พูดจบหญิงสาวก็ชี้ไปที่มุมห้องทำงาน ซึ่งมีชุดเก้าอี้หวายพร้อมชุดน้ำชาตั้งอยู่ ดูท่าจะเป็ที่รับรองแขก
คังอิงกล่าวขอบคุณเธอ จากนั้นก็เดินไปนั่งลงด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
หลังจากที่เธอนั่งลง คังอิงก็กวาดตามองไปรอบๆ คนอื่นๆ ในห้องทำงาน บ้างก็อ่านหนังสือพิมพ์ บ้างก็ก้มหน้าก้มตาเขียนเอกสาร ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนแต่มีงานต้องทำ แต่ก็แฝงไปด้วยบรรยากาศสบายๆ และเฉื่อยชา
คังอิงรู้ว่าถึงจะว่างแค่ไหน พนักงานในหน่วยงานก็ต้องหาอะไรทำสักหน่อย เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นมองว่าตัวเองว่างมากเกินไป
เธอไม่ได้รบกวนพวกเขา จึงหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวาน ‘ฉวี่เจียงรายวัน’ ขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ
ยุคสมัยนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ดังนั้นหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์จึงกลายเป็ช่องทางหลักในการรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพราะเช่นนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส คังอิงจะอ่านหนังสือพิมพ์เสมอ เธอยังวางแผนว่าจะไปที่ทำการไปรษณีย์เพื่อสมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์และนิตยสาร เพื่อทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ของยุคสมัยนี้ให้มากขึ้น และป้องกันไม่ให้ตัวเองหลงทางอีกด้วย
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะพอเข้าใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในยุคสมัยนี้บ้างแล้ว แต่ข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับก็มาจากเอกสาร ซึ่งมันเต็มไปด้วยตัวเลขที่ไร้ชีวิตและแิโดยรวม คังอิงรู้สึกว่าถ้าเธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้ เธอจำเป็ต้องเรียนรู้รายละเอียดต่างๆ ให้มากขึ้น ดังนั้นการรับข้อมูลข่าวสารจึงเป็สิ่งสำคัญ
คังอิงจดจ่ออยู่กับหนังสือพิมพ์ ‘ฉวี่เจียงรายวัน’ ที่มีบทความเชิงการเมืองอยู่บทความหนึ่ง บังเอิญว่ามันเป็บทความที่สำนักงานใหญ่ธุรกิจอำเภอหลี่ว์ส่งไป
คังอิงรู้ว่าในยุคนี้ไม่มีสื่อโซเชียลเวยปั่ว หรือช่องทางสื่อใดๆ ที่ดำเนินการโดยบุคคลหรือบริษัทเอกชน บทความทางการเมืองที่สามารถเผยแพร่บน ‘ฉวี่เจียงรายวัน’ ได้นั้น จึงต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และมันก็แสดงให้เห็นถึงความคิดกระแสหลักของประเทศด้วย
ดังนั้นคังอิงจึงตั้งใจอ่านบทความนี้อย่างจริงจัง หัวข้อหลักของบทความนี้คือ ‘ปฏิรูปให้ลึกซึ้ง กระตุ้นกลไก’ ส่วนหัวข้อย่อยคือ ‘มุมมองบางประการเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยสำนักงานใหญ่ธุรกิจอำเภอหลี่ว์’
เนื้อหาโดยทั่วไปกล่าวถึงวิธีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และกระตุ้นพลังในการทำงานต่างๆ เป็ต้น
พอคังอิงอ่านบทความนี้จบ เธอก็รู้สึกดีใจราวกับได้รับโชคจากฟ้า บทความนี้เป็ลางบอกเหตุที่ดีสำหรับการเดินทางมาที่นี่ของเธอในวันนี้ เพราะมันสื่อถึงสัญญาณบางอย่าง แสดงให้เห็นว่าคนที่ทำงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ธุรกิจอำเภอหลี่ว์ก็้าปฏิรูปห้างสรรพสินค้า และยังมองเห็นข้อบกพร่องในการทำงานของตน พวกเขามีความคิดที่จะก้าวไปข้างหน้า
คังอิงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางสง่างาม คนที่รักการเรียนรู้นั้นมักจะมีเสน่ห์ที่พิเศษ ทำให้คนอื่นรู้สึกเคารพชื่นชม ดังนั้นหญิงสาวที่รับสายก่อนหน้านี้จึงรู้สึกดีกับคังอิง เธอต้มน้ำร้อนแล้วชงชา จากนั้นก็ยกไปวางไว้ตรงหน้าคังอิง พลางกล่าวอย่างสุภาพว่า
“ดื่มน้ำหน่อยนะคะ ่นี้ผู้อำนวยการหลี่ค่อนข้างยุ่ง คุณมาหาเขามีธุระอะไรหรือคะ?”
คำถามของคนที่ทำงานในหน่วยงานแบบนี้ ไม่ใช่คำถามที่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย พวกเขาเพียงแค่หาเื่คุยเท่านั้น อีกทั้งคังอิงยังเป็ผู้หญิงที่ดูโดดเด่น
สิ่งที่ทำให้คนสงสัยมากที่สุดก็คือ ถึงแม้ว่าเธอจะมีรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์เหมือนนักเรียนมัธยมปลายที่เพิ่งจบใหม่ๆ แต่เธอกลับไม่แสดงท่าทางหวาดกลัวเหมือนคนทั่วไปเมื่อมาถึงหน่วยงานของรัฐบาล บนตัวเธอมีบุคลิกสุขุมแน่วแน่ ทำให้คนที่ติดต่อกับเธอรู้สึกดีกับเธอ
ยิ่งไปกว่านั้นคังอิงยังหน้าตาสะสวย คนเรามักจะชอบคนที่หน้าตาดี และชอบพูดคุยกับพวกเขา ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ คงเปรียบได้ว่าเวลาผ่านไปเร็วมากตอนที่พูดคุยกับสาวงาม
คังอิงก็อยากจะเรียนรู้เื่ราวต่างๆ ให้มากขึ้น เธอรับชาที่หญิงสาวคนนั้นชงให้ แล้วกล่าวขอบคุณพร้อมกับยกขึ้นจิบหนึ่งคำ การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการขอบคุณอีกฝ่าย จากนั้นเธอก็หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาชี้ไปที่บทความบทหนึ่งพลางกล่าวว่า
“คนของสำนักงานใหญ่ธุรกิจของคุณเป็คนเขียนบทความนี้ใช่ไหมคะ? เก่งมากเลยนะคะที่เผยแพร่ใน ‘ฉวี่เจียงรายวัน’ ได้ ดูไม่เหมือนเลยนะคะ สำนักงานใหญ่ธุรกิจนี่ช่างมีเสือหมอบัซ่อน [1] อยู่จริงๆ ”
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะอย่างยินดี “บทความนี้ผู้อำนวยการหลี่เป็คนเขียนค่ะ ผู้อำนวยการหลี่เพิ่งจะมารับตำแหน่งที่บริษัทฉูเจียงได้ไม่นาน เขาเป็คนหนุ่มมีความคิด ยิ่งไปกว่านั้นบทความของเขายังได้รับการตีพิมพ์ใน ‘ฉูเจียงเดลี่’ อีกต่างหาก เป็บัณฑิตจริงๆ เลยค่ะ!”
หากพูดว่าใครคนหนึ่งเป็บัณฑิตในอำเภอหลี่ว์หมายความว่า อีกฝ่ายมีความรู้ความสามารถ และเขียนบทความได้ดีเยี่ยม
คังอิงรู้ว่าบทความแบบนี้ไม่อาจส่งไปโดยพลการได้ ต้องมีแิที่ชัดเจน หากไม่ได้รับการอนุมัติจากทางอำเภอ มันไม่มีทางถูกตีพิมพ์ใน ‘ฉูเจียงเดลี่’ ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ความคิดและแิบางอย่างของผู้อำนวยการหลี่ได้รับการยอมรับจากผู้นำระดับสูง
คังอิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ยิ่งดีใจมากขึ้น หากผู้นำของอำเภอหลี่ว์เห็นด้วยกับแิในบทความของผู้อำนวยการหลี่ เช่นนั้นการที่เธอขอเช่าห้างสรรพสินค้าก็คงจะมีหวังแล้ว
เธอจำได้ว่าใน่ยุค 90 เป็่ที่รัฐวิสาหกิจกำลังอยู่ใน่การปฏิรูป คนงานรวมไปถึงข้าราชการ และพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ล้วนเลือกที่จะลาออกจากงาน หรือลางานโดยไม่รับเงินเดือน แล้วหันมาทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่น อวี๋ิ่หง [2] แห่ง ‘นิว โอเรียนเต็ล’ เดิมเป็อาจารย์มหาวิทยาลัย แต่กลับลาออกจากงาน ส่วนสื่ออวี้จู้ [3] ที่สร้างแบรนด์ ‘น่าวไป่จิน’ ด้วยโฆษณาแบบล้างสมอง และสวี่เจียอิ้น [4] แห่ง ‘เอเวอร์แกรนด์’ ต่างก็เป็บุคคลที่มีชื่อเสียงที่ลาออกจากงาน แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ใน่เวลานี้
ในยุคสมัยนี้คำว่า ‘ลาออกจากงาน’ กลายเป็คำที่ได้รับความนิยมในหน่วยงานต่างๆ ใครก็มักจะได้ยินข่าวว่ามีคนลาออกจากงาน แล้วหันมาทำธุรกิจส่วนตัว จนกลายเป็เื่ที่น่าตื่นเต้นเล็กน้อย และทำให้หลายคนอยากลาออกจากงานมาทำธุรกิจเป็ของตัวเอง
ในตอนนี้หากใครกล้าพูดว่าตนเองจะลาออกจากงานเพื่อไปทำธุรกิจ ย่อมได้รับสายตาชื่นชมจากคนรอบข้าง
นี่คือยุคที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในการสร้างธุรกิจ ความกระตือรือร้นของคนหนุ่มสาว ผลักดันให้เกิดกระแสความนิยมในการเริ่มต้นธุรกิจ
มันแตกต่างจากยี่สิบปีต่อมา ที่มีคนลาออกจากงานในบริษัทที่ได้เงินเดือนปีละสองแสนหยวน เพื่อไปสมัครงานราชการที่ได้เงินเดือนเจ็ดถึงแปดหมื่นหยวน ผู้คนรอบข้างต่างก็พากันชื่นชม คิดว่าการมีงานที่มั่นคงย่อมดีกว่าการทำงานที่ได้เงินเดือนน้อยๆ แถมยังสบายใจจนไม่ต้องดิ้นรนอะไร
ยุคสมัยต่างกัน สภาพแวดล้อมต่างกัน ความคิดก็ต่างกัน แต่ในฐานะคนทำมาค้าขายอย่างคังอิง เธอรู้สึกดีใจมากที่เกิดในยุคที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในการสร้างธุรกิจ
คังอิงรู้สึกว่า ในที่สุดเธอก็ได้พบกับความหวังในการเช่าห้างสรรพสินค้า จริงอย่างที่เขาว่า คนเราหากขยันขันแข็งก็จะพบกับโอกาสดีๆ ก่อนที่เธอจะโทรศัพท์ โอกาสที่เธอจะได้เช่าห้างสรรพสินค้ามิตรภาพนั้นมีค่าเท่ากับศูนย์ แต่ตอนนี้มันอาจจะกลายเป็ 1% แล้วก็ได้
ดังนั้นคังอิงจึงพูดคุยกับหญิงสาวในห้องทำงาน ประสบการณ์ทางธุรกิจทำให้คังอิงเป็คนเข้ากับคนง่าย เธอสามารถสร้างสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่เธอเต็มใจจะผูกมิตร ไม่นานก็สามารถกลายเป็เพื่อนสนิทกับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย นี่เป็ความสามารถที่เกิดจากการฝึกฝนการสังเกตการณ์ และเสน่ห์เฉพาะตัวของเธอ
หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก คังอิงก็พูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับหญิงสาวคนนั้น เธอรู้ว่าอีกฝ่ายแซ่เซียว ชื่อเซียวอิงเสีย เป็รองหัวหน้าสำนักงานใหญ่ธุรกิจ รับผิดชอบการลงนามในเอกสาร และการจัดตารางนัดหมาย ไม่แปลกเลยที่เธอจะรู้ตารางงานของผู้อำนวยการหลี่เป็อย่างดี
คังอิงแนะนำตัวเอง และบอกว่าเธอเป็ผู้ประกอบการ ้ามาพูดคุยเื่ธุรกิจกับผู้อำนวยการหลี่
คังอิงดูสง่างาม ท่าทางดูดี ราวกับเป็ผู้หญิงที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา การพูดจาของเธอก็ดูเหมือนนักธุรกิจหญิง ทำให้เซียวอิงเสียไม่ได้สงสัยอะไร ครึ่งชั่วโมงผ่านไป คังอิงกับเซียวอิงเสียยังคงพูดคุยกันอย่างเมามัน
เชิงอรรถ
[1] หมายถึง คนที่มีอำนาจหรือความรู้ความสามารถมักซ่อนคมเอาไว้ รอจนได้โอกาสเหมาะก็จะเผยอำนาจหรือความสามารถนั้นออกมา
[2] อวี๋ิ่หง (俞敏洪) ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ‘นิว โอเรียนเต็ล’ (New Oriental Education & Technology Group) ซึ่งเป็บริษัทด้านการศึกษาเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
[3] สื่ออวี้จู้ (史玉柱) นักธุรกิจชื่อดังผู้ก่อตั้งบริษัท ‘ไจแอนท์ อินเตอร์แอคทีฟ’ (Giant Interactive) และบริษัท ‘ไบรท์ฟู้ด’ (Brain Gold) ซึ่งเป็ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ‘น่าวไป่จิน’
[4] สวี่เจียอิ้น (许家印) ประธานบริษัท ‘เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป’ (Evergrande Group) ซึ่งเป็บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับสองของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้