เมื่อรถจอดสนิท คังอิงก้าวลงมาจากรถกวงเปิ่นของตัวเอง เห็นฝั่งตรงข้ามมีรถ BMW ซีรีส์ 7 คันหนึ่งจอดอยู่ เ้าของกิจการเป็หญิงร่างท้วมก้าวลงมาจากรถ แม้รูปลักษณ์จะดูด้อยกว่าคังอิง แต่การที่เธอขับรถราคาแพงทำให้ดูสง่างาม ในมือถือกระเป๋าแอร์เมสที่ราคาเทียบเท่ากับเงินดาวน์บ้านของคนทั่วไป พอเห็นคังอิงเดินลงมาจากรถกวงเปิ่น เธอเหลือบมองแวบหนึ่ง ก่อนจะกวาดตามองรถกวงเปิ่นของคังอิงอย่างรวดเร็ว ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
คังอิงไม่ได้รู้สึกอับอายแต่อย่างใด แต่เธอกลับเห็นว่าพอผู้หญิงคนนั้นลงจากรถก็มีพนักงานของโรงแรมรีบเข้ามาต้อนรับอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะพาหล่อนเข้าไปในโรงแรม ส่วนตัวคังอิงที่ลงมาจากรถกวงเปิ่นกลับถูกเมินเฉย
เมื่อเข้าไปในห้องประชุม คังอิงเห็นหญิงเ้าของกิจการคนนั้นกำลังพูดคุยอย่างออกรสกับผู้บริหารระดับสูงหลายท่าน พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ดูแล้วหญิงคนนั้นไม่ได้มีระดับฐานะหรือออร่าด้อยไปกว่าคนเ่าั้เลยสักนิด
ความจริงแล้วคังอิงรู้จักหญิงเ้าของกิจการคนนี้ หล่อนกำลังประสบปัญหาวิกฤตทางการเงิน บริษัทของหล่อนกำลังจะล้มละลาย แต่คนทั่วไปที่ไม่ได้รู้จักหล่อนดี มักจะตัดสินฐานะทางการเงินของหล่อนจากการแต่งกายและรถราคาแพงที่อีกฝ่ายใช้…
ด้วยบุคลิกท่าทางของหญิงเ้าของกิจการคนนี้ ไม่แน่ว่าวันนี้หล่อนอาจจะดึงดูดนักลงทุนได้หนึ่งถึงสองคน และช่วยเหลือให้บริษัทของหล่อนรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้
ทันใดนั้นคังอิงก็รู้ตัวว่าการรักษาภาพลักษณ์นั้นเป็สิ่งสำคัญสำหรับนักธุรกิจ
ในอดีตหุ้นส่วนทางธุรกิจของเธอมีระดับใกล้เคียงกัน การที่ทุกคนสามารถขับรถกวงเปิ่นได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หลังจากธุรกิจของเธอประสบความสำเร็จมากขึ้น เธอไม่ได้อยู่ในระดับธุรกิจครอบครัวแบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่ความคิดของเธอกลับยังคงติดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ
คังอิงพลันเข้าใจขึ้นมาทันที สำหรับนักธุรกิจแล้วภาพลักษณ์ก็คือเงินทอง ภาพลักษณ์คือโอกาสทางธุรกิจ เพราะแบบนี้การสร้างภาพลักษณ์จึงเป็สิ่งสำคัญ
หลังจากที่งานสังสรรค์ทางธุรกิจครั้งนี้จบลง เธอก็รีบไปซื้อรถเบนซ์รุ่นท็อปราคาล้านกว่าหยวนมาขับ ทั้งยังใส่ใจการแต่งกายด้วยสินค้าแบรนด์เนมมากขึ้น
นับั้แ่ที่เธอเปลี่ยนมาขับรถราคาแพง เธอก็รู้สึกว่าสิ่งที่เธอได้รับหลังจากออกจากบ้านนั้นแตกต่างจากเดิม ไม่ว่าจะไปบริษัทไหน พอหุ้นส่วนทางธุรกิจเห็นเธอขับรถราคาแพงแบบนี้ แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงท่าทางอิจฉา เพราะทุกคนมีฐานะใกล้เคียงกัน แต่พวกเขาก็ยอมรับกำลังทรัพย์ของเธอในใจ
คังอิงค่อยๆ เข้าใจ คนทำธุรกิจคงไม่มีทางหยิบสมุดเช็ก ใบรับรองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน หรือสเตตเมนต์ธนาคารของตัวเองออกมากางให้คนอื่นเห็น เพื่อบอกว่าฉันมีฐานะแบบไหน คุณต้องเชื่อว่าฉันมีศักยภาพที่จะทำธุรกิจนี้…
เพราะฉะนั้นรถราคาแพง เสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพง บุคลิกท่าทางที่ดี และภาพลักษณ์อันสูงส่งคือ ‘นามบัตร’ ที่ดีที่สุดของพวกเขา
หลังจากที่คังอิงเข้าใจเื่นี้ เธอจึงจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านภาพลักษณ์ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็กระเป๋าแอร์เมส เสื้อผ้าชาแนลสั่งตัด น้ำหอมแบรนด์ดัง เครื่องประดับหรูหรา…
เมื่อชีวิตของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ เธอก็กลายเป็ ‘ตู้เซฟเคลื่อนที่’ ในสายตาของคนอื่น
ในการเจรจาทางธุรกิจของเหล่าชนชั้นสูง พวกเขามักประเมินฐานะของอีกฝ่ายจากการแต่งกายและบุคลิกท่าทาง
แน่นอนว่าการสร้างภาพลักษณ์อย่างเหมาะสมและไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็เป็บทเรียนบังคับอีกบทหนึ่งที่คังอิงต้องเรียนรู้เช่นกัน
จากประสบการณ์ในชาติที่แล้ว คังอิงคิดว่าการที่เธอขอให้สือเจียงหยวนซื้อรถกับเพจเจอร์ให้เธอนั้นเป็สิ่งที่จำเป็ เพราะหากลงทุนกับภาพลักษณ์เพียงหนึ่งล้านหยวน มันก็จะสร้างผลกำไรให้เธอถึงสิบล้านหยวน หรือแม้แต่ร้อยล้านหยวนเลยทีเดียว
แน่นอนว่าการรักษาภาพลักษณ์ของผู้บริหารเป็เพียงแค่ด้านหนึ่งของความสำเร็จของบริษัทเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งของตัวบริษัทเอง หากมีเพียงแค่ภาพลักษณ์ที่หรูหรา แต่ไม่มีรากฐานที่มั่นคง ก็เปรียบเสมือนแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
หลังจากที่คังอิงออกจากสำนักงาน เธอก็ปั่นจักรยานไปได้สักพัก แล้วก็เห็นที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอำเภอหลี่ว์อยู่ตรงหน้าพอดี เธอจึงลงจากจักรยานแล้วเดินเข้าไปเพื่อจะสั่งจองหนังสือพิมพ์และนิตยสารสองสามฉบับ
ไปรษณีย์โทรเลขยังคงเป็หน่วยงานที่เฟื่องฟู แต่หลังจากผ่านไปสองสามปีคงต้องแยกกิจการออกจากกัน ตอนนี้ไปรษณีย์กับโทรศัพท์ยังคงรวมเป็หนึ่งเดียว แต่พอแยกกิจการออกจากกันแล้ว ไปรษณีย์จะเริ่มตกต่ำ ส่วนโทรคมนาคมกลับเฟื่องฟูยิ่งกว่าเดิม
เหตุผลที่รู้ว่าไปรษณีย์โทรเลขยังคงมีผลกำไรดี เป็เพราะพ่อของเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งของคังอิงได้รับเงินชดเชยจากการแยกกิจการของไปรษณีย์โทรเลข แล้วเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนทำธุรกิจ เงินก้อนนั้นมีมากกว่าหนึ่งแสนหยวน ซึ่งถือว่าเป็จำนวนเงินที่มากมายมหาศาลในยุค 90 ทำให้พนักงานวัยกลางคนจำนวนมากยอมลาออกจากงาน
“คุณ้าจอง ฉวี่เจียงรายวัน หนานเฟิงซวง, จงซาน, ป้านเย่ว์ถาน, ซานเหลียนเซิงหัวรายสัปดาห์, คั่นซื่อเจี้ย, แอล ทุกฉบับเลยหรือคะ?”
พนักงานขายของไปรษณีย์โทรเลขเอ่ยถามคังอิงอย่างสงสัย
เธอคิดว่า นิตยสารการเมืองอย่างป้านเยว่ถัน มักจะเป็หน่วยงานของรัฐบาลที่จอง บุคคลทั่วไปมักจะไม่ค่อยจองกันเท่าไหร่นัก ส่วนนิตยสารแฟชั่นอย่างแอลทั้งแพง แถมยังมีแค่ภาพสวยๆ ลูกค้าคนนี้ช่างแปลกจริงๆ…
คังอิงพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “จองทุกฉบับเลย!”
เพราะอ่านนิตยสารการเมือง ถึงจะสามารถรู้ถึงนโยบายและทิศทางต่างๆ ของประเทศ การทำธุรกิจใดๆ หากไม่คำนึงถึงนโยบายของประเทศ ย่อมต้องขาดทุนอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น หากรัฐบาลส่งเสริมเื่การปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่เธอกลับไปทำโครงการที่ก่อมลพิษอย่างรุนแรง นั่นไม่เท่ากับเป็การหาเื่ตายใส่ตัวเองหรือ?
ส่วนแอลนั้น เธอจองมันเพื่อที่จะได้เรียนรู้แฟชั่นในปัจจุบัน เธอคงไม่อาจแต่งตัวเชยๆ ออกไปข้างนอกแบบนี้หรอกนะ?
ดังนั้นความรู้ก็คือทรัพย์สมบัติ…
“ตกลงค่ะ เนื่องจากเป็การจองใน่กลางเดือน จึงไม่แพงมากนะคะ ทั้งหมดสองร้อยแปดสิบสามหยวนค่ะ” พนักงานขายคิดเงินอย่างคล่องแคล่ว
คังอิงจ่ายเงินอย่างไม่ลังเล เธอไม่เคยรู้สึกเสียดายเงินที่เสียไปกับการซื้อความรู้ แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็เงินเดือนของข้าราชการทั่วไปถึงหนึ่งเดือนครึ่งก็ตาม แต่ขอแค่เธอได้ข้อมูลที่เป็ประโยชน์เพียงข้อเดียวจากมัน เธอก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลแล้ว
คังอิงกลับมาถึงบ้านสันโดษแสนสงบด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเธอก็ใช้เวลา่บ่ายไปกับการทำความสะอาดบ้าน จนกระทั่งภายในบ้านสะอาดสะอ้าน เมื่อฟ้าเริ่มมืดลง เธอก็ทำก๋วยเตี๋ยวน้ำกินแบบง่ายๆ พอกินเสร็จก็รู้สึกว่าตัวเหม็นเหงื่อ จึงไปอาบน้ำ
หลังจากซักผ้า ตากผ้าเสร็จ คังอิงยังไม่ทันได้นั่งลงบนเก้าอี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก
เธอยังไม่ทันจะไปเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู ‘ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง’ ดังขึ้นหลายครั้ง ดูเหมือนคนข้างนอกจะใจร้อนมาก
คังอิงใกับเสียงกริ่งประตู เธอเพิ่งรู้ว่าในบ้านมีกริ่งประตูติดตั้งอยู่ด้วย ป้ารองของสือเจียงหยวนช่างไม่ธรรมดาจริงๆ การติดตั้งกริ่งประตูในตอนนี้ ถือว่าเป็สัญลักษณ์ของครอบครัวที่มีฐานะ เธอรีบเดินไปเปิดประตูแล้วก็ได้ยินเสียงของสือเจียงหยวนดังมาจากข้างนอก “คังอิง? อยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ค่ะ เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูให้”
คังอิงรีบเปิดประตูเหล็กออก สือเจียงหย่วนดูมีชีวิตชีวามากขึ้น สีหน้าที่เคยซีดเซียวเพราะเสียเืเริ่มมีเืฝาดขึ้นมาแล้ว าแบนหลังของเขาถูกตัดไหมไปเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้เขาสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างสะดวกแล้ว
แต่เขายังคงใช้มือขวาถือของอยู่ คงกลัวว่าาแที่หลังด้านซ้ายจะฉีกขาด คังอิงเห็นว่าเขากำลังถือของหนักๆ อยู่จึงถามขึ้นว่า “เอ๊ะ คุณถืออะไรมาน่ะ?”
ทุกครั้งที่สือเจียงหยวนมาที่นี่ เขาจะไม่มาตัวเปล่า คังอิงเริ่มชินกับการที่เขาชอบ ‘ถือ’ กับข้าวมาฝาก และทุกครั้งที่เขานำกับข้าวมา เธอก็จะเป็คนทำอาหารให้เขากิน คนทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงเื่เงินเลยสักคำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้