ในแดนมายา เย่เฟิงคือผู้ปกครอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของเขา กระทั่งเขาใช้พลังมายาสร้างแดนมายาไว้สำหรับบ่มเพาะพลังได้ โดยสร้างให้เหมาะสมกับตนเอง ขณะเดียวกันเขาก็ยังได้ศึกษาลวดลายเทวะของค่ายกลมายา เขาพบว่าวิถีลวดลายเทวะแฝงไปด้วยพลังธาตุต่าง ๆ นานา
ลวดลายเทวะในรูปแบบแดนมายานั้นสามารถแปรเปลี่ยนได้หลายสิ่ง โดยวิวัฒนาการมาจากพลังฟ้าดินให้เป็พลังมายา ซึ่งจากความรู้ที่เย่เฟิงมีต่อวิถีลวดลายเทวะ เขาจึงสามารถมองลวดลายเทวะชุดนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ตอนนี้ข้าควบคุมพลังมายาได้แล้ว ถึงเวลาที่ข้าควรจะออกไปได้แล้ว” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ
“เย่เฟิงคงไม่ได้แสร้งหรอกกระมัง ข้าว่าเขาตกรอบเป็แน่!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเช่นนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็มองเย่เฟิงด้วยสีหน้าดูแคลน
“เย่เฟิงก็แค่คนมีชื่อเสียงของอาณาจักรจ้าว แต่นับเป็สิ่งใดในแดนชิงอวิ๋นกัน?” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าวเสริม
“เฮ้อ!”
บนอัฒจันทร์หลัก องค์าาจ้าวเห็นฉากนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ และเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเย่เฟิง ส่วนจ้าวซินอี๋ก็ดูเป็กังวล นางคิดในใจว่า “เย่เฟิงเขาจะถูกคัดออกจริง ๆ หรือ?”
“มีอีกคนตื่นขึ้นมาแล้ว!”
ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน จู่ ๆ ผู้คนหันไปมองในค่ายกลมายา ก่อนจะเห็นเงาร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมแสงปะทุออกจากดวงตา
“เป็เขาเย่เฟิง เย่เฟิงตื่นขึ้นมาแล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!”
นาทีนี้ทุกคนต่างมองไปที่เย่เฟิงเป็สายตาเดียวกันด้วยความใ
“ผู้ฝึกยุทธ์คนที่ 20 ตื่นขึ้นมาแล้ว เย่เฟิงผู้นี้ช่างโชคดียิ่งนัก!”
ผู้คนเห็นเย่เฟิงตื่นขึ้นมาเป็คนสุดท้ายต่างก็คิดว่าเย่เฟิงโชคดี แม้กระทั่งองค์าาจ้าวก็คิดเช่นนี้ ส่วนจ้าวซินอี๋เห็นเย่เฟิงตื่นก็ระบายยิ้มออกมาทันที เย่เฟิงไม่ทำให้นางผิดหวังจริง ๆ
“ได้ขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายก็ดีแล้ว!”
เย่เฟิงนั้นไม่ได้คาดหวังสำหรับความสำเร็จในรอบนี้ ถึงอย่างไรอันดับแท้จริงก็ขึ้นอยู่กับการประลองรอบสุดท้าย
“20 คนครบพอดี รอบที่สองสิ้นสุดเพียงเท่านี้!”
หลังจากเย่เฟิงหลุดพ้นจากค่ายกลมายา ขุนนางผู้ดำเนินการที่อยู่บนอัฒจันทร์หลักก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะประกาศเช่นนั้น
เมื่อสิ้นเสียงของขุนนางผู้ดำเนินการ ผู้ฝึกยุทธ์สี่คนนั้นที่ห้อมล้อมผู้เข้าแข่งขันก็ผสานมือปลดปล่อยพลังเคล็ดวิชาไปยังค่ายกลมายา จู่ ๆ อักขระเหนือค่ายกลมายาโคจรเร็วขึ้น พร้อมส่องแสงระยิบระยับ จากนั้นค่ายกลเริ่มเปลี่ยนแปลงและไม่มั่นคง ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่จมอยู่ในแดนมายาเ่าั้รับรู้ได้ถึงความสั่นะเืที่รุนแรง จึงทยอยตื่นจากความฝัน
เมื่อคนเหล่านี้เห็นว่ามี 20 คนตื่นขึ้นมาก่อนแล้วต่างก็เผยสีหน้าผิดหวัง แต่พวกเขาทำได้เพียงยอมรับความจริงว่าพวกเขาตกรอบแล้ว แม้จะเป็อัจฉริยะชั้นยอดเหมือนกัน แต่ก็มีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่งปะปนกันไป
“สวะ ไม่นึกว่าเ้าจะดวงดีผ่านเข้ารอบ เช่นนั้นข้าจะกำจัดเ้าให้สิ้นซากในรอบต่อไป!”
ตอนที่เย่เฟิงเดินลงจากเวทีประลอง จู่ ๆ หวงเหยียนิกล่าวเสียงเย็นกับเย่เฟิงเช่นนั้น
“อยากฆ่าข้า นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเ้า อย่าลืมล่ะว่ามีหลายคนในเมืองลอยฟ้าอยากฆ่าข้า แต่กลับไม่มีผู้ใดทำสำเร็จสักคน ซึ่งล้วนแต่ตายในเงื้อมมือข้าทั้งนั้น” เย่เฟิงแสยะยิ้มอย่างเย็นเยือก ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายไปโดยไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
หวงเหยียนิเผยหน้าเขียว เื่ที่เกิดขึ้นที่เมืองลอยฟ้าเขาจะลืมได้อย่างไร มันคือความอัปยศอดสูของเมืองลอยฟ้า จุดประสงค์หลักที่เขาเดินทางมาครั้งนี้ก็คือฆ่าเย่เฟิง ในการประลองรอบสุดท้ายเขาจะต้องกำจัดเย่เฟิงให้จงได้
การประลองรอบที่สองสิ้นสุดลง ขุนนางผู้ดำเนินการให้เวลาพักครึ่งชั่วยาม เย่เฟิงก็ไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิเพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา ก่อนจะเริ่มฝึกพลังมายาให้มั่นคงขึ้น
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ขุนนางผู้ดำเนินการประกาศเริ่มการประลองรอบที่สาม ซึ่งการประลองรอบนี้คือศึกสุดท้ายที่ตัดสินว่าผู้ใดจะได้เป็ราชบุตรเขย
“การประลองรอบที่สามคือการทดสอบพลังต่อสู้แท้จริงของพวกเ้า ซึ่งจะใช้วิธีจับฉลากเลือกคู่ต่อสู้ของเ้า ผู้ชนะรอด ผู้แพ้ตกรอบ กฎง่าย ๆ ตรงไปตรงมา ผู้ชนะคนสุดท้ายจะได้เป็ราชบุตรเขตของราชวงศ์จ้าวข้า!”
ขุนนางผู้ดำเนินการกล่าวกับ 20 คนที่เหลือด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คนเ่าั้รู้สึกฮึกเหิมและเืเดือดพล่านขึ้นมา
จากนั้นเริ่มดำเนินการจับฉลาก ซึ่งผู้ที่จับฉลากได้เหมือนกันก็คือคู่ต่อสู้ ไม่นานนัก 20 คนก็จับฉลากเสร็จสิ้น
คู่ต่อสู้ของเย่เฟิงคือหลิวกังอัจฉริยะตระกูลหลิวแห่งอาณาจักรเหลียงที่ตื่นจากแดนมายาก่อนหน้าเขา
“โชคดีเสียจริง ไม่นึกว่าข้าจะจับได้คนที่อ่อนด้อยที่สุดในบรรดา 20 คน ดูท่า์อยากให้ข้าหลิวกังผ่านรอบนี้!” หลิวกังเห็นว่าตนจับฉลากได้เย่เฟิงก็เหยียดยิ้มมุมปากพร้อมเผยสีหน้าได้ใจ และคิดว่าตัวเองโชคดี
ในบรรดา 20 คน ไม่มีคนไหนที่เขาหลิวกังมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้ แต่มีเพียงเย่เฟิงเท่านั้นที่หลิวกังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 สูงสุด การเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 จึงไม่ใช่ปัญหาเท่าไร
“การจับฉลากรอบแรกจบลงแล้ว สิบกลุ่มประลองพร้อมกัน เริ่มได้ ณ บัดนี้!” ขุนนางผู้ดำเนินการกล่าวอีกครั้ง ทำให้ผู้คนชะงักไปเล็กน้อย
การประลองสิบกลุ่มพร้อมกันสามารถประหยัดเวลาไปได้มาก หลังผ่านการประลองนี้จะมีคนกว่าครึ่งที่ตกรอบ
ซือคงเสวียน เว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และเหลียงปู้ผั่วต่างก็จับฉลากได้คู่ต่อสู้ของตัวเอง จากนั้นทุกคนเดินขึ้นเวทีประลอง ซือคงเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง เสื้อคลุมสีขาวโบกสะบัดตามแรงลม ดูสง่าผ่าเผย ซึ่งคู่ต่อสู้ของเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 คนหนึ่งจากกองกำลังหนึ่งของอาณาจักรเฉิน
“ข้ายอมแพ้!”
ทว่าการเผชิญหน้ากับซือคงเสวียน คนนั้นไม่มีความกล้าที่จะสู้เลยแม้แต่น้อย จึงยอมรับความพ่ายแพ้ในทันที บางทีเขาอาจรู้ว่าตนเองห่างชั้นกับซือคงเสวียน ถึงได้เลือกที่จะยอมแพ้เช่นนี้
ซือคงเสวียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาเพียงปรายตามองชายผู้นั้นด้วยสายตาเฉยชาแวบเดียวเท่านั้น โดยที่ไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว
มีเพียงซือคงเสวียนที่ผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องต่อสู้ ส่วนคู่ต่อสู้ของเว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และเหลียงปู้ผั่วเลือกที่จะสู้ ซึ่งเว่ยเจิ้นเทียนมีฝีมือพอ ๆ กับซือคงเสวียน แต่เหตุใดซือคงเสวียนถึงผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องต่อสู้กัน เขาเว่ยเจิ้นเทียนไม่ดีพออย่างนั้นหรือ? ดังนั้นเว่ยเจิ้นเทียนจึงทำลายคู่ต่อสู้ของเขาในสามกระบวนท่าอย่างไร้ความปรานีใด ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายชดใช้ที่กล้าเมินเขาเช่นนี้
นอกจากนี้แล้วหวงเหยียนิและเหลียงปู้ผั่วต่างก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสามกระบวนท่าเช่นกัน ทำผู้คนใกับศักยภาพของสองคนนี้
“อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 เ้าจะยอมแพ้เอง หรือจะให้ข้ากำจัดเ้าในหนึ่งกระบวนท่า?”
ที่ไหนสักแห่งบนเวทีประลอง ขณะที่เย่เฟิงและหลิวกังยืนประจันหน้ากัน จู่ ๆ หลิวกังกล่าวเช่นนั้นกับเย่เฟิงด้วยคำพูดตรงไปตรงมา ในความคิดของหลิวกัง เขาสามารถกำจัดเย่เฟิงที่มีตบะต่ำต้อยได้อย่างไม่มีปัญหา
“ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะจับได้คู่กับหลิวกัง สองคนนี้คือสองคนสุดท้ายที่หลุดพ้นจากค่ายกลมายาในรอบที่สองเมื่อครู่ แต่ตบะของหลิวกังอยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ซึ่งสูงกว่าเย่เฟิงอยู่ 5 ขั้น เช่นนั้นเย่เฟิงน่าจะเป็ฝ่ายแพ้ราบคาบ!” คนผู้หนึ่งคาดการณ์เช่นนั้น
การคาดการณ์ของเขถือว่าไม่ไร้เหตุผล ในบรรดา 20 คนมีเพียงตบะของเย่เฟิงที่ยังไม่ถึงขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ส่วน 19 คนที่เหลือล้วนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ขึ้นไป การที่เย่เฟิงเดินมาถึงจุดนี้ได้ ถือว่าโชคดีเป็อย่างมาก
“ข้าว่าเย่เฟิงผู้นี้น่าจะเลียนแบบคู่ต่อสู้ของซือคงเสวียนที่ยอมแพ้ตรง ๆ ไม่เช่นนั้นเขาอาจตายในเงื้อมมือของหลิวกังก็เป็ได้” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกเย่เฟิง แต่ตบะระหว่างเย่เฟิงกับหลิวกังนั้นห่างชั้นกันมากเกินไป และเขาก็ไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 คนใดจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 สูงสุดได้
“กำจัดข้าในหนึ่งกระบวนท่า? ข้าก็อยากรู้ว่าเ้าจะทำได้อย่างที่กล่าวมาหรือไหม?” เย่เฟิงกล่าวพลางมองหลิวกังด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน ข้าหลิวกังเพิ่งเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 เช่นเ้าที่กล้าอวดดีเช่นนี้เป็ครั้งแรก!”
หลิวกังได้ยินเช่นนั้นก็ตาเผยประกายเย็นะเื “ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นเ้าก็จงชดใช้กับสิ่งที่เ้าพูดซะ!”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างหลิวกังทันที พร้อมกับปลดปล่อยพลังแห่งา จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดโจมตี พลันปรากฏเงาหมัดขนาดมหึมาที่กลางอากาศ ซึ่งหมัดนี้เพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ทั่วไปได้อย่างง่ายดาย
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!”
เย่เฟิงคร้านจะคุยกับอีกฝ่าย จึงวาดฝ่ามือโจมตี โดยมีลวดลายสลักบนฝ่ามือนี้ ทั้งยังผสานด้วยพลังหอก มิหนำซ้ำพลังฝ่ามือนี้ก็เกินสามแสนจิน
“ตูม!!!”
เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว ทันทีที่ฝ่ามือและรังสีหมัดเข้าปะทะกัน คลื่นทำลายล้างก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ
เย่เฟิงยืนนิ่งดุจภูผา แต่หลิวกังกลับส่งเสียงร้องโหยหวน พร้อมกับร่างกระเด็นไปกองกับพื้นเวทีประลองไกลถึงสามสิบจั้ง ก่อนจะอาเจียนสำลักก้อนลิ่มเืออกมา
