทอดทิ้งเขาที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็โรคชีพจรเก้าหยางตอนแปดขวบ!
เฉินขวงที่อายุเจ็ดสิบแล้ว ฟื้นสติจากความงุนงงที่ถูกเฉินเฟิงตบหน้าอย่างแรงจนหมุนไปรอบๆ ก่อนหน้าแล้วชี้หน้าด่าทอเฉินเฟิงด้วยโทสะ
"เฉินเฟิง แกนี่มันอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ... ฉันคือปู่ของแก กล้าดียังไงถึงกับตีฉัน"
เฉินเฟิงเหมือนกับได้ยินเื่ตลกที่สุดในใต้หล้า เขาจึงเงยหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น
"ปีนั้นแกฉวยโอกาสตอนที่ปู่ทวดเฉินโช่วผู้รักฉันที่สุดกำลังปิดด่านฝึกตน เมื่อรู้ว่าฉันป่วยเป็โรคชีพจรเก้าหยาง แกในฐานะผู้นำตระกูลคนที่ถูกฉันเรียกเป็ปู่เฒ่ามานานถึงแปดปี และเป็คนแรกที่ตีตราสั่งพ่อไม่ได้ความของฉัน สั่งให้มันขับไล่ฉันต่อหน้าคนทั้งตระกูล ปล่อยให้ฉันที่อายุเพียงแปดขวบตายตามยถากรรม ตอนนี้ฉันตีแกหนึ่งที แกกลับเรียกฉันว่าเป็บุตรทรพี งั้นถ้าฉันฆ่าแกทิ้งเสียเลยดีกว่าไหม? ฉันจะได้ไม่ต้องแบกรับชื่อเสียงบุตรทรพีฆ่าบรรพบุรุษโดยเปล่าประโยชน์"
ได้ยินเช่นนี้ จ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนผู้ซึ่งอดทนอดกลั้นความโกรธไว้จนขีดสุด ในที่สุดก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าเฉินเฟิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังดังฟังชัด
“นายน้อย! ศักดิ์ศรีของหุบเขาหมอยาะเรา มิอาจปล่อยให้สุนัขเฒ่าอย่างเฉินขวงทำให้มัวหมองได้ เขาเหยียดหยามพวกเราสามคนว่าเป็เด็กน้อยไร้ความสามารถ ซ้ำยังหัวเราะเยาะเราที่ไม่ลงไม้ลงมือ แต่การฆ่าเขาก็ไม่ควรทำให้มือของท่านแปดเื ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อผู้สืบทอดตำแหน่ง 'เซียนแพทย์เทวะ' อย่างท่านในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อการนั้นแล้ว ได้โปรดให้เราสองศิษย์พี่เป็คนมือเปื้อนเื กวาดล้างตระกูลเฉินแทนหุบเขาด้วยเถอะ!”
เป็ครั้งแรกที่สองสาวงามจากหุบเขาหมอยาะไม่ได้เรียกเฉินเฟิงเป็ศิษย์น้อง แต่เรียกเขาด้วยตำแหน่งอันทรงเกียรติอย่าง 'นายน้อยแห่งหุบเขาหมอยาะ'
ยิ่งกว่านั้น ยังทำให้ชื่อ 'เซียนแพทย์เทวะ' ดังก้องไปทั่วตระกูลเฉินด้วย
ทันทีที่พวกเธอพูดจบประโยค จ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนเตรียมลงมือทันที โดยไม่สนว่าเฉินเฟิงจะยินยอมหรือไม่ พวกเธอ้ากำจัดไอ้แก่โง่เขลาเฉินขวงคนนี้ทันที
บุคคลที่มีความาุโสูงสุดของตระกูลเฉิน ผู้พูดเพียงสองประโยคตลอดทั้งเหตุการณ์อย่างเฉินโช่ว
เขาเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างไร้อารมณ์ ไม่ออกเสียงใดๆ เอาแต่ฟังบทสนทนาระหว่างลูกชายของเขากับหลานชายเฉินหลง และเหลนชายบุญธรรมเฉินเฟิงอย่างตั้งใจ
เหตุการณ์ตรงหน้านี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อเขาออกจากการปิดด่านฝึกตน เขาก็พบว่าเฉินเฟิงเหลนชายหัวแก้วหัวแหวนหายตัวไปแล้ว
ในตอนนั้นเฉินขวงอ้างว่าพ่อตัวจริงของเฉินเฟิงเข้าใช้กำลังพาตัวเขาออกจากตระกูล
ทว่าตระกูลฝั่งพ่อของเฉินเฟิงนั้น มีอำนาจเหนือล้ำยิ่งกว่าตระกูลเฉินมาก
แม้เฉินโช่วจะโกรธแค้นจนแทบคลั่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
มาวันนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ แท้จริงแล้วเหลนชายที่เขารักที่สุดเฉินเฟิง กลับถูกลูกชายแท้ๆ ของเขาขับไล่ไปนี่เอง
เหนือสิ่งอื่นใด
นามของ 'หุบเขาหมอยาะ' และ 'เซียนแพทย์เทวะ' จากปากจ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนทำให้เขาหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เพราะว่า 'เซียนแพทย์เทวะ' นั้น มีความาุโสูงกว่าบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลเฉินอย่าง'เฉินชางชิง' หรือท่านอา 'เฉินเฟิง' อีกหนึ่งรุ่น!
ตำนานขับขานไว้ว่า เซียนแพทย์เทวะแห่งหุบเขาหมอยาะ ในปีนี้มีอายุหนึ่งร้อยสี่สิบปีแล้ว และเตรียมมอบสมญานาม 'เซียนแพทย์เทวะ' ให้แก่ศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ต่อหน้าองค์จักรพรรดิัและเหล่าแม่ทัพแห่งอาณาจักรต้าหลง ณ เมืองหลวง
ในที่สุดเฉินโช่วก็รู้เสียทีว่า เหลนชายของเขา 'เฉินเฟิง' คนนี้ แท้จริงคือบุคคลสำคัญผู้ยิ่งใหญ่ที่จะสืบทอดตำนาน'เซียนแพทย์เทวะ' เขาจึงต้องเอ่ยปากพูดในที่สุด
"ศักดิ์ศรีของหุบเขาหมอยาะอันสูงส่ง ตระกูลเฉินเราไม่กล้าดูิ่ ผมเห็นว่าคนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ผมขอร้องสองเทพธิดา ปล่อยให้กระผม ชายชราผู้นี้จัดการเื่นี้ด้วยตนเอง... พวกท่านจะว่าอย่างไร?"
ได้ยินดังนั้น จ้าวเสี่ยวเยว่และหลี่ฉินหลวนจึงมองเฉินเฟิง เพื่อขอความเห็นจากเขา
"ท่านปู่ทวด... ผมเชื่อในความยุติธรรมของท่าน ในเมื่อท่านเอ่ยปากแล้ว ผมย่อมให้เกียรติท่าน ขอให้จัดการความผิดของลูกหลานด้วยตนเอง อย่างไรเสีย เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ท่านเป็ผู้ที่รักผมมากที่สุด..." เฉินเฟิงพยักหน้าพูดกับท่านปู่ทวดผู้มีอายุเก้าสิบปี
หลังจากได้รับการยินยอมจากเฉินเฟิง เฉินโช่วก็ไม่กล้าที่จะมองเขาเป็แค่เหลนชายอีกต่อไป แต่กลับเคารพเขาเสมือนว่าเป็คุณอาเฉินเฟิง
"กระผมรู้สึกละอายเกินกว่าจะคู่ควรกับคำว่าปู่ทวดจากท่าน... ต่อแต่นี้ไป ขอท่านมองเป็เพียงรุ่นน้องท่านก็พอ ในเมื่ออีกไม่กี่วันข้างหน้า ท่านจะรับสืบทอดทั้งหุบเขาหมอยาะและได้มาซึ่งสมญา 'เซียนแพทย์เทวะ'!"
เฉินโช่วคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วก้มตัวลงอย่างนอบน้อมตรงหน้าเฉินเฟิง
แต่เฉินเฟิงไม่อยากรับการคุกเข่าจากปู่ทวดของเขา เขาจึงเดินตรงไปหาแม่เพื่อหลบเลี่ยงการกระทำเช่นนั้นจากปู่ทวด
เชิงอรรถ
[1] ภาวะไม่มีตัวอสุจิในน้ำอสุจิ เป็สาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยากในเพศชาย
