“มีคนถูกฆ่า?! ผู้ใดถูกฆ่า?”
“ไม่รู้สิ เป็คนตระกูลจิ่งใช่หรือไม่?”
“เหมือนจะไม่ใช่ชุดของคนตระกูลจิ่ง...”
“...”
คนตระกูลจิ่งนอกจากผู้ดูแลและพ่อบ้านที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงแล้ว...จึงมักสวมชุดที่มีสีหลักคือสีกรมท่า เป็ชุดยาวแขนเสื้อหลวม เสื้อด้านหน้าและแขนเสื้อล้วนปักลวดลายโสมคนที่ละเอียดงดงาม ส่วนข้างเอวประดับแผ่นหยกเนื้อดีเอาไว้
ส่วนคนรับใช้ทั่วไป คนรับใช้ชายจะสวมชุดสีเทาดำเป็หลัก เสื้อตัวสั้นกับกางเกงขายาว แขนเสื้อและขอบกางเกงล้วนเก็บขึ้นอย่างเรียบร้อยเพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน บนเสื้อไม่ปักลวดลายใดๆ เป็ชุดที่เรียบง่ายธรรมดา ส่วนหญิงรับใช้นั้นจะใส่ชุดผ้าพลิ้วสีชมพูขาวเป็หลัก ผ้ารัดเอวสีแดงมีลวดลายและประดับพู่ห้อยที่มักจะสั่นไหวไปตามการก้าวเดินของสตรีรูปร่างอรชร ่นี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศก็เย็นขึ้นมาก แม่นางน้อยทั้งหลายจึงล้วนสวมเสื้อคลุมยาวสีแดงสด ยิ่งทำให้ดูงดงามยิ่งกว่าเดิม
ไม่พูดมากแล้ว กลับมาที่ชายผู้นี้ ชายตรงหน้านี้สวมชุดสีน้ำตาล ลักษณะต่างกับชุดของตระกูลจิ่งมาก ชัดเจนว่าไม่ใช่คนของตระกูลจิ่งแน่นอน
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนยังไม่สามารถกลบเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ฉีกกระชากใจผู้คนนี้ได้ ถึงแม้ในสนามจะมีคนมากถึงเพียงนี้ เขาก็ดูเหมือนยังไม่วางใจ พวกจิ่งเฟิงกั๋วอดเลิกคิ้วไม่ได้จึงล้วนลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นั่ง
ผู้ดูแลที่ยืนอยู่ด้านล่างไม่รอให้เ้านายเอ่ยปากก็รีบเดินเข้าไปทันใด “พี่ชายท่านนี้ไปเจอเื่อะไรมาหรือ อย่าใไป คนมากถึงเพียงนี้ต้องปกป้องเ้าได้แน่นอน เ้าหยุดก่อน ค่อยๆ พูดมา...”
ชายผู้นั้นแค่เห็นว่าคนตระกูลจิ่งเดินเข้ามาก็ร้องะโราวกับเป็บ้าไป ทั้งหมอบทั้งคลานวิ่งหนีออกไปด้านข้างแล้วพุ่งตรงไปยังกลุ่มคุณหนูคุณชายที่ยืนรวมตัวกันเป็กลุ่มใหญ่ “อ๊าๆๆ! ออกไปๆ! ช่วยด้วย!”
ทุกคนถูกเหตุการณ์นี้ทำให้ตกตะลึงจนพูดไม่ออกอีกครั้ง เหตุใดเขาต้องหลีกหนีคนตระกูลจิ่งด้วย
ไม่ต้องพูดถึงจิ่งเฟิงกั๋ว คนตระกูลจิ่งที่เหลือก็ล้วนมีลางสังหรณ์ไม่ดี
อ๋าวหรานเห็นคนผู้นี้วิ่งผ่านหน้าพวกเขาไป ในใจรู้สึกเป็กังวลมากจึงอดหันศีรษะไปมองจิ่งฝานไม่ได้ กลับเห็นเขาขมวดคิ้ว ท่าทางแปลกประหลาด เมื่อหันไปมองจิ่งเซียงกับจิ่งจื่อก็ล้วนมีสีหน้างุนงงสงสัยเช่นกัน
ชายผู้นั้นจนถึงตอนที่ไปถึงตรงหน้าพวกหลัวฉี่แล้วก็ราวกับจะพ่นลมหายใจออกมา ล้มตึงลงไปบนพื้น หอบหายใจอย่างรุนแรง ผู้คนโดยรอบเห็นเขาพุ่งเข้ามาก็อดพากันถอยหลังไม่ได้ ตอนนี้เห็นเขานั่งลงแล้วทำเพียงหอบหายใจอย่างเอาเป็เอาตาย จึงได้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างสงสัยใคร่รู้
แม้กระทั่งหลัวฉี่ที่ไม่ว่าเื่อะไรก็สงบนิ่งไม่สั่นไหวอยู่ตลอด ตอนนี้กลับรู้สึกทำอะไรไม่ถูกจึงทำได้เพียงให้ผู้คุ้มกันประจำตัวเขาไปเอากาน้ำชามาให้คนผู้นี้ดื่มก่อน
เก้าอี้หินสลักรอบๆ สนามประลองล้วนมีหญิงรับใช้เฝ้าอยู่ และได้จัดเตรียมขนมและน้ำเอาไว้แล้ว ผู้คุ้มกันของหลัวฉี่มาไวไปไว ยกกาน้ำชาขึ้นมากาหนึ่งแล้วกลับไป ชายผู้นั้นเมื่อเห็นว่ามีน้ำก็หาได้สนใจจะขอบคุณหรือรักษามารยาทไม่ แย่งกาน้ำชาไปแล้วก็กรอกอั๊กๆ ใส่ปาก น้ำหนึ่งกาถูกเขาดื่มจนหมดเกลี้ยงภายในระยะเวลาไม่นาน เขาซึ่งในที่สุดก็สามารถดึงสติกลับมาได้แล้วนั้นก็ร้องไห้น้ำตานองหน้าอย่างโศกเศร้าในทันที แล้วร้องะโอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ขอร้องทุกท่านช่วยออกหน้าแทนคุณชายของข้าด้วย! คุณชาย...คุณชาย...ฮือ คุณชายของข้าถูกคนฆ่าตายแล้ว”
มือของเขาจับชุดของหลัวฉี่ไว้อย่างรู้งาน บนมือเต็มไปด้วยรอยเื แต่เขากลับร้องไห้อย่างน่าสงสาร หลัวฉี่จึงไม่มีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อย ลังเลไปชั่วครู่ก็ใจเย็นลงได้ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหนักแน่นและปลอบโยน “เ้าอย่าเพิ่งร้อง คุณชายของเ้าเป็ผู้ใด? ถูกคนฆ่าได้อย่างไร แล้วฆาตกรเป็ผู้ใด? เ้าลองบอกออกมาเถิด พวกเราย่อมต้องคืนความยุติธรรมให้กับคุณชายเ้าอย่างแน่นอน”
คนผู้นั้นไม่รู้ว่าเป็เพราะถูกหลัวฉี่ปลอบหรือว่าร้องไห้เสียใจจนพอแล้ว เมื่อสูดลมหายใจเข้าจึงค่อยๆ สงบลง เขาดึงแขนเสื้อขึ้นเพื่อเช็ดน้ำมูกน้ำตา กลืนน้ำลาย รอจนกระทั่งลมหายใจสงบลงจึงเปิดปากพูดขึ้น “คุณชายของข้าคือ...นายน้อยตระกูลเฉินจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือ...เฉินเปิ่นฉี!” !!!
“เฉินเปิ่นฉี!”
“เฉินเปิ่นฉีตายแล้ว?!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้ใดเป็คนฆ่า?”
“คนที่อยากฆ่าเขาน่าจะมีไม่น้อย ตระกูลเฉินทำชั่ว...ล่วงเกินคนไปมากมาย”
“จริงด้วย พูดถึงตระกูลที่มีคู่แค้นมากที่สุดบนแผ่นดินใหญ่นี้ก็ต้องเป็ตระกูลเฉินนี่กระมัง?”
“เกรงว่าในที่นี้คงมีหลายคนที่เคยมีเื่กับตระกูลเขา”
หินก้อนเดียวทำให้เกิดคลื่นนับพัน1 ทุกคนราวกับน้ำมันกระเด็นออกจากกระทะ เสียงดังโวยวายขึ้นมา มีทั้งตกตะลึง ทั้งไม่อยากเชื่อ และทั้งมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เสียงดังเซ็งแซ่นี้ราวกับจะครอบคลุมไปทั่วทั้งสนามประลอง
หลัวฉี่อดะโขึ้นมาประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า “รบกวนทุกท่านช่วยเงียบกันหน่อย ให้พี่ชายท่านนี้พูดให้จบก่อน”
ชาติตระกูลและความสามารถของหลัวฉี่ก็มีให้เห็นกันอยู่ ทุกคนจึงล้วนต้องไว้หน้าเขา
หลัวฉี่มองบุรุษที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วถามว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าฆาตกรเป็ผู้ใด แล้วคุณชายเฉิน...ศพของเขาอยู่ที่ใด?”
ชายผู้นั้นสูดลมหายใจราวกับให้กำลังใจตนเองอย่างเต็มที่ ท่าทางไม่กลัวตาย “ฆาตกรต้องเป็คนตระกูลจิ่งแน่!” พูดจบดวงตาที่ไม่ใหญ่มากนั้นก็ราวกับอาบยาพิษ หันไปจ้องผู้าุโทั้งหลายบนเวทีอย่างเกรี้ยวกราด แล้วจึงหันไปมองพวกจิ่งฝาน สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและหวาดกลัว
ท่าทางเช่นนี้ไม่เหมือนว่าโกหก ทุกคนต่างเงียบลงอีกครั้ง ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี ที่วิจารณ์เื่ตระกูลเฉินกับเฉินเปิ่นฉีไปนั้นก็เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ทีนี้ ต่อให้คนรับใช้ตระกูลเฉินได้ยินก็คงไม่กล้าพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นขอแค่คนผู้นี้ไม่โกหกเป็พอ เฉินเปิ่นฉีตายแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็ล้วนไม่มีอะไรต้องกลัว งานหลักอันดับหนึ่งของตระกูลเฉินในตอนนี้ชัดเจนว่าต้องเป็การหาตัวฆาตกรแล้ว คนตัวเล็กๆ ไม่สำคัญเช่นพวกเขา ตระกูลเฉินคงหาได้มีเวลามาสนใจไม่ แต่กับตระกูลจิ่งนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้พวกเขาล้วนอยู่ในตระกูลจิ่ง ด้านหลังก็ล้วนเป็บรรดายอดฝีมือของตระกูลจิ่ง หากพูดอะไรไปโดยพลการก็คงถือเป็การหาเหาใส่หัวแล้ว
หลัวฉี่เองก็ชะงักไป ที่นี่เป็เขตอิทธิพลของตระกูลจิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้าุโนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย เขาที่เป็เพียงคนนอก...อีกทั้งยังเป็ผู้น้อย การมายุ่งเื่เหล่านี้ถือเป็การหาความลำบากให้ตัวเองแล้ว โชคดีที่หลัวฉี่เองก็เคยพบเจอคลื่นลมพวกนี้มาบ้าง เงยหน้ามองไปทางจิ่งฝาน อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็ถือว่าเป็นายน้อยตระกูลจิ่ง เด็กรับใช้ของเฉินเปิ่นฉีเองก็หยุดมองที่เขาอยู่เป็นาน แต่อีกฝ่ายชัดเจนว่าไม่โต้ตอบสายตาของเขา กลับมีท่าทางเ็าราวกับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
เนิ่นนานหลัวฉี่ถึงค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดได้ “พี่ชาย จะพูดโดยพลการไม่ได้หรอกหนา ตระกูลจิ่งถือเป็ตระกูลหมอช่วยชีวิตคนที่มีอยู่น้อยนักบนแผ่นดินใหญ่นี้ เป็ตระกูลที่มีทั้งคุณธรรมและเมตตา จะฆ่าคนโดยพลการคนได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ท่านลุงจิ่งรวบรวมพวกเราให้มาเข้าร่วมงานประลอง ไม่ว่าผู้ใดเกิดเื่ขึ้นก็ล้วนเป็ความรับผิดชอบของตระกูลจิ่ง พวกเขาจะทำเื่ที่ดึงดูดหายนะมาสู่ตัวเองอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ชายผู้นั้นร้อนรนขึ้นมาทันใด “คุณชายหลัว ท่านต้องเชื่อข้า ที่ข้าพูดทุกอย่างล้วนเป็ความจริง ไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน คุณชายหลัวและคุณหนูคุณชายทุกท่านสามารถไปดูคุณชาย...ศพของคุณชายข้าได้ อยู่ที่ไหล่เขาตระกูลจิ่งนี่เอง”
แต่ละคำราวกับร้องไห้...ราวกับฟ้องร้อง ดูร้อนรนอย่างแท้จริง
หลัวฉี่อดรู้สึกลำบากใจไม่ได้ ตระกูลจิ่งก็ดี ตระกูลเฉินก็ดี จะรักจะแค้นอย่างไร เขาก็ล้วนไม่ยินดีจะเป็คนออกหน้า ตระกูลหลัวแข็งแกร่งก็จริง แต่การค้าขาดทุนที่ต้องล่วงเกินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเช่นนี้...เขาย่อมไม่ยินดีทำ
โชคดีที่จิ่งเฟิงกั๋วใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก้มหน้ามองด้านล่างเวทีที่สับสนวุ่นวาย พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมเ็า “ในเมื่อเ้าบอกว่าตระกูลจิ่งของข้าเป็ฆาตกร เช่นนั้นก็ขอให้พูดออกมาอย่างชัดเจน อย่างไรเสียตระกูลจิ่งของข้าก็มีคนมากมายเช่นนี้...คงไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง ขอแค่เ้าชี้แจงมา ข้าจะไม่อ่อนข้อให้เขาแน่ จะต้องให้เขาใช้ชีวิตแลกชีวิตอย่างแน่นอน และข้าจิ่งเฟิงกั๋วก็จะไปขออภัยถึงตระกูลเฉินด้วยตนเอง ให้ผู้นำตระกูลเฉินจัดการได้ตามใจ”
เมื่อจิ่งเฟิงกั๋วพูดจบ ทั่วทั้งสนามก็เงียบลงหลายส่วน จิ่งเหวินซานและจิ่งเฟิงจั๋วอดก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่งด้วยสีหน้าร้อนรนไม่ได้ จิ่งเฟิงกั๋วไม่รอให้เขาทั้งสองพูดก็โบกมือห้ามไว้
จู่ๆ ชายผู้นั้นก็มีท่าทางลำบากใจ แต่สีหน้ายังคงยืนยันหนักแน่น “ข้าเห็นหน้าฆาตกรไม่ชัด”
“เห็นไม่ชัด? อะไรที่บอกว่าเห็นไม่ชัด?”
“เห็นคนไม่ชัดจะมั่นใจได้อย่างไรว่าฆาตกรเป็ผู้ใด?”
“...”
เขาหาได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบๆ ไม่ ชายคนนั้นก็พูดต่อว่า “คนผู้นั้นปิดบังใบหน้า ฟ้าก็มืดแล้ว แต่อาวุธและรอยแผลที่เขาทิ้งไว้บนร่างของคุณชายข้านั้นสามารถพิสูจน์ได้! ดาบสั้นที่โดดเด่นเป็พิเศษนั้น...บนแผ่นดินใหญ่นี้ก็มีแค่ตระกูลจิ่งแล้ว หากทุกท่านไม่เชื่อสามารถตามข้าไปดูได้!”
ไม่รอให้หลัวฉี่ทำตัวไม่เด็ดขาด ไม่อยากล่วงเกินผู้ใดอีก จิ่งเฟิงกั๋วก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ดี แต่ว่าคงต้องขอให้คุณชายหลัวลำบากสักรอบแล้ว”
จู่ๆ หลัวฉี่ก็ถูกเรียกชื่อจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันใด กลับเห็นว่าจิ่งเฟิงกั๋วบินลงจากเวทีมายืนอยู่ข้างเขาแล้ว “ขอเชิญคุณชายหลัวเป็พยาน อย่างไรเสียเื่นี้คนตระกูลจิ่งของข้าทุกคนล้วนเป็ผู้ต้องสงสัย ไม่เหมาะจะไปสืบสวน มิเช่นนั้นจะเสียความยุติธรรมไป ต้อง ลำบากคุณชายหลัวเป็ผู้รับผิดชอบตัดสินใจแล้ว พวกข้าเองก็จะไปด้วย ต้องไปตรวจดูให้ละเอียดอย่างแน่นอน...”
จิ่งเฟิงกั๋วเงยหน้ามองคนหนุ่มสาวรอบๆ “เื่นี้ปล่อยให้คุณชายหลัวเป็คนจัดการ ทุกท่านที่อยู่ที่นี้สามารถเป็ผู้ควบคุมตรวจตราได้ ไม่ว่าจะตระกูลเฉินหรือตระกูลจิ่ง หรือตระกูลใดจะบริสุทธิ์หรือไม่อย่างไรก็ต้องได้รับความเป็ธรรม!”
ทุกคนถูกประโยคนี้ของจิ่งเฟิงกั๋วที่เต็มไปด้วยพลังทำให้ตกตะลึงจนเงียบลง แต่ก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ว่าคนผู้นี้ช่างน่าเกรงขามจริงๆ
หลัวฉี่มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อจิ่งเฟิงกั๋วพูดจบก็รีบประสานมือรับว่า 'ขอรับ' ทันที “ในเมื่อท่านผู้าุโจิ่งฝากฝังเื่นี้ให้แก่ข้า หากข้ายังปฏิเสธอีกก็คงไม่รู้ความแล้ว หลัวฉี่ขอขอบคุณท่านผู้าุโจิ่งที่เชื่อใจ ข้าต้องกระทำอย่างยุติธรรมแน่นอน และขอเชิญพี่ชายท่านอื่นช่วยข้าเสนอความคิดด้วย”
อ๋าวหรานมองดูเื่ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ แล้วรู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก เฉินเปิ่นฉีถูกผู้ใดฆ่า? หากพูดถึงคนที่น่าสงสัยที่สุดก็น่าจะเป็เขาและเหยียนเฟิงเกอ แน่นอนว่าหากอาวุธสังหารเป็กระบี่สั้นของตระกูลจิ่ง เช่นนั้นก็ไม่อาจตัดพวกจิ่งฝานออกไปได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็ล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกัน จะแก้แค้นแทนเพื่อนก็ไม่ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
แต่นี่เป็แค่เื่ที่เขากุขึ้นเพื่อหลอกตระกูลทางเท่านั้น ถึงแม้ว่าตระกูลเฉินจะทำเื่ที่น่าดูถูก และในนิยายต้นฉบับก็สร้างปัญหาและความโชคร้ายให้กับจิ่งฝานมากมาย แต่จะอย่างไรก็เทียบไม่ได้กับความเคียดแค้นที่พวกเขามีต่อตระกูลทาง ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางหาเื่ใส่ตัวโดยการไปฆ่าคนอย่างเฉินเปิ่นฉีที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรอย่างแน่นอน
หากไม่ใช่พวกเขาที่ฆ่าเฉินเปิ่นฉี เช่นนั้นเป็ผู้ใด? แค่มีความแค้นธรรมดาๆ กับตระกูลเฉิน แล้วเหตุใดต้องผลักความผิดไปให้ตระกูลจิ่งเป็ผู้รับเคราะห์แทน
อ๋าวหรานความคิดล่องลอยสับสน ส่วนอีกด้านหนึ่งทุกคนก็เตรียมตัวจะไปที่ไหล่เขาตระกูลจิ่งเพื่อสืบดูแล้วลลส่วน
จิ่งเซียงเงยหน้ามองทุกคนแล้วถามอย่างกังวลว่า “พวกเราเจอปัญหาเข้าแล้วใช่หรือไม่?”
เป็ปัญหาจริงๆ นั่นแหละ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป็คนตระกูลจิ่งทำหรือไม่ ต่อให้ไม่ใช่ แต่นี่เป็เขตอิทธิพลของตระกูลจิ่ง หากหาตัวฆาตกรเจอก็ดีไป แต่ถ้าหาไม่เจอ ตระกูลเฉินจะต้องโวยวายใหญ่โตแน่ อีกทั้งเื่นี้อย่างไรก็เป็ตระกูลจิ่งที่เสียเปรียบ ไม่ว่าบทสรุปจะเป็เช่นไร เื่นี้ก็ล้วนไม่ใช่เื่ดี
ไม่ว่าในใจอ๋าวหรานจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจทนเห็นจิ่งเซียงวิตกกังวลเช่นนี้ได้ จึงลูบหัวนางแล้วพูดปลอบว่า “ไม่ต้องกังวล ทหารมาก็เอาแม่ทัพเข้าสู้ น้ำมาก็เอาดินเข้าขวาง อีกอย่างเื่นี้ยังไม่มีข้อสรุป ขอแค่หาตัวฆาตกรให้เจอ ตระกูลเฉินก็คงทำอะไรตระกูลจิ่งไม่ได้ อีกทั้งพวกเขายังต้องชั่งน้ำหนักความสามารถของตัวเองก่อนด้วยซ้ำ มีข้าอยู่ทั้งคน อย่าได้กังวลใจไป”
จิ่งฝานมีสีหน้ายากจะคาดเดา อดหันศีรษะมามองเขาทีหนึ่งไม่ได้
จิ่งเซียงพยักหน้า อดไม่ไหวตีอ๋าวหรานไปเบาๆ “มีเ้าแล้วจะมีประโยชน์อันใด สามารถป้องกันทหารนับพันม้านับหมื่นได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?”
อ๋าวหรานยิ้มแล้วยีผมสลวยของนางจนยุ่ง
จิ่งจื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มเดินมาทางนี้แล้วจึงพูดว่า “พวกเราก็ตามไปด้วยเถอะ ไปดูสถานการณ์กัน”
แล้วพวกเขาก็พยักหน้า
หินก้อนเดียวทำให้เกิดคลื่นนับพัน1(一石激起千层浪)เปรียบเทียบกับหินเพียงก้อนเดียวที่ตกลงในน้ำจนทำให้เกิดคลื่นขยายเป็วงกว้าง คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า 'น้ำผึ้งหยดเดียว'
