“การพบเพื่อนเก่าในแดนไกลเปรียบเสมือนฝนที่สดชื่นหลังฤดูแล้งอันยาวนาน ค่ำคืนเทียนดอกไม้ในห้องหอ หงเย่าขอให้คุณชายรองสอบผ่านได้อันดับดีๆ เ้าค่ะ”
หงเย่ายกมือโค้งคำนับให้คนที่เอนกายดื่มชาอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวา
“เพียะ”
อิ้งหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้เหลือบมองนางอย่างเงียบๆ ยกมือที่ถือพัดขึ้นมาแล้วเคาะไปที่หลังมือของนางพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ถ้าไม่มีอะไรทำก็ไปอ่านหนังสือและฝึกอักษรไป มาพูดจาเหลวไหลอะไรที่นี่ อีกอย่าง เื่ที่ชิงเอ๋อร์สั่งทำรึยัง”
ยังไม่ประกาศผลเลยจะพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร หากใครรู้เข้ามีแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะ
“เอ่อ...” หงเย่าถูฝ่ามือที่ถูกเคาะจนแดงแล้วตอบกลับ “ทำแล้ว ๆ… เหยียนซานและเหยียนซื่อไปที่นั่นด้วยตัวเอง คุณชายวางใจเถอะ”
อิ้งหลีพยักหน้า “อือ”
หงเย่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง “คุณชายรอง อยากจะเขียนจดหมายแจ้งคุณชายสามหรือไม่?”
อิ้งหลีส่ายหน้า “ไม่ต้อง หลังจากประกาศผลสอบไม่กี่วันพวกเราก็จะได้กลับบ้านแล้ว”
หงเย่าผายมือ
“เ้าค่ะ ข้าเองก็คิดถึงคุณชายสามกับฮูหยินแล้ว”
อิ้งหลีหยักหน้า “เป็ครั้งแรกที่ออกจากบ้านนานขนาดนี้ ก็เป็กังวลอยู่เล็กน้อย พรุ่งนี้เ้าไปช่วยข้าเลือกของด้วย เอากลับไปฝากท่านแม่”
หงเย่า “เ้าค่ะ”
“คุณชาย คุณชายเซียวมาขอพบอยู่นอกประตูขอรับ เชิญคุณชายออกไปคุยด้วยขอรับ”
คนเฝ้าประตูเดินเข้ามาแจ้ง หงเย่าตาเป็ประกายมองอิ้งหลี
อิ้งหลีอึ้งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบาง “เ้าไปบอกเขา เดี๋ยวข้าตามไป”
หลังจากคนเฝ้าประตูจากไป อิ้งหลีก็เก็บรอยยิ้มแล้วกุมหัวก่อนจะลุกขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้าและกวาน
หงเย่าก้าวเข้ามาจัดระเบียบเสื้อผ้าก็อดพูดหยอกล้อไม่ได้ “เหตุใดคุณชายดูไม่ดีใจเลยเล่า ? เกรงว่าคุณชายเซียวกับคุณชายหวางจะมาด้วยกัน”
อิ้งหลียิ้มขมขื่น
“ก็เพราะพวกเขามาด้วยกันข้าถึงได้ปวดหัว ฮ่องเต้วิ่งออกมาจากวังเพื่อมาหาข้าพาข้าไปกินดื่มเที่ยวเล่นสนุกไม่จบไม่สิ้น เซียวอวิ๋นมู่อยากจะฉีกข้าเป็ชิ้นๆ เต็มทีแล้ว”
หงเย่าบุ้ยปาก
“ไม่กลัว คุณชายมีฮ่องเต้คอยปกป้อง เซียวอวิ๋นมู่นั่นไม่พอใจอย่างไรก็ต้องยั้งไว้ อีกอย่าง ต่อไปเ้าก็อาจได้เป็คนมีชื่อเสียงที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ตราบใดที่ฮ่องเต้มีความสุข คนอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจ ใครยังจะกล้ามาหาเื่?”
“เ้าเด็กคนนี้” อิ้งหลีใช้พัดเคาะหัวของนางไปหนึ่งที “คำพูดของเ้าเหตุใดถึงได้ฟังดูน่าเกลียดจริง”
หงเย่าถูกหน้าผากอย่างไร้เดียงสา
“อือ... ไม่ใช่สักหน่อย ข้าแค่รู้สึกว่าฮ่องเต้ก็ไม่ใช้ฮ่องเต้ที่หลงมัวเมาเอาแต่เล่น แต่น่าจะบังเอิญมีเวลาว่าพักผ่อนเท่านั้น และคิดว่าเ้าเป็เพื่อน”
“ใครจะรู้”
อิ้งหลีเม้มปากและถอนหายใจ จิตใจฮ่องเต้ยากคาดเดา หลังจากมาถึงเมืองหลวงฮ่องเต้ก็มาเยี่ยมหลายครั้ง ทุกครั้งนอกจากการหาสถานที่ดื่มแล้ว เขายังบอกเื่ในราชสำนักกับเขาด้วย บางครั้งเขาก็จะพูดในสิ่งที่เขาคิด แต่ก็ไม่กล้าพูดมากเกินไป เป็สหายกับฮ่องเต้ก็เหมือนเป็สหายกับเสือ อย่ามองเพียงผิวเผินที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะทุกครั้งในใจของเขาจะเต้นรัวไม่หยุด
อิ้งหลีสั่งให้หงเย่าและองครักษ์เงาไม่ต้องตามไป ก่อนจะออกไปนอกเรือนเห็นรถม้าธรรมดาที่เซียวอวิ๋นมู่จัดไว้ และเห็นเซียวอวิ๋นมู่หน้าถมึงทึงที่อิ้งหลีเห็นจนชินแล้ว ทักทายกันอย่างเฉยชาและขึ้นไปบนรถม้า ไม่นาน รถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไป
ในรถม้าที่กว้างขวาง เฟิงจิงอี้สวมชุดคลุมสีดำธรรมดาดวงตาหรี่เล็กลงและเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ความเกียจคร้านและท่าทางสบายๆ ไม่อาจซ่อนความสูงส่งของเขาได้ เมื่อเห็นคนขึ้นมาในรถ เขาก็พูดอย่างเฉยเมย
“มาแล้ว”
อิ้งหลียกมือคำนับ “ถวายบังคมฝ่าา ให้ฝ่าารอนานแล้ว”
เฟิงจิงอี้เลิกคิ้ว “ที่นี่ไม่มีใคร ไม่ต้องมากพิธี ข้ามาโดยไม่ได้บอก รอนานก็สมควรแล้ว”
อิ้งหลีก้มศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “เป็เกียรติของกระหม่อมมาก ไม่รู้ว่าคืนนี้ฝ่าาอยากไปที่ไหน”
“อือ..” เฟิงจิงอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลังจากมองดูเขาด้วยรอยยิ้มก็ตอบไป
“ไปที่หอนางโลมเยียนจือ ตอนที่เ้ายุ่งกับการเตรียมสอบขุนนาง ข้าไม่ได้เชิญเ้า แต่ตอนนี้การสอบขุนนางผ่านไปแล้ว มิสู้ฉลองกันเสียหน่อย ถือว่าเป็การแสดงความยินดีกับเ้าล่วงหน้า”
นับั้แ่รู้จักตัวตนของเขา อิ้งหลีก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น ลดความหยิ่งยโสลงไปมาก ไม่เอ่ยหยอกล้อหรือโต้เถียง แม้แต่ทุกครั้งที่เขาดื่ม ทำเช่นนี้ต่างการคนในวังตรงไหน?
แม้ว่าเขาจะไม่ได้หวังว่าจะเป็เพื่อนสนิทเหมือนคนธรรมดา แต่หวังว่าจะพบคนที่เขาสามารถพูดคุยเื่ต่างๆ ได้กล้าพูดเื่ความลับแก่เขา อิ้งหลีมีพร์และเขาก็ชื่นชมมาก
“แค่ก ๆ...” อิ้งหลีก้มหน้าซ่อนความเขินอายเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างลังเล “จะไปดื่มที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่หอเยียนจือ”
เื่การสอบขุนนางนั้นเขาไม่พูดมาก ถึงอย่างไรตนก็มีความสามารถและมั่นใจ ว่าตนมีกำลังพอจะสอบได้ บวกกับฮ่องเต้พิจารณาด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้นี้ไม่เหนือกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ในฐานะฮ่องเต้้าพาเขาไปฉลองที่หอเยียนจือ วิธีการเช่นนี้มันประหลาดเกินไป
เฟิงจิ้งอี้ไม่สนใจคำพูดทัดทานของเขา “เหล้าดอกไม้ที่หอเยียนจืออร่อย”
อิ้งหลี “ให้คนไปซื้อมาก็ได้”
“หืม?” เฟิงจิงอี้ขมวดคิ้วจงใจกล่าว “เ้าบอกว่ามีแต่สตรีเท่านั้นถึงจะชงเหล้าได้อร่อยไม่ใช่หรือ?”
“ฝ่าา...” อิ้งหลียกมือขึ้นกุมหัว “อย่าหัวเราะเยาะกระหม่อมได้หรือไม่?”
ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาตลอดชีวิตอาจถูกทำลายลงเพราะความไม่รู้ที่พาฮ่องเต้ไปดื่มเหล้าที่หอนางนางโลม
เฟิงจิงอี้ยกมือขึ้นปิดปากตน ไม่นานก็พูดว่า
ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของเ้า ข้าไม่เคยไปที่หอเยียนจือ ข้าสนใจมากจริงๆ คราวที่แล้วที่เมืองฝูซังได้ยินชื่อเสียงมานาน ไม่รู้ว่าจะยินข่าวที่ข้าไม่เคยได้ยินตอนอยู่ในวังหรือไม่?”
อิ้งหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา แม้ว่าจะมีสีหน้าอยากจะเอ่ยถาม ก็หยุดไป ถ้าอยากสืบข่าวอะไรก็ส่งคนสนิทมาสอบถามก็พอแล้วกระมัง
“ข้ารู้ว่าเ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มีบางเื่ ข้าอยากจะลองไปเองเห็นเองกับตา อิ้งหลี เ้าเอาท่าทางที่รู้จักข้าตอนแรกออกมาใช้เถอะ ข้าชอบมุมมองที่ไม่เหมือนใครของเ้าที่มีต่อเื่ต่างๆ”
เพราะร่างกายเคยอ่อนแอ จึงได้แต่เฝ้ามองชีวิตของผู้คนในหอกิเลน ปกครองแคว้นด้วยการอ่านฎีกา แม้แต่ประตูวังยังออกไปไม่ได้ ไม่ว่าความคิดจะพิถีพิถันเพียงใด วางกลยุทธ์สมบูรณ์แบบเพียงใด แต่ก็รู้สึกว่าตนไม่ได้มีอำนาจเต็มที่
ความเสียใจในอดีต สุดท้ายก็จะกลายเป็ข้อเสียในที่สุด หลังจากวังไห่เฉียวถูกลอบสังหาร ความตื่นตัวต่ออันตรายก็แข็งแกร่งขึ้น คอยเตือนสติเขาตลอดเวลาว่าใต้ผิวน้ำที่สงบยังมีระลอกคลื่นที่ปั่นวนอยู่ ทำให้เขาตระหนักว่าการทำตามกฎเกณฑ์ไม่สามารถสร้างความมั่นคงได้อย่างแท้จริง เขาต้องวางแผนใหญ่ และมีอำนาจคอยหนุนหลัง และตระกูลเหยียนคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
หลังจากได้รับสูตรยาจากเหยียนชิง โรคเรื้อรังที่มีมานานก็ถูกขจัดออกไป เขาก็มั่นใจแล้วว่าจะเลือกตระกูลเหยียน ฮ่องเต้ทุกพระองค์ย่อมมีการเลี้ยงคนที่ไว้ใจได้เอาไว้ ถ้าเหยียนชิง อิ้งหลีและเว่ยซูหานสามารถช่วยเหลือเขาได้ ร่วมมือกันทำลายกฎเกณฑ์ที่ตายตัว จะมีอะไรไม่ดี
อิ้งหลีตั้งใจฟังเขา หลังจากวิเคราะห์แล้วก็ส่ายหัว “กระหม่อมไม่เคยเข้าไปในราชสำนัก ไม่เข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้ กระหม่อมไม่กล้าพูดปด”
เฟิงจิงอี้โบกมืออย่างจนใจ
“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นเื่นี้เราค่อยพูดกันอีกทีตอนเ้าเข้าไปในราชสำนัก… แต่ เ้าคิดไว้หรือไม่ว่า้างานอะไร? เ้าพูดมา ข้าจะให้ตามที่เ้า้า”
อิ้งหลีตอบโดยไม่คิด “ไม่ได้คิดไว้พ่ะย่ะค่ะ แล้วแต่ฝ่าาจะจัดให้”
เป็สหายกับฮ่องเต้ก็เหมือนเป็สหายกับเสือ เขาไม่กล้าปีนขึ้นเสาที่ฮ่องเต้มอบให้ ยิ่งปีนสูงเท่าไหร่ เมื่อตกลงมาก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น
เฟิงจิงอี้รู้ว่าเขาจะตอบเช่นนี้ จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าขอพูดตามตรง ได้ยินว่าเ้าเป็สหายของเหยียนชิงั้แ่เด็ก ตอนเด็กเหยียนชิงร่างกายอ่อนแอ ส่วนใหญ่จะเป็เ้าที่ไปเรียนหนังสือแล้วนำกลับมาสอนเขาอีกที เ้าคงเป็อาจารย์ที่ดีมาก อีกอย่างเ้าเก่งทั้งด้านบู๊และบุ๋น มิสู้มาเป็ราชครูให้เหล่าองค์ชายที่ตำหนักเหวินหัวดู”
อิ้งหลีใ “ราชครูตำหนักเหวินหัว?”
นี่คือตำแหน่งราชครูของฮ่องเต้ในอนาคต คุณสมบัติของเขาตอนนี้แม้แต่ทหารธรรมดายังยากจะควบคุม
เฟิงจิงอี้พูดอย่างจนใจ
“ราชครูเฒ่าอายุมากแล้ว ยากจะควบคุมเหล่าองค์ชายที่ซุกซนเ่าั้ เพราะความซนของพวกเขา ราชครูได้เชิญหมอหลวงมาดูอาการหลายครั้งแล้ว ข้ากังวลว่าจะเกิดการสูญเสียก่อน”
“ราชครูเฒ่าสอนเซียนตี้และข้ามาทั้งชีวิตแล้ว ตราประทับราชครูของฮ่องเต้บนฝ่ามือ เป็ราชครูของฮ่องเต้แห่งแคว้นเทียนซูอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ควรปล่อยให้เขาไปใช้ชีวิตบั้นปลายแล้ว เขาเป็คนขอให้ข้าเลือกคนมารับ่ต่อ และข้าก็คิดว่าเ้าสามารถทำงานนี้ได้”
เมื่อกล่าวจบ ก็มองไปที่อิ้งหลีซึ่งมีสีหน้าประหลาดใจ เขามองคนไม่ผิดแน่ ในหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เขาได้พูดคุยกับราชครูเฒ่าไม่น้อย ข้อมูลที่สืบว่าชายชรายังชื่นชมในความสามารถและความฉลาดของอิ้งหลี
อิ้งหลีไม่ได้พูดอะไรมากเพราะเขาดูเหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาถอนสายตากลับมาและยกมือคำนับ “กระหม่อมขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าา จะต้องทำอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น อย่างไรเสียการทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจคงไม่ใช่เื่ดีนัก เมื่อถึงเวลาค่อยบอกลาแล้วกัน
“ถึงแล้ว เชิญคุณชายทั้งสองลงจากรถม้า”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ พวกเขาก็มาถึงที่หมายแล้ว ได้ยินเสียงของเซียวอวิ๋นมู่ดังอู้อี้ รถม้าก็หยุดในที่มืด เฟิงจิงอี้หยิบหมวกสีดำที่เขามักใช้ในการปลอมตัวขึ้นมาสวมใส่ ก่อนที่จะลงจากรถ อิ้งหลีก็เดินเข้าประตูหอเยียนจือตามเขาไป เซียวอวิ๋นมู่หาที่ซ่อนเพื่อคอยปกป้องอยู่ในที่มืด
ไม่ต้องพูดถึงความสง่างามในชุดสีขาวของอิ้งหลี เฟิงจิงอี้สวมหมวกไม้ไผ่ขณะเดินเล่นรอบหอนางโลมในตอนกลางคืนก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจ
ความสง่างามของทั้งสองคนนั้นโดดเด่น เมื่อเดินเข้ามาก็ถูกห้อมล้อมด้วยหญิงคณิกา อิ้งหลีไปหอนางโลมมาไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เพราะงาน เฟิงจิงอี้อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสถานที่แบบนี้ ทั้งคู่ไม่ได้มาเพื่อหาสตรี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อ่อนไหวกับสตรีเหล่านี้
ขณะที่อิ้งหลีกำลังคิดว่าจะปกป้องฮ่องเต้ไม่ให้ถูกกลุ่มหญิงคณิกาเข้ามาวุ่นวาย เงาร่างระหงงดงามซึ่งโดดเด่นกว่าฝูงชนกำลังเดินลงมาจากบันได อิ้งหลีรู้สึกว่านางคุ้นตายิ่งนัก ขณะที่คิดอยู่ หญิงงามผู้มีดวงตาเป็ประกายก็เดินเข้ามาคำนับเขา
“บ่าวขอคารวะคุณชาย คุณชายจำบ่าวได้หรือไม่?”
อิ้งหลียังไม่ทันได้สติ รอบตัวมีแต่เสียงหึ่งๆ
“แม่นางซือซือ...”
“แม่นางซือซือเป็ฝ่ายเริ่มสนทนาช่างโชคดีจริงๆ...”
“……”
ในที่สุดอิ้งหลีก็ได้สตินึกออกว่านางคือซือซือมารับ่ต่อเยว่ฉาน ใน่เทศกาลไหว้พระจันทร์เมื่อปีที่แล้ว เหยียนชิงขอให้เขาตรวจสอบว่า เยว่ฉานตายแล้วจริงหรือไม่ ตอนนั้นหมดเงินไปไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวนางนี้จะยังจำเขาได้
