บทที่ 5 รอยสักยันต์รูปพยัคฆ์คาบดาบ
...ปลอดภัย...
เธอรู้สึกร้อน ไม่ใช่ความร้อนจากาแ แต่เป็ความร้อนวาบเหมือนมีคนเอาเหล็กร้อนๆ มาทาบที่ลำคอเธอยกมือที่ยังสั่นเทาของ 'หลิวซือซือ' ขึ้นแตะไปที่ลำคอระหงของตัวเองเธอไม่เห็นแต่เธอ รู้สึก ได้ผิวเนื้อบริเวณนั้นกำลังนูนขึ้นเป็ลวดลายและในความมืดสลัวมันกำลังเปล่งแสง!แสงสีทองจางๆ เรืองรองอาบไล้ผิวเนื้อของเธอราวกับเกราะทิพย์มันคือลวดลายที่สลับซับซ้อนเธอจำมันได้เธอเห็นมันมาทั้งชีวิตในตำราเก่าคร่ำคร่าของพ่อบนยันต์ที่แปะอยู่ทั่วบ้าน...
มันคือ รอยสักยนต์รูปพยัคฆ์คาบดาบ
มรดกที่เธอปฏิเสธมาทั้งชีวิตยันต์คงกระพันชาตรีที่พ่อของเธอแอบสักให้ั้แ่ยังเด็กวันที่เธอป่วยหนักจนเกือบไม่รอด เพื่อป้องกันตัวจากสิ่งที่เธอไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่จริง...แสงสีทองนั้นสว่างวาบขึ้นมาปกป้องเ้าของโดยอัตโนมัติมันกะพริบหนึ่งครั้งทิ้งไว้เพียงความร้อนจางๆ บัดนี้ปรากฏรอยสักยันต์รูปพยัคฆ์คาบดาบที่เรืองแสงสีทองจางๆ ราวกับถ่านไฟที่คุโชนอยู่ใต้ิั อักขระโบราณที่รายล้อมตัวพยัคฆ์สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่แสงทั้งหมดจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
“ผะ...ปีศาจ! นังนี่มันปีศาจ!”
อูเก๋อ คือเ้าโจรที่ยกมีดฟันลงมา เมื่อมันเห็นดาบของมันหักลง มันกรีดร้องออกมาด้วยความหลอน มันทิ้งด้ามดาบที่หักแล้วถอยหลังกรูดจนล้มลุกคลุกคลาน
มีนาที่เห็นเ้าโจรป่าทิ้งดาบและถอยห่างจากเธอ ทำให้เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ไสยเวทย์...สิ่งที่เธอเกลียดชังดูแคลนและปฎิเสธการมีอยู่ของมันมาทั้งชีวิตคือสิ่งเดียวที่ช่วยชีวิตเธอไว้ นี่คือตลกร้ายที่สุดในจักรวาล เธอซึมซับความรู้สึกของการมีชีวิตต่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความเงียบที่น่าอึดอัดถูกทำลายลงโดยเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นในหัว
".....พี่จ๋า?"
เสียงไอ้หนูกลับมาแล้ว มันไม่ได้ดังขึ้นอย่างร่าเริงแต่มันดังขึ้นอย่างงงงวย...และ...อิจฉา...
‘ [...อะไร...] ’ มีนาตอบกลับในใจอย่างหงุดหงิด เธอไม่มีอารมณ์จะมาเล่นกับผีเด็กตอนนี้
"ว...ว้าว..." ไอ้หนูคราง
"เมื่อกี้นี้ ไม่ใช่หนูนะ พี่จ๋า...พี่ก็มีของดีนี่นา!"
‘ [เมื่อกี้ทำไม แกไม่ทำอะไรสักอย่างปล่อยให้มันยกดาบฟันลงมาได้อย่างไร?] ’ เธอจะโทษมัน มีอะไรไหม!!
"ก็พี่จ๋าไม่ยอมพูดอะไรนี่น่า กูก็ถามพี่จ๋าแล้ว"
ไอ้หนูเถียงกลับทันควันมันไม่ยอมเหมือนกัน ก็มันถามแล้วจริงแต่พี่โง่ก็เอาแต่เงียบต่อสู้กับความคิดบ้าๆ ของตัวเองอยู่ได้
"กูแค่รอจังหวะสวน! แต่ ว้าว...ไอ้เสือนั่น ไอ้เสือบนคอพี่จ๋านั่น...มันเจ๋งมาก!"
เสียงของกุมารทองเปลี่ยนเป็ตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ก่อนที่จะทำท่าร่อนจมูกในอากาศ
"ฟุดฟิด ฟุดฟิด"
ไอ้หนูกุมารทองที่ลอยนิ่งอยู่ข้างๆ บัดนี้กำลังทำจมูกย่น ยกขึ้นลงในอากาศ จมูกอ้วนกลมเล็กๆ นั่นขยับไปมาอย่างรวดเร็วราวกับสุนัขดมกลิ่น มันสูดอากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเืและกลิ่นอาคมที่เพิ่งจางลงไป
"กลิ่นนี้ หอมจัง!"
ไอ้หนูสูดปากเสียงดัง จ๊วบ! ราวกับได้ชิมน้ำหวานที่อร่อยที่สุดในโลกดวงตาสีทองของมันเป็ประกายวาววาม
"มันไม่เหมือนกลิ่นธูปเน่าๆ ที่พ่อใช้เซ่นหนู" มันบ่นอุบอิบ
"แต่มันเหมือน เหมือนกลิ่นของ 'ปู่ครู' กลิ่นของอาจารย์ใหญ่!"
มันลอยเข้ามาใกล้ร่างของมีนาที่ฟุบอยู่ สูดกลิ่นยันต์พยัคฆ์ที่เลือนหายไปตรงลำคอของเธอ
"กลิ่นทองคำ! กลิ่นหอม อยากกิน!"
‘ [มันคือกลิ่นของความงมงายนะสิ] ’ มีนาสวนกลับอย่างเ็า แม้ว่าเธอจะแทบไม่มีแรงเหลือหายใจ แต่สมองส่วนตรรกะยังคงพยายามต่อสู้ นี่คือกลิ่นที่เธอเกลียดที่สุดในชีวิตได้กลิ่นเหมื่อนไหร่ก็ไม่ชอบไม่อยากได้กลิ่น
"ไม่รู้ล่ะ!" ไอ้หนูประกาศก้อง มันไม่สนใจความขมขื่นของพี่สาว ความมั่นใจกลับมาเต็มเปี่ยม
"แต่ว่าเมื่อกี้พี่จ๋าเท่มาก! ปัง!เดียวดาบหักเลย! คอแข็งเป็บ้าเลย กูชอบ!!"
เ้าอ้วนน้อยลอยตีลังกากลางอากาศหนึ่งรอบก่อนจะกลับมายืนเก๊กท่า แขนอวบๆ เท้าสะเอว พุงน้อยๆ ยื่นออกมาอย่างน่าหมั่นไส้
" เอาหล่ะมาสรุปเื่ราวกันเถอะ ทีนี้เรามีสองแรง! พี่จ๋ามีเกราะเสือน่าจะป้องกันตัวเองได้ ส่วนกู!!..กูนั้นเทพอยู่แล้วเก่งทุกอย่าง! ไอ้พวกนี้เสร็จเราแน่!"
มันชี้ไปทางพวกโจรป่าที่ยืนตะลึงงันอยู่ไกลๆ
"พี่จ๋า! สั่งลุยเลย! กูอยากลองกินไอ้ตัวที่นอนแผ่อยู่นั่น!" มันเลียปากแผล็บๆ มองโจรแขนหักที่กำลังคลานหนี
‘ [หุบปาก] ’ มีนาเค้นเสียงในหัว
‘ [หุบปากแล้วซ่อนตัวไปเลย ฉันต้องคิดฉันกำลังจะตาย แกไม่เห็นรึไง!] ’
เธอพยายามรวบรวมสติที่เหลืออันน้อยนิด แต่ความรำคาญกลับพุ่งขึ้นมาแซงความกลัวตาย
‘ [แล้วใครสอนถึงได้พูดจาไม่น่ารักแบบนี้! เป็เด็กเป็เล็กใครสอนให้พูด มึง กู!] ’
ใช่!! นี่คือสิ่งที่ต้องกังวล!!! มารยาทของกุมารทอง!!
ไอ้หนูชะงักกึก มันทำหน้ายู่เหมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นแต่โดนแม่ดึงหู มันลอยมากระแทกตัวนั่งกอดอกกลางอากาศ "อ้าว!" เสียงในหัวของมันแหลมขึ้น
"ก็พ่อจ๋าคุยกับหนูว่ามึงกู พวกเราคุยกันแบบนี้มาตลอด!" เ้าอ้วนไม่ได้บอกว่าครั้งล่าสุดพ่อมันไม่ให้พูด
‘ [นั่นพ่อ! พ่อเป็ผู้ใหญ่!] ’ มีนาสอน
"โธ่พี่จ๋า!" เ้าอ้วนทำท่าเป็ปราชญ์ผู้รู้แจ้ง
"มึง กู เป็ภาษากลางของไทยมาแต่สมัยโบราณนู่น แม้แต่ท่านสุนทรภู่ก็ยังใช้! พ่อจ๋าบอกว่ามันคือภาษาของความจริงใจ!"
‘ [แต่ที่นี่ มัน ไม่ใช่ยุคสุนทรภู่!] ’ มีนาเถียงอย่างอ่อนแรง
‘ [มัน…มันเป็ยุคปัจจุบัน เออ…] ’
เธองุนงงไปชั่วขณะ เดี๋ยวนะ!! นี่มันยุคไหนกันแน่? โจรป่า? เกวียน? และเธอมาอยู่ในร่างของสาวน้อยชาวจีน!!! โอ้ยยย!! ปนกันเละแล้ว!
‘ [เอาเป็ว่ายุคนี้ เด็กไม่ควรพูดจาหยาบคาย! มันไม่น่ารัก! จบ!] ’
"ก็ได้ๆ! ไม่พูดก็ได้!" ไอ้หนูทำแก้มป่องเหมือนซาลาเปาที่กำลังจะะเิ
"ขี้บ่นเหมือนพ่อจ๋าไม่มีผิด!"
การโต้เถียงภายในที่ไร้สาระที่สุดท่ามกลางลานปะาของเธอ ถูกขัดจังหวะโดยเสียงจากภายนอก
แกร๊บ แกร๊บ แกร๊บ
เสียงฝีเท้า มันไม่ใช่เสียงวิ่งหนีของพวกโจร แต่มันคือเสียงย่ำที่หนักแน่น เป็ระเบียบ และกำลังมุ่งตรงมาทางนี้!การโต้เถียงภายในที่ไร้สาระที่สุดท่ามกลางลานปะาของเธอ ถูกขัดจังหวะโดยเสียงจากภายนอกความเงียบอันเย็นเยียบเข้าครอบงำจิตใจของมีนาทันที ไอ้หนูที่เมื่อครู่ยังทำแก้มป่องบัดนี้หุบปากฉับ ร่างเล็กๆ ของมันแข็งทื่อกลางอากาศ
‘ [วิเคราะห์: เสียงฝีเท้า 4... ไม่สิ 5 คู่ เคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกัน] ’
สมองของมีนาประมวลผลด้วยความเร็วสูงสุด ‘ [ไม่ใช่พวกโจร นี่คือการเคลื่อนไหวที่ผ่านการฝึกฝน!] ’
"พี่จ๋า..." เสียงของไอ้หนูในหัวเปลี่ยนไป มันไม่บ่น ไม่เถียงแต่มัน... กดต่ำ
"พวกที่มาใหม่ เหม็นๆ มันเหม็นกว่าเ้าคนที่นอนอยู่นี่เสียอีก"
‘ [เหม็นอะไรของแกอีกเ้าอ้วน!] ’
"ไม่ใช่แค่กลิ่นคาวเื แต่เหม็นเหมือน กระดูกเก่าๆอับๆ ไม่ค่อยเจอแดด" ไอ้หนูพึมพำ ดวงตาสีทองของมันหรี่ลง
"เหม็นเหมือนพลังอีกด้านหนึ่ง ด้านที่พ่อจ๋าเกลียด"
สิ้นเสียงของกุมารทอง พวกมันก็ปรากฏตัวเงาร่างห้าร่างก้าวออกจากเงามืดของป่า พวกมันไม่ได้วิ่ง แต่เดินอย่างมั่นคง ก้าวข้ามร่างของทหารที่ตายเกลื่อนราวกับก้าวข้ามก้อนหิน พวกมันต่างจากพวกโจรป่าอย่างสิ้นเชิง พวกโจรคือความวุ่นวายแต่พวกนี้คือ ระเบียบวินัย พวกมันสวมเกราะหนังสีดำสนิท เงียบกริบ ไร้เสียงโลหะกระทบกัน และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด พวกมันสวมหน้ากาก ไม่ใช่หน้ากากโจร แต่มันคือหน้ากากที่ทำจาก กระดูก! ขัดมันจนขึ้นเงาในแสงจันทร์
อูเก๋อ โจรป่าที่แขนหัก เมื่อเห็นการมาถึงของพวกมัน มันถึงกับหยุดกรีดร้อง ดวงตาของมันเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวยิ่งกว่าตอนเห็นดาบหัก
"พวก พวกหน้ากากกระดูก! พวกกินกระดูก!"
มันละล่ำละลัก พยายามคลานหนีไปอีกทาง
"อย่า! ข้าไม่เกี่ยว! นาง นังปีศาจนั่น! พวกท่านมาเอานางไปเลย!"
บุรุษหน้ากากกระดูกที่ดูเหมือนจะเป็หัวหน้า หยุดเดิน เขาไม่แม้แต่จะชายตามองโจรป่าที่กำลังโวยวาย เขาไม่สนใจเกวียนเสบียงที่ถูกรื้อค้น เขาไม่สนใจซากศพ...ดวงตาหลังหน้ากากกระดูกนั้นจ้องตรงมาที่เธอ! จ้องมาที่หลิวซือซือ... ที่ยังคงฟุบอยู่ข้างเกวียน
มันรู้ตำแหน่งของเธอทันที!
‘ [พวกมันรู้! มันมองเห็นฉัน!] ’ มีนาตื่นตระหนก
"เปล่าพี่จ๋า" ไอ้หนูแก้ในหัว "มันไม่ได้ เห็น พี่ แต่มัน ได้กลิ่น ไอ้เสือคาบดาบของพี่"
บุรุษหน้ากากกระดูกเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังฟังบางสิ่ง หรือกำลังลิ้มรสพลังในอากาศ เขาพยักหน้าช้าๆ ... ก่อนจะเปล่งเสียงที่แหบและไร้อารมณ์...
"ตามบัญชาของปรมาจารย์ แสงสว่างได้ปรากฏแล้วจริงๆ "
เขาไม่พูดกับอูเก๋อเขาไม่ได้พูดกับลูกน้องเขาพูดกับเธอ!
"จับเป็"
เสียงที่แหบและไร้อารมณ์นั้นคือคำพิพากษาบุรุษในหน้ากากกระดูกทั้งห้าเคลื่อนที่ พวกมันเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกันราวกับร่างเดียว แยกตัวออกเป็รูปครึ่งวงกลมปิดทุกเส้นทางหนี
นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่า! มีนาคิดเพราะดูเหมือนว่าผู้ที่มาใหม่ไม่ธรรมดาเหมือนกับเ้าโจรก่อนหน้า
"พี่จ๋า!" เสียงไอ้หนูในหัวสั่นสะท้าน มันไม่ตลกอีกต่อไป
"พวกมันเหม็น! เหม็นกลิ่นกระดูกเก่า! หนูไม่ชอบ! หนูจะต่อยมัน!"
‘ [ทำเลย! จัดการมัน!] ’
คราวนี่เธอเกิดการเรียนรู้ และอนุญาตอย่างรวดเร็ว เธอพยายามรวบรวมจิตเฮือกสุดท้ายเพื่อสั่งการแต่เธอไม่มีแรงเหลือ ร่างกายนี้มันไม่ฟัง!มันจะหลับอย่างเดียว!! แต่ถ้าเธอยอมให้มันหลับแปลว่าวันนี้เธออาจจะตายที่นี่แน่ มีนาพยายามที่จะคงสติเอาไว้ให้มากที่สุด บุรุษหน้ากากกระดูกผู้เป็หัวหน้า ก้าวมาถึงตัวเธอ มันย่อตัวลง ช้าๆ มันไม่สนใจโจรป่าอูเก๋อที่คลานหนี มันไม่สนใจเกวียนที่บรรทุกเสบียง ดวงตาหลังหน้ากากจ้องเขม็งมาที่ใบหน้ามอมแมมของเธอ ก่อนที่จะเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อที่ที่จะมองไปที่ลำคอของเธอ ที่ซึ่งยันต์พยัคฆ์เพิ่งเลือนหายไป
มือในถุงมือหนังสีดำสนิทค่อยๆ ยื่นมาทางเธอ และในวินาทีที่นิ้วของมันกำลังจะััผิวของหลิวซือซือ...
ฮี้!!!!!
เสียงม้าร้องแหลมสูงดังทะลุความมืด! ตามมาด้วยเสียงะโอันดุดันที่ก้องมาจากสันเขา!
"กองลาดตระเวนพยัคฆ์อุดร! พบกลุ่มโจร! ยิง!!!"
ฟิ้ววววววว! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
มันไม่ใช่เสียงธนูธรรมดา แต่มันคือเสียงของธนูเหล็กที่หนักหน่วง! ลูกธนูหลายสิบดอกแหวกอากาศมาดุจห่าฝน... ปักลงบนพื้นดินรอบเกวียน! ลูกหนึ่งปักเข้ากลางหลังของโจรป่าอูเก๋อที่กำลังหนี มันร้องไม่ออกแม้แต่คำเดียว
บุรุษหน้ากากกระดูกชะงัก! มันตวัดสายตา... เสียงดัง... ชิ! มันสบถในลำคออย่างหัวเสีย
"ทัพหลวง!" ลูกน้องของมันกระซิบ
"พวกมันมาเร็วกว่าที่คาด!"
เสียงฝีเท้าม้ากระทืบดินดังใกล้เข้ามาทุกขณะทหารม้าอย่างน้อยหนึ่งกองกำลังควบทะยานมา!หัวหน้าหน้ากากกระดูกหันกลับมามองมีนาที่ฟุบอยู่บนพื้น ดวงตาของมันฉายแววเสียดายอย่างรุนแรง มันมองเธอ สลับกับความมืดที่กองทัพกำลังเคลื่อนมา...
"ถอย!" มันตัดสินใจในเสี้ยววินาที
"ภารกิจเปลี่ยน... เฝ้าดูนางไว้!"
สิ้นคำสั่งร่างทั้งห้าก็สลายตัว! พวกมันไม่ได้วิ่งหนีแต่พวกมัน ละลาย หายไปในเงามืดราวกับภูตผีเงียบกริบราวกับไม่เคยมีตัวตน
ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกระดูกเหม็นๆ และความเครียดที่ถาโถมจนถึงขีดสุด...
มีนา ผู้ซึ่งรั้งสติไว้ด้วยเส้นด้ายเส้นสุดท้าย เมื่อภัยคุกคามตรงหน้าหายไป และแรงสะท้อนจากยันต์พยัคฆ์ที่ปกป้องเธอตีกลับเข้าสู่ร่างกายที่อ่อนแอ...คราวนี้สมองของเธอ ก็ปิดสวิตช์เช่นกันเธอลืมแม้กระทั่งเ้าอ้วนน้อยว่าได้ต่อยใครหรือไม่!!
****อ้วนน้อยได้ชกใครหรือเปล่านะ ****
