ตอนที่ 8 การตัดสินใจที่ยากลำบาก
สามเดือนในหมู่บ้านซีเฟิงได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวหลี่ซานไปอย่างสิ้นเชิง จากผู้อพยพที่สิ้นไร้ไม้ตอก บัดนี้พวกเขากลายเป็ครอบครัวที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้าน ทุกเช้าจะมีชาวบ้านนำหัวมันเทศร้อนๆ หรือไข่ไก่สดๆ มามอบให้ที่หน้ากระท่อมยาเพื่อแสดงความขอบคุณ พ่อหลี่ต้าเกอได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในไร่ของผู้ใหญ่บ้าน แลกกับส่วนแบ่งพืชผลที่ทำให้พวกเขามีอาหารกินอย่างไม่ขาดแคลน แม่ซูซูก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เสมอเมื่อเห็นหลี่เสี่ยวเป่าแก้มแดงมีเืฝาด วิ่งเล่นซุกซนไปทั่วหมู่บ้าน
ชื่อเสียงของ หมอเทวดาหลี่ซาน นั้นเลื่องลือไปไกล คลินิกเล็กๆ ของท่านหมอเฒ่าจางไม่เคยว่างเว้นจากผู้คน ทั้งจากในหมู่บ้านและจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่เดินทางมาด้วยความหวัง
“ท่านหมอเทวดาเ้าขา... เมื่อคืนข้านอนฝันร้ายว่าถูกหมูป่าไล่ขวิด ตื่นมาก็ปวดเอวไปหมดเลยเ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งโอดครวญ
หลี่ซานที่กำลังฝนยาอยู่เหลือบมองอย่างขบขัน "ท่านป้า... นั่นเป็เพราะท่านไปแบกฟืนหนักเกินไปต่างหาก ลองพักสักสองสามวันแล้วดื่มชาดอกเก๊กฮวยดูนะเ้าคะ จะได้นอนหลับสบาย ไม่ฝันถึงหมูป่าอีก"
“แล้วข้าล่ะ! แล้วข้าล่ะแม่นางน้อย!” นายท่านหวังที่บัดนี้แข็งแรงดีแล้ว เดินอุ้ยอ้ายเข้ามาพร้อมกับป้ายผ้าแพรสีแดงสดปักดิ้นทองเป็ประกายระยิบระยับ เขียนตัวอักษรตัวโตๆ ว่า พระโพธิสัตว์เดินดิน “ข้าตั้งใจทำป้ายนี้มามอบให้เ้าเป็การขอบคุณ! เอาไปแขวนไว้หน้ากระท่อมเลยนะ! ให้ทุกคนได้เห็น!”
หลี่ซานมองป้ายที่ดูหรูหราจนน่าอึดอัดแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ "ขอบพระคุณในน้ำใจของท่านมากเ้าค่ะนายท่านหวัง แต่ข้าว่า... เก็บไว้ที่บ้านของท่านน่าจะเหมาะสมกว่านะเ้าคะ"
นายท่านหวังท้าวสะเอว ทำหน้าไม่เชื่อ "ไม่เหมาะสมได้อย่างไร! เหมาะสมที่สุดแล้ว!" เขาชี้มาที่ตัวเองอย่างภาคภูมิใจ "แม่นางน้อยเ้ารู้หรือไม่ว่าความสามารถของเ้าน่ะล้ำเลิศแค่ไหน! ก่อนหน้านี้ข้าจ้างหมอมาจากในเมืองตั้งหลายคน ได้แต่ให้ยาขมๆ แล้วก็ส่ายหน้าบอกให้ข้าทำใจ!"
เขาทำท่าขนลุกขนพอง "แต่เ้า! แค่มองปร๊าดเดียวก็รู้ถึงรากเหง้าของโรค! เหมือนมีตาทิพย์มองทะลุไปถึงตับไตไส้พุงข้า!"
หลี่ซานรีบโบกมือปฏิเสธ "นายท่านหวังกล่าวเกินไปแล้วเ้าค่ะ เป็เพราะร่างกายของท่านตอบสนองต่อการรักษาได้ดีต่างหาก"
"อย่าถ่อมตัวไปเลย!" นายท่านหวังยังคงพูดต่ออย่างออกรส "แล้วตอนที่เ้าฝังเข็มทองนั่นอีก! ข้ารู้สึกได้เลยว่ามีพลังอุ่นๆ แล่นไปทั่วร่าง ไล่เอาความเจ็บป่วยออกไปจนหมดสิ้น! นี่มันไม่ใช่ฝีมือหมอธรรมดาแล้ว! นี่มันวิชาของเซียนชัดๆ!"
เขาดันป้ายผ้าแพรใส่มือนางอีกครั้ง "เพราะฉะนั้นป้าย พระโพธิสัตว์เดินดิน นี่แหละ เหมาะกับเ้าที่สุดแล้ว! รับไปเถอะน่า!"
ความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้กลายเป็เื่ปกติในชีวิตประจำวันของนาง แม้จะเหนื่อยแต่ก็เปี่ยมด้วยความสุขและความอบอุ่น ทว่า... ใต้ความสงบสุขนั้น คลื่นใต้น้ำแห่งความไม่แน่นอนกำลังก่อตัวขึ้นในหมู่คณะอพยพที่เหลืออยู่
ภัยแล้งทางตอนเหนือยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง ข่าวคราวที่มากับพ่อค้าเร่มีแต่เื่ราวที่น่าหดหู่ ความหวังที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดริบหรี่ลงทุกวัน ในขณะที่เส้นทางลงใต้ก็ยังคงอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยอันตราย ความอดทนของผู้คนเริ่มเดินทางมาถึงขีดจำกัด
คืนหนึ่ง หลังจากมื้อค่ำที่อิ่มหนำสำราญ บรรดาผู้อพยพที่เหลืออยู่ประมาณสิบกว่าครอบครัวก็มานั่งรวมตัวกันรอบกองไฟ บรรยากาศไม่ได้อบอุ่นเหมือนเช่นเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ชายคนหนึ่งชื่ออาฟู่ ซึ่งเป็หัวหน้าครอบครัวที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่ม ลุกขึ้นยืนพูดเป็คนแรก "พี่น้องทุกท่าน... พวกเราพักอยู่ที่นี่มาสามเดือนแล้ว ได้รับความเมตตาจากชาวบ้านซีเฟิงจนข้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร แต่เราจะอยู่ที่นี่ในฐานะแขกไปตลอดไม่ได้ ข้าคิดว่าเราควรจะเดินทางต่อไปยังเมืองข้างหน้า ไปหางานรับจ้างทำ อย่างน้อยก็ยังมีรายได้ประทังชีวิต"
ลุงชุน ชายชราที่หลี่ซานเคารพรัก ส่ายหน้าช้าๆ "ไปเป็กรรมกรในเมืองรึอาฟู่? เ้าก็รู้ว่าคนอพยพอย่างเรามักจะถูกกดขี่ข่มเหงและได้ค่าแรงเพียงน้อยนิด ข้าว่าอยู่ที่นี่ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่อดตาย และยังมีหมอเทวดาหลี่ซานคอยดูแล"
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนหันมามองที่หลี่ซานและครอบครัวของนาง ความกดดันฉายชัดขึ้นในแววตาของทุกคน
“แล้วเ้าล่ะซานเอ๋อร์?” อาฟู่ถามตรงๆ “เ้าคือความหวังของพวกเรา เ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
หลี่ซานเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบอย่างหนักแน่น "ข้าตั้งใจจะเดินทางลงใต้ต่อไปเ้าค่ะ... ไปยังชายฝั่งทะเล"
คำตอบของนางทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้น "ชายฝั่งทะเลรึ! นั่นมันไกลยิ่งกว่าไปเมืองหลวงเสียอีก!"
"ใช่เ้าค่ะ" หลี่ซานยืนขึ้น สบตาทุกคนอย่างไม่หวั่นไหว "ข้าเชื่อว่าที่นั่นมีโอกาสที่ดีกว่า มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์กว่า และมีอนาคตให้ลูกหลานของเรา"
การประชุมในคืนนั้นจบลงโดยไม่มีข้อสรุป แต่ก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความแตกแยกลงในใจของทุกคนแล้ว
และมันก็ส่งผลมาถึงวงอาหารค่ำของครอบครัวหลี่ในคืนต่อมา
"ซานเอ๋อร์... พ่อคิดว่าเราควรจะอยู่ที่นี่" พ่อหลี่ต้าเกอเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบ "ที่นี่เราปลอดภัย มีอาหารกิน เ้าก็เป็ที่นับหน้าถือตาของผู้คน"
แม่ซูซูพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง "ใช่แล้วลูกแม่! ดูเสี่ยวเป่าสิ แก้มยุ้ยขึ้นเป็กองเลย เราจะเอาชีวิตลูกไปเสี่ยงกับหนทางข้างหน้าที่มองไม่เห็นอีกทำไมกัน? แค่ตำราแพทย์ไม่กี่เล่ม มันคุ้มกันแล้วหรือ?"
หลี่ซานวางตะเกียบลง มองหน้าบิดามารดาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความปรารถนาที่จะลงหลักปักฐาน นางเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านดี แต่ภาพที่พู่กันหยกแสดงให้นางเห็นในยามค่ำคืนนั้นมันชัดเจนเหลือเกิน... ภาพของพืชสมุนไพรแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเติบโตอยู่ริมชายหาด ภาพของตำราแพทย์เล่มหนาที่ถูกเก็บไว้ในหอสมุดของเมืองท่า และ... ภาพลางๆ ของโรคระบาดร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งนางจะสามารถหยุดมันได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้และทรัพยากรจากแดนใต้เท่านั้น
"ท่านพ่อ ท่านแม่... มันไม่ใช่แค่เื่ตำราแพทย์เ้าค่ะ" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว "มันคืออนาคตของพวกเราทุกคน หนูไม่อยากให้เสี่ยวเป่าโตขึ้นมาเป็เพียงลูกหลานของผู้อพยพที่ต้องอาศัยอยู่ในที่ดินของคนอื่น หนูอยากให้เรามีที่ดินเป็ของตัวเอง มีชีวิตเป็ของเราเอง"
นางยื่นมือไปจับมือที่หยาบกร้านของพ่อและมือที่อบอุ่นของแม่ "หนูรู้ว่าหนทางข้างหน้ามันอันตราย แต่เมื่อก่อนหนูอาจจะอ่อนแอ แต่ตอนนี้... หนูไม่เหมือนเดิมแล้ว หนูสัญญา... ว่าหนูจะปกป้องพวกเราทุกคนเอง เราจะไปด้วยกัน และเราจะไปถึงจุดหมายด้วยกัน"
แววตาของนางในยามนี้ไม่ได้เป็ของเด็กสาวอีกต่อไป แต่เป็แววตาของผู้นำที่แบกรับชะตากรรมของครอบครัวไว้บนบ่า แม่ซูซูมองลูกสาวแล้วก็ร้องไห้ออกมาเบาๆ นางรู้ดีว่านางไม่สามารถรั้งัที่กำลังจะทะยานสู่ท้องฟ้าไว้ในบ่อเล็กๆ แห่งนี้ได้อีกต่อไป
การตัดสินใจของหลี่ซานได้กำหนดทิศทางของคณะอพยพที่เหลืออยู่ ในวันต่อมา อาฟู่และอีกสี่ห้าครอบครัวก็เก็บข้าวของเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองข้างหน้า ในขณะที่ลุงชุนและครอบครัวที่เหลือส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านซีเฟิงอย่างถาวร
คณะอพยพที่เคยมีคนนับร้อย บัดนี้เหลือเพียงครอบครัวของหลี่ซานครอบครัวของอาต้าชายร่างกำยำผู้สาบานว่าจะติดตามนางไปทุกที่ และอีกสองครอบครัวที่ยังคงเชื่อมั่นในตัวนางอย่างสุดหัวใจ รวมแล้วไม่ถึงยี่สิบชีวิต
เช้าวันออกเดินทาง ท่านหมอเฒ่าจางเดินมาส่งพวกเขาที่หน้าหมู่บ้าน ในมือของท่านถือห่อผ้าเล็กๆ และกล่องไม้ที่คุ้นเคย
"ข้าไม่มีอะไรจะให้เ้ามากนัก" ท่านยื่นห่อผ้าให้หลี่ซาน "ในนี้คือตำราสมุนไพรที่ข้าพอจะมี และ... ตำราปกหนังเล่มนั้นที่เ้าเคยสนใจ ข้าอ่านมันไม่เคยเข้าใจ บางทีมันอาจจะรอเ้าของที่แท้จริงของมันอยู่"
จากนั้นท่านก็ยื่นกล่องไม้ให้นาง "ส่วนเข็มทองคำชุดนี้... ข้ามอบให้เ้า ในฐานะอาจารย์ ข้าไม่มีอะไรจะสอนเ้าอีกแล้ว แต่ในฐานะสหายร่วมอาชีพ ข้าขอให้เ้าใช้มันช่วยเหลือผู้คนต่อไป"
"ท่านอาจารย์..." หลี่ซานรับของมาด้วยความซาบซึ้งใจ น้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตา นางคุกเข่าลงกราบท่านหมอเฒ่าจางเป็ครั้งสุดท้าย "ข้าจะไม่ลืมพระคุณของท่านเลยเ้าค่ะ"
ท่านหมอเฒ่าจางพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ลุกขึ้นเถิด... จำไว้นะซานเอ๋อร์ รักษาคนน่ะง่าย แต่รักษาใจคนนั้นยากยิ่งกว่า ตอนนี้เ้าไม่ได้เป็แค่หมอแล้ว แต่เป็ผู้นำของพวกเขาด้วย"
หลี่ซานพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น "ข้าจะจดจำคำสอนของท่านอาจารย์ไว้เ้าค่ะ... ท่านอาจารย์เองก็ต้องรักษาสุขภาพด้วยนะเ้าคะ อย่าหักโหมเกินไป"
หมอเฒ่าหัวเราะเบาๆ ในลำคอ "เฮอะ! คนแก่อย่างข้ายังแข็งแรงดีน่า! รีบไปกันเถิด ก่อนที่ตะวันจะแรงกว่านี้"
พ่อหลี่ต้าเกอก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง "ท่านหมอเฒ่า... ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง"
"เดินทางโดยสวัสดิภาพ..." ท่านหมอเฒ่าโบกมือช้าๆ เป็การอำลา
"เราจะไปด้วยกันนะพี่ซาน!" หลี่เสี่ยวเป่าจับมือพี่สาวแน่น ใบหน้าเล็กๆ ของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจถึงความหมายของการพลัดพรากและการเริ่มต้นครั้งใหม่นี้
หลี่ซานลุกขึ้นยืน หันไปมองเส้นทางข้างหน้าซึ่งเป็ป่าทึบและูเาสลับซับซ้อนที่ยังมองไม่เห็นปลายทาง มันดูน่ากลัวและอ้างว้างกว่าเส้นทางที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะครั้งนี้ นางไม่ได้เป็แค่ผู้ตามอีกต่อไปแล้ว... แต่นางคือผู้นำ
นางได้เลือกแล้ว... เลือกที่จะเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อครอบครัว และเพื่อผู้คนอีกหยิบมือที่ยังคงฝากชีวิตและความหวังไว้กับนาง
พู่กันหยกในอกเสื้อของนางเรืองแสงแ่เบาและอบอุ่น ราวกับจะกระซิบปลอบโยนว่า... เส้นทางยังอีกยาวไกลนัก แต่เ้าหาได้เดียวดายไม่
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของบทใหม่... การเดินทางครั้งที่สองของหมอหญิงพู่กันหยกและผู้ติดตามของนาง...