เมื่อได้เห็นเห็ดจำนวนมาก ความเหนื่อยล้าของหลิวจือโม่หายไปในพริบตา เขาเดินไปหาหลี่ชิงหลิงและถามว่ามีเห็ดขนชนิดใดกินได้บ้าง
เด็กสาวคุกเข่าลง สอนวิธีจำแนกเห็ดให้ เห็ดบางชนิดคล้ายกันแต่มีพิษและกินไม่ได้ ต้องสังเกตให้ดี
ที่นี่มีเห็ดมาก ทั้งสองใช้เวลาไม่นานนักก็เก็บจนเต็มตะกร้า
หลี่ชิงหลิงยกตะกร้าขึ้นสะพาย จากนั้นหันไปถามหลิวจือโม่ว่าพรุ่งนี้เขาจะมาไหม พรุ่งนี้นาง้ามาเก็บจำนวนหนึ่งเพื่อกลับไปตากแห้งที่บ้าน จะได้กินได้ทันทีที่้า ไม่ต้องกลัวว่าจะเน่าเสีย
“พรุ่งนี้เป็วันไปตลาด ข้าต้องไปในเมือง” เขาคัดลอกหนังสือเสร็จแล้ว และ้านำมันกลับไปให้เ้าของร้านซิง
"ไปตลาดรึ?" ดวงตาของหลี่ชิงหลิงเป็ประกาย นางเองก็อยากเข้าเมืองไปดูว่ามีอะไรที่ทำเงินได้บ้าง ตอนนี้ที่บ้านไม่มีรายรับ ไม่สามารถจ่ายแม้กระทั่งค่าน้ำมัน “พรุ่งนี้พี่ไปเรียกข้าด้วยได้ไหม ข้าก็อยากไปในเมือง”
หลิวจือโม่พยักหน้า "ได้ แต่ต้องเดินไป แล้วก็ไปแต่เช้า” ที่บ้านสถานการณ์ลำบาก เขาจึงทำได้เพียงเลือกเดินเพื่อประหยัดค่าเดินทาง
เขายังจำครั้งแรกที่เดินเข้าเมืองได้ เขาใช้เวลาเดินเกือบสองชั่วยาม ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยแผลพุพอง หลังจากที่เริ่มชินก็ใช้เวลาน้อยลงกว่าเดิมมาก
เื่เดิน หลี่ชิงหลิงกล่าวว่าไม่มีปัญหาเลย เพราะต่อให้อยากนั่งรถก็ไม่มีเงินน่ะสิ!
“เ้ารับได้ก็พอ!” หลิวจือโม่ปรับสายรัดของตะกร้า “ไปกันเถอะ กลับกัน”
ขามาสะพายตะกร้าเปล่าก็เหนื่อยแล้ว ขากลับต้องสะพายตะกร้าหนักๆ แบบนี้ เขากังวลมาก
เห็นได้ชัดว่าหลี่ชิงหลิงก็คำนึงถึงประเด็นนี้เช่นกัน ดังนั้นตอนกลับจึงเดินช้าลงและหยุดเพื่อพักผ่อนเป็ระยะๆ ความใจดีของนางทำให้หัวใจของหลิวจือโม่อบอุ่น
เขาจำได้ว่าก่อนพ่อจะตายได้ถามว่าเขาจะแต่งงานกับหลี่ชิงหลิงหรือไม่?
ตอนนั้นเขาเดาเจตนาของพ่อได้ พ่อคงอยากหาผู้ช่วยสนับสนุนลูกๆ ทั้งสาม
ตอนนั้นเขาพยักหน้าโดยไม่คิดอะไรมากนัก เขาได้เห็นชีวิตพ่อแม่ที่เต็มไปด้วยความรักั้แ่เด็ก ทำให้เคยคิดอยากแต่งงานกับภรรยาที่รู้หนังสือในอนาคต แต่ชีวิตจริงกลับไม่ใช่แบบนั้น ลึกๆ ในใจจึงย่อมมีความเสียใจอยู่บ้าง
แต่ยามนี้ในใจไม่เหลือความเสียใจนั้นอีก เขารู้สึกว่าการมีภรรยาที่สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จิตใจดีก็เป็เื่ดียิ่งแล้ว!
"หือ..." จู่ๆ หลี่ชิงหลิงก็วางตะกร้า วิ่งไปที่ต้นไม้แล้วย่อตัวลง หลิวจือโม่ไม่รู้ว่านางกำลังจะทำอะไรจึงเอ่ยปากถาม
เด็กสาวไม่ตอบ เอาแต่ใช้มือขุดดิน เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเข้าไปหา เห็นนางกำลังขุดวัชพืชต้นหนึ่ง
เขาย่อตัวลงเช่นกัน เดิมทีอยากจะช่วย แต่นางห้ามเขา "อย่าขยับ ข้าทำเอง นี่ของดี ต้องขุดให้หมดทั้งต้นถึงจะมีมูลค่า”
หลิวจือโม่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผละออกมายืนดูนางขุดอย่างระมัดระวัง หลังจากขุดไปสิบห้านาทีเต็มจึงหยิบขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ดูสิ มันคือโสมป่า” มือเล็กๆ ประคองโสมขึ้นอวดตรงหน้า “วันนี้โชคดีมาก”
แม้ว่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่าปีแต่ก็มีมูลค่าอยู่บ้าง พรุ่งนี้นางจะเอาไปขายในตลาดในเมือง เมื่อได้เงินมาก็จะสามารถซื้อน้ำมันและข้าวกลับบ้านได้
มันคือโสมจริงๆ ตอนพ่อแม่ป่วย เขาเคยซื้อให้พวกท่านกิน แต่...
“เ้ารู้ได้ยังไง”
หลี่ชิงหลิงวางโสมป่าลงในตะกร้าอย่างระมัดระวัง "แต่ก่อนข้าเคยมาล่าสัตว์บนูเากับพ่อ พ่อเป็คนสอน" จากนั้นหยิบใบสนขึ้นมาคลุม พร้อมคลุมตะกร้าของหลิวจือโม่ด้วย หากคนอื่นเห็นเข้าจะได้คิดว่าสะพายใบสน คงจะไม่คิดว่ามีเห็ดอยู่ใต้ตะกร้าแน่
หลิวจือโม่เชื่อในคำพูดของหลี่ชิงหลิง ลุงหลี่เป็นักล่าที่เก่งและขึ้นเขาอยู่บ่อยๆ จะรู้จักสมุนไพรบางชนิดก็ไม่ใช่เื่แปลก
ทั้งสองเริ่มออกเดินอีกครั้ง เดินๆ หยุดๆ เมื่อพวกเขาไปถึงชายป่าก็บังเอิญพบนางหลินซึ่งขึ้นเขามาเก็บฟืน เมื่อเห็นหลี่ชิงหลิงสะพายตะกร้าก็เดินมาหาทันที “เสี่ยวหลิง แบกอะไรอยู่?”
ความรังเกียจฉายชัดในดวงตาของหลี่ชิงหลิง เด็กสาวร้องเรียกทักทายป้าพลางหลบมือที่ยื่นออกมา "เก็บใบสน"
ความไม่พอใจของนางหลินฉายแวบ นางยืดคอดูและพบว่าเป็ใบสนจริงๆ จึงเบะปาก จากนั้นหันไปมองหลิวจือโม่ด้วยสายตาเสน่หา “เสี่ยวหลิงหมั้นหมายแล้วไม่เหมือนเมื่อก่อนจริงๆ ขนาดเก็บใบสนยังมาเก็บด้วยกัน”
หลี่ชิงหลิงเกลียดคนขี้นินทาอย่างนางหลินเป็ที่สุด คนที่ชอบนินทาไปทั่วในหมู่บ้านก็คือนาง ตอนนี้มาเห็นตนเองกับหลิวจือโม่เข้า พอกลับถึงหมู่บ้านก็คงต้องแพร่กระจายเื่ซุบซิบไร้ยางอายไปทั่วแน่
แม้ว่านางจะไม่ใส่ใจคำพูดเ่าั้มากนัก แต่นางจ้าวกลับใส่ใจ
"เขาเป็คู่หมั้นข้าก็ควรช่วยครอบครัวข้าอยู่แล้ว" หลี่ชิงหลิงยิ้มและตอบอย่างเปิดเผย "จริงสิ ป้า พี่เป่าจูจะหมั้นเมื่อไร? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่มีคนมาดูตัวเหรอ? สำเร็จไหม?”
หลี่เป่าจูเป็ลูกพี่ลูกน้องนาง ทั้งอ้วน ี้เี กินเยอะ สมกับชื่อจูที่เสียงเหมือนคำว่าหมู ปีนี้อายุสิบห้าและยังไม่ได้หมั้นหมาย ทุกครั้งที่มีคนมาหาแล้วเห็นสภาพอ้วนเหมือนหมูก็จะไม่มีการติดต่ออีก
เื่นี้กลายเป็เื่น่าปวดหัวสำหรับนางหลิน เมื่อโดนหลี่ชิงหลิงพูดแทงใจ สีหน้าจึงดูไม่ดีนัก
“คนมาดูตัวอะไรกัน อย่าพูดจามั่วๆ ทำลายชื่อเสียงของเป่าจู” นางหลินตำหนิเสียงดัง
"จริงหรือ แต่หนูได้ยินท่านย่าบอกว่าหมู่บ้านข้างๆ..."
“เ้าได้ยินผิดแล้ว ไม่มีเื่แบบนี้เสียหน่อย” นางหลินส่งเสียงขัดจังหวะอีกครั้ง แล้วหันหลังหยิบฟืนเดินลงเขาอย่างรวดเร็ว
หลังเจอแบบนี้ นางหลินคงจะไม่แพร่งพรายคำพูดที่ไม่ดีเกี่ยวกับนางแล้ว
หลี่ชิงหลิงหันไปหาหลิวจือโม่ที่มองมาด้วยรอยยิ้ม ยักไหล่ และพูดอย่างไร้เดียงสา "กับคนแบบนี้ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ ไม่งั้นไม่รู้จักเจ็บหรอก”
หลิวจือโม่ยิ้มรับ บอกว่าได้เรียนรู้วิชาดีๆ แล้ว
หลี่ชิงหลิง "..."
ทันทีที่กลับถึงบ้าน หลี่ชิงหลิงก็ลากนางจ้าวเข้ามาในบ้าน ยกใบสนออก หยิบโสมป่าออกมาอย่างระมัดระวัง
“ท่านแม่ ดูสิ ข้าขุดโสมป่าได้ พรุ่งนี้จะเข้าเมืองกับพี่จือโม่แล้วเอาโสมไปขาย คงจะมีเงินพอซื้อข้าวสารกลับมา”
หลังจากกินเห็ดติดต่อกันหลายวัน นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาหน่อยแล้ว อยากจะรีบเปลี่ยนกลับไปเป็ข้าวแทน
พลางมองไปที่ท้องของนางจ้าว หากขายได้ราคาดีคงต้องซื้อเนื้อกลับมาเพื่อบำรุงเด็กในครรภ์เสียหน่อย
นางจ้าวมองไปที่โสมป่า จากนั้นมองหลี่ชิงหลิงด้วยความประหลาดใจ "ลูกแม่โชคดีใช้ได้เลย ไปขุดมาได้ด้วย ในเมื่อเ้าขุดได้ก็ตัดสินใจเองเลย!"
"ว้าว ท่านพี่เก่งจัง" หลี่ชิงเฟิงเงยหน้ามองหลี่ชิงหลิงอย่างชื่นชม "ท่านพี่ พรุ่งนี้จะเข้าเมืองจริงๆ เหรอ"
แววตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความสนใจ สมัยพ่อยังอยู่ พ่อเคยพาเขาไปสองครั้ง เขาจำได้ว่าในเมืองคึกคักมาก มีของขายเยอะแยะ ต่อให้ไม่ซื้อ แค่ไปเดินดูก็ยังดี
ความปรารถนาในดวงตาของหลี่ชิงเฟิงนั้นชัดเจนมาก หลี่ชิงหลิงย่อมเห็น หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง นอกจากขายโสมป่าในวันพรุ่งนี้แล้ว นางจะไปที่เมืองเพื่อดูว่ามีอะไรทำเงินได้ไหม จะพาน้องไปคงไม่เป็ปัญหา “ถ้าพรุ่งนี้เ้าตื่นเช้าได้ ข้าก็จะพาไป"
สิ้นเสียง หลี่ชิงเฟิงะโขึ้นกอดคอนางแน่นอย่างมีความสุข "ขอบคุณมากท่านพี่ ข้าจะตื่นแต่เช้าแน่นอน"
อย่างไรก็ตาม นางจ้าวรู้สึกกังวลเล็กน้อย "เสี่ยวเฟิงอย่าไปเลยดีกว่าไหม ในเมืองคนเยอะ ค่อนข้างวุ่นวายนะ"
ใบหน้าของหลี่ชิงเฟิงแย่ลงในทันที เขากลัวว่าหลี่ชิงหลิงฟังแล้วจะไม่พาเขาไป ดังนั้นเขาจึงรีบพูด "ท่านพี่ ข้าจะติดตามไปอย่างเชื่อฟังสัญญาว่าจะไม่วิ่งไปไหน พาข้าไปด้วยเถอะนะ!"
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่พาเ้าไปนี่!” หลี่ชิงหลิงเหลือบมองเขา จากนั้นเงยหน้าขึ้นเพื่อปลอบนางจ้าว “ท่านแม่ ไม่ต้องห่วง พี่จือโม่กับข้าจะจับมือเสี่ยวเฟิงให้แน่นเลย”
"ท่านแม่..." หลี่ชิงเฟิงจับมือนางจ้าว และส่งเสียงออดอ้อน
เมื่อคิดถึงว่ามีจือโม่อยู่ นางจ้าวจึงพยักหน้า ทำให้หลี่ชิงเฟิงมีความสุขขึ้นมา
เขามีความสุขมากจนพูดไม่หยุดทั้งคืน สุดท้ายหลี่ชิงหลิงต้องขู่ว่าหากไม่นอนจะไม่พาไป เด็กชายจึงเงียบปากนอนอย่างเชื่อฟัง เมื่อถึง่เช้ามืด เขาก็ตื่นโดยอัตโนมัติ แถมยังปลุกหลี่ชิงหลิงอีกด้วย
หลี่ชิงหลิงเกือบเขวี้ยงนาฬิกาปลุกนี้ทิ้ง เธอมองท้องฟ้าที่ยังคงไร้ซึ่งแสงสว่าง กัดฟันถามเขาว่าจะตื่นเช้าขนาดนี้ทำไม
เขากะพริบตาแล้วบอกว่าแต่ก่อนตอนไปตลาด พ่อก็ตื่นเช้าแบบนี้
เด็กสาวหายใจเข้าลึกๆ เอื้อมมือไปปิดตาให้เขานอนต่อ ไว้รอพี่จือโม่มาแล้วค่อยปลุกอีกครั้ง
"แต่…"
“ถ้าไม่นอนจะไม่พาไปแล้ว” หลี่ชิงหลิงทำได้เพียงขู่ ยามนี้เธอง่วงมาก ไม่มีแรงจะไปจัดการกับเขา
หลี่ชิงเฟิงเบะปากด้วยความไม่พอใจ "ก็ได้!"
นอนหลับไปไม่นานนัก หลิวจือโม่ก็มาเรียกถึงบ้าน เด็กสาวยังคงสะลึมสะลือ กลับเป็หลี่ชิงเฟิงที่ลุกขึ้นตอบรับเสียงดังทันที จากนั้นจึงยื่นมือเขย่าหลี่ชิงหลิงให้ตื่น
“ท่านพี่ ท่านพี่ พี่จือโม่มาแล้ว รีบลุกเร็ว”
เ้าเด็กนี่...
หลี่ชิงหลิงถอนหายใจและลุกขึ้นอย่างยอมจำนน การเข้าเมืองต้องตื่นั้แ่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
นางสางผม วิ่งออกไปล้างหน้าสีฟัน ห่อโสมป่าด้วยผ้าเช็ดหน้าใส่ไว้ในแขนเสื้อ แบกตะกร้าไว้บนหลัง จากนั้นถูกนางจ้าวที่ตื่นขึ้นมากำชับอยู่ครู่หนึ่ง จึงจะพาหลี่ชิงเฟิงติดตามหลิวจือโม่ออกเดินทางได้
ตอนแรกหลี่ชิงเฟิงถามหลิวจือโม่อย่างตื่นเต้น แต่หลังจากเดินไปหนึ่งชั่วยามก็หมดแรง คว้ามือของหลี่ชิงหลิงร้องเรียกพี่ไม่หยุด
ทนมาได้สองชั่วโมงก็นับว่าไม่เลวแล้ว หลี่ชิงหลิงเองให้น้องเข้าไปนั่งในตะกร้า สะพายเดินโดยไม่บังคับให้น้องฝืนอีก
เมื่อเห็นร่างเล็กๆ ของหลี่ชิงหลิง หลิวจือโม่ก็ออกปากจะสะพายเอง แต่หลี่ชิงหลิงปฏิเสธ "ไม่เป็ไร ข้าสะพายเอง น้องเบามาก”
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยืนกราน เขาก็ไม่ได้บังคับ เพียงเอ่ยปากขอแลกกันสะพายหากรู้สึกเหนื่อย
หลี่ชิงหลิงตอบรับ แต่ไม่เคยพูดว่าเหนื่อยเลย หลิวจือโม่กลัวว่านางจะฝืน บอกจะแลกกัน นางก็ยังตอบปฏิเสธ
แม้จะตัวเล็ก แต่นางก็คุ้นเคยกับการทำงานในไร่นามาั้แ่เด็ก น้ำหนักของหลี่ชิงเฟิงจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงประตูเมืองเหมาอัน หลี่ชิงหลิงวางตะกร้าลงและเขย่าปลุกหลี่ชิงเฟิงที่หลับไปครึ่งชั่วยาม "เสี่ยวเฟิง ตื่นเถอะ เรามาถึงเมืองแล้ว"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้