ชั่วขณะนั้นพวกเฝิงเจี่ยนนายบ่าวก็ถูกละเลยอยู่ที่ปากถ้ำ เกาเหรินะโขึ้นไปบนก้อนหินะโว่า “บ่าวสาวเข้าห้องหอ แม่สื่อถูกโยนทิ้งนอกกำแพง”
เฝิงเจี่ยนกำลังโยนกิ่งไม้เข้าไปในกองไฟ พอได้ยินก็เกือบจะโดนไฟลวกมือ วันหน้าเขาควรจะบอกผู้เฒ่าหยางให้ควบคุมเกาเหรินเรียนหนังสือให้เข้มงวดสักหน่อยหรือไม่ ปล่อยให้พูดจาเลอะเทอะเช่นนี้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
แต่เกาเหรินไม่สนใจ เขาหยิบห่อกระดาษไขออกมาจากอก แล้วค่อยๆ หยิบไส้กรอกยาวขนาดสามชุ่นออกมา เขายิ้มอย่างมีความสุขเตรียมจะโยนเข้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำเป็ไม่สนใจสายตาของเ้านายตนได้ จึงแบ่งให้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ...
สองนายบ่าวผิงไฟ กินไส้กรอกกันจนเสร็จแล้ว พวกนายพรานก็เสร็จงานเช่นกัน พวกเขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเสียมารยาท จึงพากันขึ้นหน้ามาขอบคุณแทนเสี่ยวเตา
“คุณชายเฝิง ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านจริงๆ ไม่เช่นนั้นเสี่ยวเตาคงไม่รอดแล้ว”
“นั่นน่ะสิ เ้าเด็กนี่ยามปกติก็มุทะลุ ท่านเป็ผู้ใหญ่อย่าได้ถือสาผู้น้อยอย่างเขาเลย”
ชัดเจนว่าทุกคนคงได้ฟังเื่ราวทั้งหมดจากปากเสี่ยวเตาแล้ว พวกเขานิยมชมชอบและนับถือในความใจกว้างของเฝิงเจี่ยนที่ไม่ถือสาเื่แต่หนหลัง ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสี่ยวเตา
“วันหน้าคุณชายเฝิงก็คือผู้มีพระคุณของหมู่บ้านเขาหมีเรา ไม่ว่าคุณชายเฝิงมีเื่อะไรก็บอกมาได้เลย”
“ทุกท่านเกรงใจแล้ว” เฝิงเจี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน เป็คนละคนกับที่ปลิดชีพเสือด้วยมีดสั้นเล่มเดียวอย่างสิ้นเชิง “ต่อให้เป็คนแปลกหน้าเจอความลำบากก็ยังต้องยื่นมือเข้าช่วย นับประสาอะไรกับคนในหมู่บ้านที่รู้จักกันเป็อย่างดี”
“นั่นสิ คนกันเองทั้งนั้น”
ทุกคนเห็นว่าเฝิงเจี่ยนไม่มีการวางท่ากับพวกเขาแต่อย่างใด เมื่อนึกถึงว่าก่อนหน้านี้ที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างค่อนข้างจะเ็าเล็กน้อยก็ให้รู้สึกผิดยิ่งนัก จึงยิ่งกระตือรือร้นขึ้น
“คุณชายเฝิง ท่านซัดมีดตัดขั้วหัวใจเสือในคราวเดียวได้จริงหรือ?”
“นั่นน่ะสิ ฝีมือล้ำเลิศจริงๆ”
“ยังมีเสือตัวผู้ตัวนี้อีก เปิดหน้าท้องในมีดเดียว ร้ายกาจจริงๆ”
ทุกคนพากันรุมล้อมเข้ามาถามไม่หยุด เฝิงเจี่ยนไม่ใช่คนพูดมาก แต่เขาก็ตอบคำถามของแต่ละคนไม่ให้ใครรู้สึกว่าถูกละเลย
รอจนทุกคนสงบลงบ้างแล้ว เฝิงเจี่ยนจึงเอ่ยขึ้นว่า “อีกสองชั่วยามฟ้าก็จะสางแล้ว ไม่สู้เอาหนังสัตว์ที่ล่าได้เข้าไปขายในเมืองเลยเป็อย่างไร จะได้ถือโอกาสพาเสี่ยวเตาไปรักษาด้วย”
“เื่นี้...”
ทุกคนเริ่มลังเลเล็กน้อย อย่างไรเสียเพิ่งเข้าป่ามาได้แค่วันเดียว ยังล่าอะไรได้ไม่มากนัก แต่หากไม่กลับตอนนี้ก็เกรงว่าเสี่ยวเตาจะอาการทรุดลง
ตอนที่กำลังลังเลอยู่นั่นเอง พรานหนุ่มที่เป็คนดูแลเสี่ยวเตาจู่ๆ ก็ร้องออกมา “แย่แล้ว เสี่ยวเตาตัวร้อนมาก”
“รีบไปตักน้ำมาเช็ดตัวให้เขา เร็วเข้า”
ทุกคนต่างพากันร้อนใจ ยังจะลังเลอะไรกันอีก ถึงแม้การยึดพื้นที่ดีๆ เพื่อล่าสัตว์จะเป็เื่สำคัญ เงินสำคัญ แต่พวกเขาชาวหมู่บ้านเขาหมีทั้งสิบแปดครัวเรือนนับว่าเป็ครอบครัวเดียวกัน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าลูกหลานพี่น้องของตัวเอง
พรานหนุ่มที่ไม่ได้ล่าอะไรติดไม้ติดมือกลับไป ก็ช่วยกันแบกหามเสือตัวใหญ่สองตัวนั้น ส่วนเกาเหรินแบกหมูป่า สองมือถือจิ้งจอก เขาวิ่งนำอยู่ข้างหน้าสุด พวกพรานหนุ่มน้อยที่เหลือสลับกันแบกเสี่ยวเตา ส่วนนายพรานที่เหลือก็แบกเหยื่อของตนเอง แล้วเดินออกจากป่าลึกออกมาพร้อมกัน
ลมที่พัดมายามเช้าในฤดูใบไม้ร่วงนั้นหนาวเย็น ทั้งยังมีหมอกลงจัด
ชาวบ้านต่างตื่นเช้าทยอยกันนำผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้เข้าเมืองมาเพื่อจ่ายภาษี จนที่ประตูเมืองแออัดไปหมด
พวกทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองเก็บค่าเข้าเมืองด้วยท่าทีเกียจคร้าน ทั้งยังะโดุชาวบ้านที่ต่อแถวเข้าเมืองมาเป็ระยะ โดยที่พวกชาวบ้านทำได้เพียงหัวเราะแหะๆ พลางก้มหัวให้
แน่นอนว่าหากเป็รถม้าคันใหญ่ที่จ่ายค่าผ่านทางมากกว่าคนอื่น ก็จะได้รับสิทธิ์เข้าเมืองก่อนใคร
ยามนี้เองจู่ๆ ก็มีขบวนประหลาดปรากฏขึ้นจากที่ไกลๆ พวกเขาเ่าั้ล้วนเป็นายพรานรูปร่างกำยำที่พับขากางเกงและแขนเสื้อขึ้นสูง ข้างเอวเหน็บดาบหรือไม่ก็มีดสั้นเอาไว้ บนหลังแบกคันธนูและกระบอกศรซึ่งมีหยดเืสัตว์ป่าแต้มอยู่
“โอ้โห พวกนายพรานเข้าเมืองแล้ว”
“ฤดูกาลล่าสัตว์ปีนี้เริ่มขึ้นแล้วหรือ? วันดีๆ ของเหล่านักล่าพวกนี้มาถึงแล้วสินะ”
“นั่นน่ะสิ ที่ไหนจะลำบากอย่างพวกเรา ผู้อื่นขึ้นเขายิงธนูส่งๆ ได้เหยื่อมาสักตัวสองตัวก็เงินเข้ากระเป๋าตุงแล้ว”
ชาวบ้านที่หน้าประตูเมืองทั้งอิจฉาทั้งริษยา พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นว่าแต่ละคนล้วนมีาแคนละเล็กคนละน้อย คนที่ถูกแบกอยู่คนนั้นถึงกับเืโชกเลยด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าถูกสัตว์ป่าโจมตี”
“เ้าตาบอดหรือไร ไม่เห็นเสือตัวใหญ่สองตัวนั่นหรือ คงไปเจองานหนักมาละสิ”
พวกชาวบ้านพูดคุยกันไป ส่วนคนที่นั่งอยู่ในรถม้าเ่าั้ต่างก็เป็พ่อค้าหนังสัตว์จากทางใต้ เมื่อเห็นสัตว์ที่แต่ละคนแบกอยู่บนบ่า ก็พากันตื่นเต้นจนแทบจะะโออกมา บอกให้คนขับรถม้าขับเข้าไปเลียบเคียง สอบถามว่าราคาเท่าไร
น่าเสียดายที่พรานกลุ่มนี้กำลังกังวลเื่อาการาเ็ของเสี่ยวเตา จึงไม่มีเวลามาสนใจเหล่าพ่อค้า บางคนถึงกับเตรียมชักมีดข้างเอว หากว่าทหารยามพวกนั้นเล่นแง่ไม่ยอมปล่อยให้เข้าเมืองง่ายๆ
สุดท้ายพวกทหารยามวันนี้กลับเปลี่ยนนิสัยอย่างไม่น่าเชื่อ รับเงินค่าผ่านทางแค่ไม่กี่สิบอีแปะตามกฎ ไม่แม้แต่จะ ‘ขอ’ เหยื่อที่พวกเขาล่ามาได้ไปเป็สินน้ำใจ
ชาวบ้านในหุบเขาหมีแปลกใจมาก แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องเอาของดีไปให้ผู้อื่นเสียเปล่าๆ
กลับเป็เฝิงเจี่ยนที่ดวงตาวาววับเ็า รอจนพวกเขาเดินผ่านเข้าไปแล้ว พวกทหารก็เข้าไปหาหัวหน้าพลางเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ เมื่อครู่นายพรานพวกนั้นได้ของดีมาไม่น้อย เหตุใดไม่ริบไว้สักหน่อย อย่างน้อยริบหนังกระต่ายไว้ให้พี่สะใภ้ทำอาภรณ์ก็ยังดีนี่ขอรับ”
“ไปไกลๆ เลย”
คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าของพวกเขาที่ยามปกติยิ้มแย้มหัวเราะเสียงดังอยู่เสมอ จะถลึงตาดุใส่ ด่าเสียงเบาว่า “เ้าตาบอดหรือ คิดอยากตายก็ไปตายเอง อย่าลากคนอื่นให้ต้องรับเคราะห์ด้วย พวกเ้าไม่ดูเสียบ้างว่าพวกเขาเป็นายพรานจากที่ไหน คิดจะลงมือมั่วซั่วเดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก”
ทหารสองคนที่ถูกดุมีสีหน้างงงวย ดีที่ยังมีสหายที่ทั้งขบขันและสะใจคอยอธิบายให้พวกเขาฟัง “คนพวกนั้นมาจากหุบเขาหมี ยามนี้เ้าเมืองของเรายังอกสั่นขวัญแขวนว่าจะสูญเสียอำนาจอยู่เลย สาเหตุก็เพราะพวกเขานี่แหละ เ้ายังคิดจะยื่นมือเข้าไปทำเื่ชั่วอีก ไม่ต้องรอให้ผู้ตรวจการมณฑลมาจัดการหรอก ท่านเ้าเมืองของเราคงจะโยนพวเ้าเข้าคุกไปก่อนแล้ว”
“จริงด้วย ข้าเลอะเลือนไปแล้ว”
ปล่อยให้พวกทหารยามวิจารณ์ไป ปล่อยให้พวกพ่อค้าปวดใจกันไป ทางด้านเสี่ยวเตาหลังจากถูกส่งเข้าไปในโรงหมอ ก็ถูกป้อนยาหนึ่งถ้วยจากนั้นก็ถูกถอดอาภรณ์ล้างแผล ทำแผลใส่ยาใหม่ ถึงแม้ไข้จะยังไม่ลด แต่ทุกคนก็เบาใจลง
พระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มแสดงท่าทีอ่อนล้าออกมา หน้าประตูโรงหมอมีศีรษะเล็กๆ ชะเง้อเข้ามาไม่หยุด เฝิงเจี่ยนจึงให้เกาเหรินออกไปต้อนรับเสียหน่อย
เกาเหรินยักไหล่เดินออกไปด้วยท่าทางไม่สนใจผู้ใดนัก เพียงไม่นานหน้าโรงหมอก็มีคนมาชุมนุมอยู่เต็มไปหมด
นายพรานบางคนสนใจออกไปดู แล้วจึงกลับมากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “พ่อค้าหนังสัตว์ทั้งหลายต่างมาออกันอยู่เต็มหน้าร้าน หรือว่าพวกเขาจะสนใจเหยื่อที่เราล่ามาได้?”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า “เมื่อครู่เกาเหรินได้แวะเวียนไปที่ร้านค้าเนื้อสดและหนังสัตว์ในตลาดเพื่อปล่อยข่าวออกไป ทำให้พวกเราไม่ต้องเหนื่อยเดินเร่ขาย”
เหล่านายพรานตื่นเต้นกันมาก เพราะยามปกติเป็พวกเขาที่แบกสัตว์ไปเร่ขาย ทั้งยังถูกกดราคาและดูถูกอีกต่างหาก
ยามนี้ถึงกับมีพวกเถ้าแก่มารอซื้อกันถึงที่ เป็เื่เหลือเชื่อจริงๆ
ส่วนเฝิงเจี่ยนคิดเพียงอย่างเดียวว่าอยากจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าเสี่ยวหมี่จะเป็ห่วง
เขาขอยืมพู่กันกับกระดาษจากเด็กในร้าน แล้วเขียนบางอย่างลงไป จากนั้นก็เรียกพวกนายพรานมากำชับอะไรบางอย่าง
ถึงแม้พวกนายพรานจะแปลกใจเล็กน้อย แต่พวกเขารู้สึกยอมรับนับถือในตัวคนที่มีลักษณะเหมือนบัณฑิตเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับความสามารถสุดยอดของเฝิงเจี่ยนที่สังหารเสือสองตัวนั้นได้ ก็ทำให้พวกเขายอมศิโรราบอย่างแท้จริง จึงไม่มีใครค้านอะไร ทยอยเดินออกไปทันที
เพียงไม่นานเหยื่อที่ถูกล่ามาได้ก็ถูกแยกวางออกเป็สามกองอยู่หน้าโรงหมอ
เสือตัวผู้และหมีลู่สองตัว กับไก่ป่าขนสีสวยอีกสิบกว่าตัวถูกวางแยกไว้หนึ่งกอง
ส่วนเสือตัวเมียถูกจับให้อยู่คู่กับหมาป่าขนเงิน กองสุดท้ายเป็จิ้งจอกแดงสองตัวบวกกับจื่อเตียว [1] อีกสี่ตัว
ส่วนจิ้งจอกขาวสองตัวนั้นและหมูป่าถูกเกาเหรินแบกเข้าไปไว้ในร้านก่อนแล้ว
พ่อค้าเนื้อและพ่อค้าหนังสัตว์ต่างเป็อริกัน แต่ยามเมื่อต้องมาเผชิญหน้ารวมตัวอยู่ในที่เดียวกันเช่นนี้ ก็อดจะยิ้มแย้มทักทายกันตามมารยาทไม่ได้
แต่ละคนต่างขบคิดว่าทำอย่างไรจึงจะต่อรองกับพวกนายพรานให้จ่ายเงินออกไปน้อยที่สุดแต่ได้ของดีที่สุดกลับมา คิดไม่ถึงเพียงครู่เดียวพวกนายพรานจะพากันจัดแบ่งเหยื่อที่ล่ามาได้ออกเป็กองๆ อย่างว่องไว
มีบางคนอดไม่ไหวถามออกมา “นี่กำลังทำอะไรหรือ?”
พวกนายพรานซื่อบื้อและโง่งม ไม่เช่นนั้นเมื่อก่อนก็คงไม่กดราคาได้ขนาดนั้น แต่ครั้งนี้ต่างออกไป จู่ๆ เกาเหรินก็ะโออกมาแปะแผ่นกระดาษไปบนเหยื่อทั้งสามกอง แล้วะโว่า “เหยื่อพวกนี้แบ่งเป็สามกอง แต่ละกองมีราคาขั้นต่ำแปะอยู่ คุณชายของเราบอกว่า ไม่ว่าใครก็ห้ามเสนอราคาต่ำกว่าราคาขั้นต่ำ ใครให้ราคาสูงสุดจะได้ไป”
“อะไรนะ นี่มัน...”
พวกเถ้าแก่ต่างขมวดคิ้วหน้าย่น ไม่มีพ่อค้าคนไหนไม่เ้าเล่ห์ พวกเขารับรู้ว่าตนไม่เพียงไม่สามารถเอาเปรียบคนพวกนี้ได้ แต่ยังต้องควักเงินมากกว่าปกติเพื่อแข่งขันให้เป็ผู้ชนะอีก
แต่จะให้พวกเขายอมแพ้ไปก็ไม่ได้ เพราะแสงสีทองของหนังเสือภายใต้แสงอาทิตย์ สีแดงดุจเปลวเพลิงของหนังจิ้งจอกพวกนี้ช่างงดงามเหลือเกิน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะยังได้เจอหนังสัตว์ที่ดีขนาดนี้อีกหรือไม่
จิ้งจอกแดง หมาป่าเงิน หรือจื่อเตียวหลังจากนี้อาจได้พบอีก แต่หนังเสือนั้นหายากเป็อย่างยิ่ง ได้ยินว่าต้นฤดูหนาวปีที่แล้วมีคนล่าเสือได้ สุดท้ายหนังเสือตัวนั้นถูกขายเข้าไปถึงในจวนแม่ทัพใหญ่เลยทีเดียว เป็ที่ชอบใจของท่านแม่ทัพใหญ่ยิ่งนัก คนที่ดั้นด้นหามันไปได้ก็ได้รับความดีความชอบไม่น้อย
ยามนี้กลับปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาถึงสองตัว ตัวผู้หนึ่งตัวเมียหนึ่ง ช่างหาได้ยากนัก
แย่ง! ต่อให้ต้องเสียเงินมากแค่ไหนก็ต้องแย่งมาให้ได้
เกาเหรินรังเกียจสายตาของพวกเถ้าแก่หน้าเืพวกนี้เป็ที่สุด เขารีบยัดกระดาษและพู่กันใส่มือคนพวกนั้นคนละชุดอย่างรวดเร็ว จากนั้นะโว่า
“หากจะซื้อก็รีบๆ เสนอราคามา หากไม่ซื้อก็ถอยไปอย่ามาเกะกะขวางทาง ข้ารีบกลับบ้านไปกินข้าวอยู่ ท้องบิดาหิวมานานหลายวันแล้ว”
เด็กน้อยตัวแค่นี้ ยกตัวเป็บิดาใครกัน
พวกเถ้าแก่ลอบค่อนขอดอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อย พวกเขากำลังปวดหัวเพราะกลัวเพื่อนร่วมวิชาชีพคนอื่นๆ จะให้ราคาสูงกว่าตน แต่ขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะต้องควักเงินจากกระเป๋าตัวเองมากเกินไป
เชิงอรรถ
[1] จื่อเตียว(紫貂)ตัวเซเบิล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้