เด็กหนุ่มชุดดำสามคนมาได้จังหวะพอดีเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ถูกตัดเย็บให้พอดีตัว การตัดเย็บดีมาก เนื้อผ้าที่ใช้ก็ดีมากเช่นกันแต่ชุดของทั้งสามคนนั้นเป็ชุดแบบเดียวกันทั้งหมด น่าจะเป็บ่าวรับใช้ของตระกูลใหญ่สักตระกูลเป็แน่เมื่อพวกเขาเข้ามาก็เริ่มสอดส่องสายตามองหา จนมาหยุดอยู่ที่อันเจิง
“เ้าคืออันเจิงใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเอ่ยขึ้นนิ้วของเขาชี้ไปที่ปลายจมูกที่ยื่นออกมาของอันเจิง
“ข้าชื่อเฉินชี เป็คนของตระกูลเฉิน เ้าต้องไปที่บ้านตระกูลเฉินเดี๋ยวนี้!”เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังกลับไปทันที
เฉินชีก้าวออกไปสองก้าวแล้วแต่อันเจิงยังคงไม่ขยับตัวเขาจึงหันหน้ากลับมาอีกครั้ง เห็นอันเจิงกำลังนั่งอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในอ้อมแขนมีเ้าแมวน้อยสีขาวราวหิมะนอนอยู่
“เมื่อครู่ที่ข้าพูด เ้าไม่ได้ยินรึ?!” เขาถามอันเจิงด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
อันเจิงเหล่ตามองไปที่เขา “เรียกข้าว่าท่านอันสิ”
แค่พริบตาเดียวสีหน้าของเฉินชีก็เปลี่ยนไปดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไร เขาคือคนที่ตระกูลเฉินส่งมา ในย่านหนานชานนี้ เขาสามารถใช้กำลังบังคับให้ใครทำอะไรก็ได้อย่างไรทุกคนก็ต้องทำตามคำสั่งไม่ใช่หรือ? แต่ในขณะนี้มีเด็กยากจนคนหนึ่งพูดจายโสโอหังใส่เขาแต่เขากลับไม่มีสีหน้าโกรธเคืองหรือโมโหแม้แต่น้อย
“อันเจิง ถ้านายน้อยของข้าไม่ได้อยากพบเ้าคิดว่าตอนนี้เ้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ?”
“เรียกข้าว่าท่านอัน” อันเจิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เฉินชียังคงก้าวเดินไปข้างหน้า “ข้าจะให้โอกาสเ้าอีกแค่ครั้งเดียวรีบลุกขึ้นแล้วไปกับข้าเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้าสักครั้ง”
อันเจิงพ่นลมหายใจออกมา “นี่เ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยรึข้าให้โอกาสเ้ามาสองครั้งแล้วนะ”
เฉินชีเริ่มเข้าใจในสิ่งที่อันเจิงกำลังทำแล้วเขาโกรธมาก ยื่นมือออกมาชี้หน้าอันเจิง “สั่งสอนให้เข็ดหลาบแล้วค่อยลากมันออกไปเจอนายน้อย”
เด็กหนุ่มชุดดำอีกสองคนปรี่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังอันเจิงอย่างรวดเร็วตำแหน่งในการยืนดีมาก แสดงให้เห็นว่าพวกเขาผ่านการฝึกฝนมาเป็อย่างดี พวกเขาเข้ามาโจมตีอันเจิงทันทีเท้าของเด็กคนหนึ่งถีบเข้าที่ท้องของอันเจิงอย่างจังส่วนอีกคนหนึ่งก็เข้ามาทำลายเก้าอี้ที่อันเจิงนั่งอยู่ ความเร็วในการใช้ขาพวกเขาสูงมากอีกทั้งยังมีพลังที่โหดร้าย
การโจมตีของสองเด็กหนุ่มทำให้ขาของอันเจิงทรุดลงทันทีเสียงเก้าอี้กระแทกลงกับพื้นดังสนั่น เศษไม้กระจายไปทั่วแต่ทั้งสองเด็กหนุ่มก็สามารถหลบได้อย่างง่ายดาย
เมื่อตู้โซ่วโซ่วเข้ามาเห็นจึงะโออกมาเสียงดัง“นี่เ้ากล้าทำเพื่อนข้ารึ!”
พูดจบตู้โซ่วโซ่วก็ปรี่เข้ามาต่อยจมูกของเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งความเร็วของเขาพอใช้ได้ เพราะฝึกฝนทักษะการต่อสู้ในสำนักอยู่ทุกวัน แต่การโจมตีนั้นขาดพลังจึงยังนับเป็มือสมัครเล่น
เด็กหนุ่มชุดดำอีกคนหนึ่งสามารถหลบหมัดของตู้โซ่วโซ่วไปได้เขาจับที่ข้อมือของตู้โซ่วโซ่วแล้วบิดไปไว้ด้านข้างร่างกายของตู้โซ่วโซ่วเสียสมดุลจนตัวโน้มเอียงไปข้างหน้า ยังไม่ทันล้มลงเด็กหนุ่มชุดดำคนที่สองก็เอื้อมมือไปจับที่ข้อเท้าของเขาเด็กหนุ่มชุดดำสองคนร่วมมือกัน คนหนึ่งจับข้อมือ อีกคนจับข้อเท้า จากนั้นก็หักแขนหักขาพร้อมกัน
ปัง!
เด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งโดนโจมตีเข้าที่หลังคออย่างจัง พวกเขาไม่ได้สังเกตว่าอันเจิงลุกขึ้นมาจากพื้นเมื่อไหร่ความเ็ปกะทันหันทำให้ร่างกายเขาเสียสมดุล มือเท้าอ่อนแรง คว้าตัวตู้โซ่วโซ่วเอาไว้แล้วล้มลงไปอันเจิงจึงใช้เท้าถีบซ้ำเข้าไปที่ลำคอของเด็กหนุ่มชุดดำคนนั้น กระดูกต้นคอของเขาโดนกระแทกอย่างแรงจนถึงกับกระอักเืออกมาสุดท้ายเขาก็ถูกอันเจิงใช้เท้าเหยียบจนตาย
ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าอันเจิงจะมีเื่กับพวกนักเลงอันธพาล แต่ก็ไม่เคยลงมือถึงตายต่างจากครั้งนี้ เขาฆ่าพวกมันอย่างไร้ความปรานี
“หัวใจที่มืดบอดบวกกับความเหี้ยมโหดในจิตใจทำให้การโจมตีทวีความรุนแรงจนถึงตาย”
อันเจิงวางเ้าแมวน้อยกลับลงไปในอกเสื้อของตน“อาการาเ็ของข้ารุนแรงมาก เดิมทีจึงยังไม่คิดฆ่าใครทั้งนั้น แต่พวกเ้ากลับปลุกด้านที่โเี้ในหัวใจข้าได้สำเร็จ”
อันเจิงใช้เท้าเตะไปที่ศพของเด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นอีกครั้งแล้วเดินไปหาเฉินชี“วิธีการฆ่าคนแบบนี้ เ้านายตระกูลเฉินของเ้าสั่งสอนมางั้นรึ?”
เฉินชีมีสีหน้าเปลี่ยนไปใบหน้าของเขาเริ่มขาวซีดตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าการโจมตีของอันเจิงจะรวดเร็วและหนักหน่วงขนาดนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่ได้ไปที่บ้านอันเจิงกับเ้านายของเขาจึงไม่ได้เห็นฉากที่อันเจิงใช้มีดทื่อ ๆ ฟันคนนับสิบ หากได้เห็นสักนิด เขาคงไม่แสดงท่าทีแบบนั้นแน่เขาเพียงแค่อิจฉา อิจฉาที่คนในตระกูลเฉินให้ความสำคัญกับอันเจิง ถึงขนาดเรียกว่า “อันเจิงเด็กหนุ่มที่ไร้ความหวัง”
ที่จริงแล้วเฉินชี้าเพียงจะให้บทเรียนแก่อันเจิงเท่านั้นสำหรับไอ้อ้วนนั่น ถ้าฆ่าได้ก็ฆ่า เพราะการฆ่ามันเป็เื่ปกติธรรมดาสำหรับเขาอยู่แล้ว
“อันเจิง...เ้าก็น่าจะรู้นะว่าการตั้งตัวเป็ศัตรูกับตระกูลเฉินมันจะส่งผลอย่างไร”
อันเจิงไม่ได้สนใจคำพูดของเฉินชีและก้าวเท้าไปหาเขาเมื่อเห็นอันเจิงกำลังเดินเข้ามาหาตนเอง ยังไม่ทันจะได้มองอะไรให้ชัดเจน ก็พลันเห็นเงาของสัตว์ร้ายโเี้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของอันเจิงสัตว์ร้ายตัวนั้นทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก เพียงชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังแตกออกเป็เสี่ยง ๆ
“คนอย่างพวกเ้า เก็บเอาไว้ก็มีแต่จะนำความซวยมาให้เท่านั้น”
อันเจิงเดินไปได้ครึ่งทาง เขาก็ใช้เท้าเตะเด็กหนุ่มชุดดำที่นอนทับตู้โซ่วโซ่วออกร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นกระเด็นออกไปพลิกโต๊ะที่ล้มคว่ำอยู่ให้ตั้งกับพื้นดังเดิมตู้โซ่วโซ่วรีบลุกขึ้นนั่งทับลงไปที่ร่างของเด็กหนุ่มชุดดำหลังจากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดลงไป “ให้ท่านตู้คนนี้ สั่งสอนเ้าหน่อยเป็อย่างไร!”
“อันเจิง...เ้าอย่าคิดว่านายน้อยของข้าอยากเจอเ้าแล้วข้าจะไม่กล้าฆ่าเ้านะ”
เฉินชีเดินถอยหลังไปสามก้าวและคิดได้ว่าตัวเขาต้องห้ามเสียหน้าโดยเด็ดขาดเขาจึงบังคับตัวเองให้ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง หลังจากนั้นก็พลิกข้อมือเผยให้เห็นมีดเล่มเล็กที่ซ่อนอยู่เขาชี้มันไปที่อันเจิง “ข้าจะพูดเป็ครั้งสุดท้าย ถ้าเ้ายังกล้าก้าวเข้ามาอีกก้าวข้าจะฆ่าเ้า”
อันเจิงก้าวไปข้างหน้าทันทีเพียงครู่เดียวเขาก็อยู่ตรงหน้าเฉินชี เป็เวลาเดียวกับที่มีดเล็กเล่มนั้นพุ่งตรงไปที่หัวใจของอันเจิงช่างเป็การฆ่าที่แสนโเี้อำมหิต
อันเจิงเอามือทั้งสองรับมีดเล็กนั้นได้ทันแล้วออกแรงบิดมีดเล่มนั้น ทำให้มือของเฉินชีบิดเบี้ยวตามไปด้วยจนกระดูกข้อมือแตกอันเจิงคว้ามีดเล็กมาจากมือของเฉินชี ควงมีดหนึ่งรอบอย่างสวยงาม หลังจากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้าเฉินชียกแขนของเฉินชีขึ้นและใช้มีดเล็กเล่มนั้นกรีดลงไปบนข้อมือ เผยให้เห็นเส้นเอ็นสีขาวที่น่าแปลกคือเส้นเอ็นนั้นไม่ได้ถูกกรีดจนเสียหาย มีแค่เนื้อเท่านั้นที่แยกออกจากกัน
วิธีการแบบนี้ มันสะใจกว่ามาก!
อันเจิงใช้มีดจี้ลงไปที่ข้อมือของเฉินชีที่ในตอนนี้มีเส้นเอ็นโผล่ออกมา “เมื่อครู่เ้าพูดว่าเ้าจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?แล้วถ้าในตอนนี้มีดมันเปลี่ยนด้านเล่า เ้าจะทำอย่างไร?”
“อัน...ท่านอัน”
เฉินชีหน้าซีดราวกับกระดาษหน้าผากของเขามีเหงื่อเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองผุดออกมา ในตอนนี้เขารู้ซึ้งถึงความผิดพลาดของตนเองแล้วผิดที่ไปยั่วโมโหคนที่ไม่สมควร ผิดที่โง่เอง คนที่นายน้อยให้ความสำคัญจะเป็คนไร้ความสามารถได้อย่างไรตัวเขาเองก็เหมือนคนที่ไม่รู้ดีชั่ว คิดริษยาและคิดจะไปต่อกรกับอันเจิง ในตอนนี้มือของเขาก็เหมือนถูกแขวนเอาไว้ด้วยคมมีดแค่ออกแรงเฉือนลงไปเพียงนิด มือของเขาก็จะหายไปทันที
“สายไปแล้ว ข้าให้โอกาสเ้ามาสองครั้งแล้ว”
เมื่ออันเจิงพูดจบ ด้านนอกก็มีคนก้าวเข้ามา“ท่านอัน ไว้ชีวิตมันเถอะ”
เป็เฉินผู่ ใบหน้าของเขายังประดับด้วยรอยยิ้มเป็มิตรเฉินผู่คือผู้มีสิทธิ์ในตระกูลเฉินเป็อันดับสาม แต่ตำแหน่งของเขากลับแย่กว่านั้นมากนั่นเป็เพราะเขาไม่ใช่สายเืแท้ ๆ ของตระกูลเฉิน หากเขาไม่มีความพยายามและความโเี้มากพอคงไม่อาจมีตัวตนอยู่ในบ้านตระกูลเฉินอย่างวันนี้ได้
เฉินผู่ยกมือประสานกันพร้อมทำท่าคารวะ “ท่านอันตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้มันทำให้ท่านรำคาญใจใช่หรือไม่? เ้าพวกนี้มันไม่เข้าใจในกฎของเราทำให้ท่านอันต้องโมโห ข้าในนามของคนตระกูลเฉินต้องขอโทษท่านด้วย”
เฉินผู่เดินไปข้างหน้าและหยุดอยู่ระหว่างอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วถ้าเขาขยับอีกครั้ง เขาจะสามารถจับตัวตู้โซ่วโซ่วได้อย่างง่ายดาย
อันเจิงเบะปาก ฉึก! เสียงเบา ๆของมีดที่ตัดลงไปบนข้อมือของเฉินชี “ข้าชอบคนที่ทำให้ข้ารำคาญเพราะไอ้คนพวกนี้ไม่เคยต่อกรกับข้าได้เลยสักคน” เฉินชีกรีดร้องด้วยความเ็ปแล้วถอยกรูดไปด้านหลังขณะที่ถอยร่น เท้าของเขาก็ไปสะดุดเก้าอี้จนล้มลงไปกับพื้น
ภายในห้องเล็ก ๆ ด้านในโรงหมอชวีหลิวเอ๋อ้าที่จะไปหยุดพวกเขา แต่ถูกชวีเฟิงจื่อดึงเอาไว้เสียก่อน “อย่าออกไป...หลิวเอ๋อเ้าจงจำคนข้างนอกที่ชื่อเฉินผู่ให้ดี มันเป็ศัตรูของเ้าถ้าวันหนึ่งเ้าสามารถฝึกฝนวิชาได้ละก็ อย่าลืมที่จะฆ่ามัน สับมันให้แหลกเป็ชิ้น ๆบิดาของเ้าขอร้องข้าไว้ก่อนตายว่าอย่าบอกเื่นี้แก่เ้า แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าเ้าจะเป็เด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย อย่างไรเ้าก็ควรแก้แค้นให้บิดา”
ชวีหลิวเอ๋อพยักหน้ารับคำพร้อมน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้ม
เฉินผู่แทบจะไม่สนใจที่อันเจิงตัดข้อมือของเฉินชีไปเขากลับพูดกับอันเจิงด้วยความสุภาพ“ขอบคุณท่านอันที่ช่วยให้บทเรียนกับไอ้คนที่ไม่เข้าใจกฎ แต่ว่าท่านอันถ้าท่านพอจะมีเวลาก็เชิญไปที่บ้านตระกูลเฉินเถอะนายน้อยของเรา้าพบท่านให้เร็วที่สุด”
อันเจิงพยักหน้ารับคำ “รอข้ากินยาก่อนแล้วข้าจะไป”
เฉินผู่คารวะอันเจิง “ถ้าเป็เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอต้อนรับท่านอัน”
เขาเดินไปประคองเฉินชีขึ้น “ไอ้สวะ!”
“ท่านพ่อ...” เฉินชีร้องประท้วง
เฉินผู่หันไปตวาดเฉินชี “หุบปากของเ้าซะ!”
หลังจากนั้นเขาก็พาเฉินชีเดินจากไป
ในแววตาของอันเจิงมีความเ็าซ่อนอยู่...เฉินผู่คนนี้ช่างสุขุมนุ่มลึกยิ่งนักเขามีขีดจำกัดความอดทนที่สูงยิ่ง คนเช่นนี้เหมือนะเิเวลาที่รอวันปะทุออกมา หากหมดความอดทนเมื่อไหร่กลัวว่าความรุนแรงนั้นมันจะยิ่งกว่าดินถล่มฟ้าทลาย เฉินผู่ไม่ใช่คนขี้ขลาดแต่เขารู้สถานะของตนเองดีถึงแม้ว่าจะเป็คนนอกเช่นอันเจิง ก็ไม่สามารถทำให้เขาโมโหโกรธาได้ แต่การที่บิดาคนหนึ่งทอดทิ้งบุตรชายของตนอย่างไม่ไยดีมันทำให้อันเจิงมองเขาไม่ออกจริง ๆ
อันเจิงหันกลับไปทางตู้โซ่วโซ่วที่เตะต่อยเด็กหนุ่มชุดดำอีกคนจนน่วมไปแล้วเขาเข้าไปลากตู้โซ่วโซ่วออกมา “หยุดได้แล้วน่า ข้าขอเตือนเ้านะว่าอย่าฆ่าใครเด็ดขาดถ้าเ้าเริ่มฆ่าคนเมื่อไหร่ หลังจากนั้นฝันร้ายมันก็จะเริ่มขึ้น”
“แล้วเ้าเล่า?” ตู้โซ่วโซ่วมองไปที่เด็กหนุ่มชุดดำที่อันเจิงเหยียบจนตาย “เ้าไม่กลัวที่จะฝันร้ายรึ?”
อันเจิงหัวเราะ “ข้าน่ะหรือ? ข้าน่าจะเป็ฝันร้ายของผู้อื่นมากกว่า สำหรับข้าไม่มีทางที่จะฝันร้ายแน่”
ชวีเฟิงจื่อที่หลบอยู่ในห้องเล็กเดินออกมา“พวกเ้าดื่มยาแล้วรีบไปเถอะ ข้าให้พวกเ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว รีบไปเสีย!”
อันเจิงรู้ดีว่าชวีเฟิงจื่อคงไม่กล้าทำอะไรให้คนของตระกูลเฉินขุ่นเคืองดังนั้นเขาจึงได้แต่ดื่มยาและนำยากลับไป ไม่ได้อาบน้ำตามที่คิดไว้ เขาเอ่ยขอบคุณพร้อมจดสูตรยาให้กับชวีเฟิงจื่อ“ถ้าท่านศึกษาจนเข้าใจ มันจะมีประโยชน์ต่อท่านมาก”
ชวีเฟิงจื่อไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปเอาความหยิ่งยโสแบบนี้มาจากที่ไหนเขานิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ดันอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วออกไปข้างนอก
อันเจิงและตู้โซ่วโซ่วเดินออกมาจากโรงหมอ ตู้โซ่วโซ่วเดินไปพลางถาม“เ้าก็มีแรงเตะต่อยไอ้พวกนั้นนี่นา แล้วทำไมต้องให้ข้าแบกเ้าอีกเล่า?”
“ก็หน้าที่สบาย ๆ แล้วมันแปลกตรงไหน”อันเจิงยิ้มขำ
“แต่ข้าคิดว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ...”ตู้โซ่วโซ่วยังไม่ยอมแพ้
“เดี๋ยวอีกหน่อยเ้าก็ชิน”
“...”
เวลานี้ในย่านหนานชานมีคนเดินอยู่เพียงไม่กี่คนยิ่งดึก...โลกมายายิ่งทวีความโหดร้ายมากขึ้นดังนั้นคนธรรมดาคงไม่มีใครกล้าออกมาเดินอยู่ตามถนน ตกดึกก็ปิดประตูเข้านอนกันหมดแต่ในเวลานี้ ด้านหน้าของพวกเขามีเกี้ยวหลังหนึ่ง ชายสี่คนใส่ชุดลายครามกำลังแบกเกี้ยวเดินสวนมาเมื่อผ่านอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วม่านก็เปิดออก คนในเกี้ยวมองมาที่อันเจิง “แมวน้อยตัวนี้ช่างสวยงามนัก”
เขาชี้ไปที่เ้าแมวน้อย “ยกมันให้ข้าซะไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเ้า”
อันเจิงหัวเราะออกมา “ก่อนที่เ้าจะอยากได้สมบัติของใครเ้าก็ควรแสดงความกตัญญูสักหน่อย!”