เจียงเสาเสวี่ยชะงักอยู่ชั่วประเดี๋ยว จากนั้นหน่วยองครักษ์เงาที่ซ่อนอยู่ในความมืดก็พุ่งกระโจนออกมา แสงประกายวาบจากกระบี่พุ่งตรงไปทางเจียงเสาเสวี่ย
หร่านซวี่จือออกคำสั่ง หาไม่ถึงสถานการณ์ที่คับขัน หน่วยองครักษ์เงาห้ามลงมือเด็ดขาด ตอนนี้เมื่อเห็นหร่านซวี่จือกระอักเื หน่วยองครักษ์เงาทั้งสิบแปดคนของสำนักชิงหยาเก๋อซึ่งรวมถึงอิ่งด้วยจึงเคลื่อนไหว
แม้ว่าวรยุทธ์ของเจียงเสาเสวี่ยจะสูงส่งแต่น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ เพราะเขาเสียเปรียบเห็นๆ
หร่านซวี่จือไอสองทีแล้วเอ่ย “หยุด”
เมื่อคำสั่งออกมา หน่วยองครักษ์เงาทั้งหมดราวกับหายตัวได้ก็ไม่ปาน ในห้องโถงนั้นไม่เห็นแม้แต่เงาขององครักษ์เงา
หร่านซวี่จือยังคงกอดตัวของจินเฟิงไว้แน่น มือนั้นกดลงที่ศีรษะของจินเฟิงอย่างเบามือ ใช้หน้าอกบังใบหน้าของเขาไว้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจียงเสาเสวี่ยมองเห็น “ใต้เท้าเจียง กลับไปเสียเถิด”
เจียงเสาเสวี่ยสบตากับหร่านซวี่จือ ทั้งสองคนนิ่งเงียบอยู่นานสักพัก
ในที่สุด เจียงเสาเสวี่ยก็เอ่ยปาก “ข้าน้อยจะยังหาเวลามาที่นี่ ถึงตอนนั้นจะเรียนนายท่านหร่านซวี่จือล่วงหน้า”
พูดจบ เขาก็สั่งคนอื่นที่เหลือให้ถอยกลับ
ขณะที่เจียงเสาเสวี่ยออกพ้นไปจากประตู คุณชายคนนั้นก็งงไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ยปากถามพร้อมกับเบิกตาโต “ท่านพี่ ทำไมถึงกลับทั้งอย่างนี้เล่า? ”
เจียงเสาเสวี่ยเอ่ย “ข้ามีแผนการ”
หร่านซวี่จือนั้นพยายามอดทนจนคนอื่นๆ จากไป หลังจากที่เดินเข้าห้องของตนและปิดประตู ในจังหวะที่วางจินเฟิงลงมา ร่างของเขาก็ร่วงหล่นไปกองกับพื้น
จินเฟิงไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีหร่านซวี่จือก็ล้มอยู่บนตัวเขาแล้วและหน้าผากก็แนบอยู่กับไหล่ของจินเฟิง
เมื่อรับรู้ถึงความหนักอึ้งบนบ่า จินเฟิงแทบไม่กล้าขยับและตัวเกร็งอยู่กับที่อย่างนั้น
หวังเซียนเคาะประตูอยู่ด้านนอกไม่หยุด “นายท่าน! นายท่านเป็อะไรไหมขอรับ? ให้ข้าน้อยไปตามหมอดีไหมขอรับ? ”
หร่านซวี่จืออาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ไอสองครั้งก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้อง”
“นายท่าน…” เสียงของหวังเซวียนไม่ได้เข้าหูเขา
หร่านซวี่จือไออีกสองครั้ง เืก็ไหลหยดลงบนพื้น “ข้าจัดการลมปราณสักครู่ก็พอ”
จินเฟิงเอ่ยเสียงอ้ำอึ้ง “ท่าน ท่านไม่เป็อะไรใช่ไหม? ”
หร่านซวี่จือไม่ได้ตอบ จากนั้นเขาก็สกัดจุดที่อยู่ละแวกหน้าอกอย่างคล่องแคล่วว่องไวเพื่อหยุดธาตุเย็นเ่าั้ที่กำลังไหลเวียนเข้าสู่หัวใจ และล้วงขวดยาเซรามิกสวยงามออกมาจากอก เขาเทยาเม็ดสีเืออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงไป
จินเฟิงเคยเห็นยาชนิดนี้ นั่นคือยาช่วยชีวิตที่เ้าสำนักชิงหยาเก๋อรุ่นเดียวเก็บไว้ให้หร่านซวี่จือเอาไว้สำหรับใช้ในยามที่ร่างกายได้รับาเ็หนัก
จินเฟิงรู้ว่าตนเองนั้นมีกระดูกเย็นแต่กำเนิด
กระดูกเย็นแต่กำเนิดนั้นทำให้มีพลังที่ไม่จำกัด แต่มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือ่ต้นที่ร่างกายกำลังเติบโต ต้องมีคนจำยอมถ่ายพลังลมปราณเข้าสู่ชีพจรในร่างกาย แต่ขณะเดียวกัน ธาตุเย็นที่รุนแรงที่สุดในกระดูกเย็นก็จะส่งผ่านเข้าร่างของคนผู้นั้นและส่งผลทำลายอีกฝ่ายอย่างใหญ่หลวง
หากไม่มีคนยอมทำเช่นนี้ ธาตุเย็นนี้จะค่อยๆผสานเข้ากับร่างกายใน่ที่จินเฟิงเติบโต หากล่วงล้ำเข้าสู่ไขกระดูก นั่นก็เป็สัญญาณว่าจะไม่มีทางอายุยืนร้อยปี
จินเฟิงในชาติที่แล้ว เสียบิดามารดาแต่เยาว์วัย นับแต่เข้าสู่สำนักชิงหยาเก๋อ วันๆ ก็ถูกกดขี่ข่มเหง อีกทั้งยังมีการชักใยจากหร่านซวี่จือที่อยู่เื้ั รอจนในที่สุดเจียงเสาเสวี่ยก็ได้การชี้นำที่ถูกต้อง แต่เขาก็ต้องทนทุกข์กับกระดูกเย็นแต่กำเนิดมามากมาย
แต่ว่า คนผู้นี้กลับทำเื่เช่นนี้
รอจนเมื่อหร่านซวี่จืออาการดีขึ้นเล็กน้อยและลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นจินเฟิงนั่งนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น
“เ้ายังอยู่ที่นี่ทำไมกัน? ” หร่านซวี่จือเห็นเขาจึงสั่งเขาอย่างเข้มงวด “วันนี้ข้ามคาบเรียนไปไม่น้อย หาเวลาว่างไปเรียนเสริมเองด้วย”
จินเฟิงเม้มปาก จู่ๆ ก็เอ่ยปาก “ขอ…ขอโทษด้วย”
เสียงนั้นเล็กเกินไป จนหร่านซวี่จือนึกว่าตนเองได้ยินผิดไป
คงเพราะรู้สึกว่าเสียงตนเองไม่ค่อยดัง จินเฟิงจึงเอ่ยอีกครั้ง “ที่ทำให้ท่านได้รับาเ็สาหัส…ข้าขอโทษ! ”
หร่านซวี่จือนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
จินเฟิงกำชายเสื้อของตนเองไว้แน่น พลางจดจ้องแผ่นไม้บนพื้น ราวกับว่าจะจ้องให้มันเกิดรูโบ๋เสียให้ได้
“ข้ารู้แล้ว” หร่านซวี่จือเอ่ย “เ้ากลับไปก่อน”
เมื่อได้ยินเสียสงหร่านซวี่จือ จินเฟิงกลับรู้สึกแย่อย่างน่าประหลาด
การขอโทษคงเป็เื่ธรรมดาทั่วไปสินะ?
คนผู้นี้ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน ที่จับเขาขังเข้าคุกใต้ดินแล้วทำโทษ ก็น่าเหลือเชื่อมากแล้ว
เขายังคาดหวังอะไรอีก?
เมื่อสะกดความผิดหวังในส่วนลึกของหัวใจ จินเฟิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เด็กหนุ่มเก็บผ้าคาดศีรษะที่หล่นอยู่บนพื้น แล้วเดินตรงไปทางประตู
ขณะที่เดินผ่านหร่านซวี่จือนั้น ศีรษะของเขาก็ถูกลูบอย่างเบามือ ชั่วระยะเวลาอันสั้นก็หายวับไป หากไม่มีกลิ่นหอมจางๆ ที่คุ้นเคยโชยเข้าจมูก นี่คงเป็เพียงการคิดไปเองจริงๆ
จินเฟิงยืนอึ้ง
“เ้าเด็กโง่” เสียงที่ออกมาคล้ายกับพึมพำทำให้ได้ยินไม่ชัดนัก แต่ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
จินเฟิงหันศีรษะไป เห็นเพียงเงาด้านหลังของหร่านซวี่จือ ผอมบางแต่กลับปราดเปรียวราวกับต้นสน
จู่ๆ เบื้องลึกในใจเสมือนมีบางอย่างหลั่งไหลออกมาด้านนอกอย่างควบคุมไม่อยู่ก็ไม่ปาน จินเฟิงยกมือขึ้นปิดปากของตนเอง เขาเบิกตาโตราวกับเห็นปีศาจร้าย พร้อมกับออกตัววิ่งตรงดิ่งไปที่ห้องของตน ระหว่างนั้นก็ชนคนรับใช้ไปไม่น้อย
รอจนพุ่งตัวไปถึงห้องของตนเองแล้ว หลังจากที่ปิดประตู จินเฟิงยืนพิงหลังกับบานประตู หายใจหอบและจ้องมองเพดานไม้เหนือศีรษะ
จินเฟิงลูบมุมปากของตนเองถึงเพิ่งพบว่าเมื่อครู่ตนเองนั้นยิ้มกว้างอย่างควบคุมไม่ได้
คำพูดนั้นของหร่านซวี่จือวนเวียนอยู่ในสมองอยู่อย่างนั้น แล้วยังมือที่ััศีรษะของตนเอง
คาบเรียนที่ข้ามไปเพราะเจียงเสาเสวี่ย จำต้องใช้เวลา่วันหยุดเสาอาทิตย์มาเรียนเสริม หรวนเสี่ยวเหอรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมแทนจินเฟิง “เพียงแค่วันเดียวเอง เด็กรุ่นเ้า สมควรที่จะมีสหายที่รู้ใจกันได้แล้ว ส่วนเวลานี้ก็ควรไปเล่นกับทุกคน นายท่านก็เข้มงวดเกินไปจริงๆ ”
จินเฟิงเอ่ย “ได้ยินเสียงวุ่นวายแล้ววิ่งทะเล่อทะล่าไปดู นี่ก็เป็ความผิดข้าเอง เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้”
บางทีสาเหตุคงมาจากชอบเล่นกับพวกหว่านซี หรวนเสี่ยวเหอจึงมีนิสัยร่าเริงไม่น้อย การพูดการจาบางทีจึงคลับคล้ายคลับคลาว่ามีเงาของหว่านซีซ้อนอยู่ “พูดถึง ใต้เท้าเจียงคราวที่แล้ว ดูเหมือนจะเป็ลูกพี่ลูกน้องของคุณชายเจียงคนนั้น”
จินเฟิงรู้เื่นี้อยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้สนใจมากนักและก้มหน้าก้มตาเขียนพู่กัน
“ได้ยินพวกพี่สาวพูดว่า ที่ใต้เท้าเจียงบุกมาถึงนี่ ก็เพราะคุณชายเจียง ส่วนคุณชายเจียงคนนี้ก็มาเพื่อหลิงอวิ้น เดิมทีคนในหอของเรา หากไม่จัดการเื่ส่วนตัวให้ดี คงแย่มาก แต่ตอนนี้นายท่านกลับไม่สอบถามหลิงอวิ้นแม้แต่คำเดียว พวกเขาต่างก็บอกว่านายท่านมีใจให้หลิงอวิ้น”
พอฟังถึงตรงนี้ มือของจินเฟิงก็ชะงัก
“โอ๊ย แต่แน่นอนอยู่แล้ว พวกข้ารู้เื่ที่นายท่านมีรสนิยมชื่นชอบเพศเดียวกัน หากแต่นายท่านวันๆ เอาแต่จัดการธุระอยู่ในหอ ยังไม่เห็นออกไปสรรหาความสุขสำราญด้านนอกเลย พวกเราก็เลยทายว่าคงเพราะว่ามีคนในใจอยู่ในหอนี้อยู่แล้วหรือไม่ แล้วเปลี่ยนใจกลับมาชอบผู้หญิง ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้เลย”
จินเฟิงวางพู่กันลง บนกระดาษมีอักษรตัวใหญ่แถวหนึ่งที่เสมือนับินนกหงส์ระบำ ส่วนน้ำหนักพู่กันก็กำลังดีและดูมีพลัง
“เสี่ยวเฟิง ตัวอักษรของเ้าดูสวยขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ” หรวนเสี่ยวเหอเอ่ยด้วยความตะลึง
จินเฟิงขมวดคิ้วแล้วกำกระดาษเป็ก้อน จากนั้นก็โยนเข้าถังขยะ
ตัวอักษรเมื่อสักครู่ ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้นตา
เพราะเหมือนว่าลายมือนั้นนับวันก็ยิ่งเหมือนคนผู้นั้นเข้าไปใหญ่ ทำไมจึงเป็เช่นนี้?