บทที่ 2
พิธีอภิเษก
หิมะตกไม่หยุดั้แ่ยามเหม่าทั่วนครหลวงกลายเป็ทะเลสีขาวแต่ภายในวังหลวงกลับถูกประดับไปด้วยแดงเพลิงราวกลับ์ที่กำลังลุกไหม้
ธงัทองสะบัดเหนือยอดหอเฉียนชิง โคมแดงนับหมื่นดวงประดับเรียงรายบนระเบียงหยก
ผ้าแพรชาดพาดยาวั้แ่บันไดหินอ่อนจนถึงหลังคาทอง ทหารองครักษ์ในชุดเครื่องแบบสีดำทองยืนเรียงแน่นราวกำแพงเหล็ก
เสียงกลองพิธีดังขึ้นช้า ๆ ตามมาด้วยเสียงปี่ขลุ่ยและพิณจากขบวนดนตรีวัง ท้องฟ้าถูกกลืนด้วยควันธูปสีขาวที่ลอยคลุ้งเหนือพระราชวัง และประกาศของขันทีหลวงก็ดังก้อง
“โดยพระราชโองการขององค์ฮ่องเต้จ้าวอี้หาน แต่งตั้งธิดาเอกแห่งตระกูลเสิ่น ‘เสิ่นอิงอิง’ เป็ ไท่จือเฟย* แห่งแผ่นดินเทียนอวี้! ขอให้ฟ้าและดินเป็พยาน หยินและหยางรวมเป็หนึ่ง!”
เสียงโห่สาธุการดังก้องจากทุกตำหนัก ขุนนางและเหล่านางกำนัลค้อมศีรษะกราบขณะที่หิมะยังคงโปรยบางเบา ขาวปนแดงราวกลีบเหมยบนพื้นหิน
จากประตูทิศใต้ของวัง ขบวนเ้าสาวเริ่มเคลื่อนไปอย่างสง่างาม เกี้ยวแดงประดับทองปักลายัหงส์ เปล่งประกายระยับ ธงสัญลักษณ์ราชวงศ์สะบัดเหนือหัวราชองครักษ์ที่ก้าวนำหน้า เสียงกลอง ตีระฆัง และขลุ่ยบรรเลงจังหวะมงคล
หิมะโปรยตกใส่หลังเกี้ยว กลืนกับสีแดงเพลิงของผ้าไหม จนดูเหมือน์และพิภพมากันในวันเดียว
ภายในเกี้ยว เสิ่นอิงอิงนั่งอย่างสงบ ผ้าคลุมหน้าโปร่งบางปักลายเหมยสีทอง แสงเทียนจากภายนอกลอดผ่านผ้าแดง มอบประกายอบอุ่นแต่นุ่มเศร้า มือเรียววางซ้อนบนตัก แต่ปลายนิ้วนั้นเย็นเยียบจากความหนาว
เธอรู้ดี…ว่าวันนี้มิใช่วันแห่งความรัก หากแต่เป็วันแห่ง “หน้าที่” และสิ่งที่เธอต้องแบกไว้ มิใช่แค่ชื่อเสียงของตระกูลเพียงเท่านั้นแต่รวมไปถึง “ความสงบของแผ่นดิน”
“หิมะงามเพราะมันทนหนาวได้ ดอกเหมยงามเพราะมันบานยามหิมะตก แล้วข้า…จะงามได้ไหม หากหัวใจข้าจะไม่มีวันอุ่นอีกต่อไป”
ภายในลานหน้าหอเฉียนชิง**หลี่เจี๋ยอวิ๋นยืนรออยู่ในชุดัทองแดงปักด้วยด้ายทองคำ
ผ้าแพรยาวคลุมั้แ่บ่าไปถึงพื้น ในมือถือ “พัดั” สลักอักษรโชค (ร่วยชี่ฉางอิ๋ง***)
เขาไม่คุ้นกับเครื่องแต่งกายเหล่านี้ น้ำหนักของผ้าไหมและทองคำบนบ่าทำให้รู้สึกเหมือนถูกพันธนาการ แสงไฟสะท้อนบนเกล็ดทองบนชุด ดูงามสง่า
เขาแหงนมองหิมะที่ยังร่วงไม่หยุดและในวินาทีนั้น...หัวใจเขาก็ล่องลอยกลับไปยังคืนหนึ่งที่ไกลแสนไกล
ภาพหญิงสาวในชุดคลุมขาว ยืนยิ้มอยู่กลางลานหิมะแสงจันทร์ส่องบนเส้นผมของนางจนดูเหมือนน้ำแข็งระยิบ เสียงหัวเราะของนางใสดั่งระฆังหิมะ ช่างน่าถวินหายิ่งนัก
“นางจะหนาวไหมนะ...ถ้าเห็นหิมะตกแบบนี้”
เมื่อขบวนถึงหน้าหอเฉียนชิง ขันทีหลวงะโเสียงกังวาน
“ถึงเวลาอภิเษก!”
เ้าสาวก้าวลงจากเกี้ยวอย่างสง่างาม ชุดเ้าสาวสีแดงปักทองลากยาวจรดพื้นหิมะ เสิ่นอิงอิงก้าวขึ้นบันไดหยกทีละขั้นลมหนาวพัดชายแขนเสื้อให้สะบัดราวคลื่นไฟในหิมะขาว รัชทายาทหลี่เจี๋ยอวิ๋นยืนรออยู่เบื้องหน้า แววตาเขานิ่ง เยือกเย็น
ทั้งคู่ค้อมศีรษะลงพร้อมกัน เสียงระฆังดังหนึ่งครา
คารวะฮ่องเต้ - ฮองเฮา
ฮ่องเต้จ้าวอี้หานประทับนิ่งบนบัลลังก์ในแววพระเนตรมีทั้งความสุขและความเศร้า เพราะรู้ดีว่าความสงบต้องแลกด้วยหัวใจของสองคนและลึกสุดในใจของพระองค์คู่รักตรงหน้าซ้อนทับภาพเป็บุตรชายของเขาที่จากไป ณ ที่ไกลแสนไกล
คารวะกันและกัน
เสิ่นอิงอิงยกชายแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย ค้อมศีรษะต่อหน้าเขาเจี๋ยอวิ๋นทำเช่นเดียวกัน แววตาของทั้งคู่ประสานกันเพียงชั่ววินาที ก่อนที่เขาจะหลบตา…
.
.
.
ในตำหนักตะวันออก
เทียนแดงคู่สว่างไหวอยู่ปลายโต๊ะ ผ้าแพรสีชาดคลุมห้องทั้งห้องไว้ในแสงสีแดงอุ่น แต่เย็นเยียบจนแทบไม่มีลมหายใจสำหรับคนคู่บ่าวสาวทั้งสอง
ขันทีหลวงยื่นถ้วยสุรา เหอจิ่นจิ่ว**** มาวางบนโต๊ะทอง หลี่เจี๋ยอวิ๋นขยับตัวเพียงเล็กน้อย
นิ้วเรียวถือไม้เปิดผ้าคลุมหน้า ยกขึ้นอย่างนิ่งสง่า ผ้าไหมสีแดงร่วงลงอย่างแ่เบา เผยให้เห็นใบหน้าที่งาม เสิ่นอิงอิงยืนนิ่ง ดวงตาเรียวยาวสงบนิ่งแต่มีประกายเย็นเฉียบ
“ข้ารู้ว่าเ้าคงไม่ได้้าพิธีนี้นัก…เช่นเดียวกับข้า” เขามองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบแต่เย็นเฉียบ
อิงอิงขยับปลายนิ้วเล็กน้อย แต่อาการยังสงบริมฝีปากบางขยับขึ้นเพียงนิด คล้ายรอยยิ้มแต่ไม่ใช่ความยินดี
“ในเมื่อฮ่องเต้ประทาน ข้าในฐานะหญิงย่อมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ …แต่ท่านในฐานะบุรุษ ก็ไม่มีสิทธิ์เอ่ยคำปฏิเสธเช่นกัน”
“เ้ายังไม่รู้สินะ ว่าในใจข้ามีคนอยู่แล้ว คนที่ข้าเคยสาบานไว้...ว่าจะกลับไปหานางไม่ว่าภพใด” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันตัวเอง
ห้องทั้งห้องเงียบลง เหมือนลมหยุดไหล เทียนสองเล่มสั่นไหวจนเปลวไฟเอียงไปข้างหนึ่ง อิงอิงเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แววตาเย็นราวผืนน้ำแข็งบนภูผา แต่ก็มีประกายบางอย่างในนั้น
“ท่านพูดสิ่งนี้ในคืนเข้าหอของข้าเพราะอยากให้ข้าร้องไห้หรือ?”
“เพราะข้าไม่อยากให้เ้าคิดว่าข้าโกหกั้แ่คืนแรก” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงเรียบแต่เฉือนใจ
“หากท่านสัตย์ซื่อเพียงนี้...นับว่าน่าชื่นชมยิ่ง ข้าเพียงหวังนางจะยังรับได้...ว่าท่านแต่งกับหญิงอื่นในนามของชายาเอกไปแล้ว”อิงอิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นนุ่มเหมือนเสียงระฆัง
เมื่อหลี่เจี๋ยอวิ๋นพูดจบเขาหยิบมีดสั้นจากกล่องหยกออกมาโดยไม่ลังเล อิงอิงมองมีดเล่มนั้น แต่เพียงปลายนิ้วของเขาจับข้อมือนาง ความเย็นเฉียบก็ไหลเข้าสู่กระดูก
“แม้ข้าไม่เข้าหอ แต่พิธีนี้ต้องครบตามราชประเพณี” เสียงเขาเรียบ เย็น และไร้อารมณ์
มีดบาดลงบนปลายนิ้วนางข้างซ้าย เสียงเฉือนแ่เหมือนผ้าขาด เืแดงหยดแรกไหลออกจากผิวขาวซีด เสิ่นอิงอิงขมวดคิ้วช้า ๆ ริมฝีปากเม้มแน่นจนซีด ดวงตาเคลือบด้วยม่านน้ำตาบางจากความเจ็บแสบที่แล่นเข้ามาอย่างกะทันหัน หยาดเืตกลงบนผ้าแพรสีแดงแผ่เป็รอยวงกลมเหมือนกลีบเหมย
“เืเ้าแดงนัก...งามยิ่ง” น้ำเสียงเขาราวกับพูดถึงสิ่งไร้ชีวิต เจี๋ยอวิ๋นวางมีดลงช้า ๆ
อิงอิงเงยหน้าขึ้น แสงเทียนจับบนดวงตาคู่คม ทำให้ประกายเย็นเฉียบในนั้นยิ่งชัด
“เช่นนั้นหรือ...” เสียงนางแ่แต่เย้ยในที “เชิญองค์รัชทายาทจดจำไว้ให้ดี เพราะนี่จะเป็ครั้งเดียวที่ท่านได้เห็นเืข้า”
เขาชะงัก แววตานางนิ่งไม่เปลี่ยน แต่ความนิ่งของนางกลับกรีดลึกกว่าแผลใด เืยังหยดต่อเนื่องจากปลายนิ้วงาม แต่เธอกลับไม่ขยับหนี ไม่ยกมือขึ้น ไม่แม้แต่เป่าลมให้แผลเพียงยืนนิ่งให้เืไหลลงบนผ้าแพรอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มจาง ไม่ใช่ยิ้มแห่งความพอใจ หากแต่เป็ รอยยิ้มที่เกิดจากการไม่ยอมให้เจ็บพาใจพ่าย
“สมเป็หญิงตระกูลเสิ่น ภายนอกงาม แต่ภายใน...เยือกเย็น”
อิงอิงไม่ตอบ เพียงยกมือเช็ดเืที่ปลายนิ้วเบา ๆ แล้วมองรอยเปื้อนบนผ้าแพรด้วยแววตาเรียบสงบ
“เยือกเย็นหรือ...ไม่หรอกเพคะ” เสียงนางอ่อนโยน
เสียงก้าวเท้าของหลี่เจี๋ยอวิ๋นเงียบหายไปหลังประตูตำหนักเหลือเพียงเทียนแดงสองเล่มที่สั่นไหวอย่างอ่อนแรง
เสิ่นอิงอิงยังนั่งนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ นิ้วเรียวมีเืแห้งติดอยู่ แต่เธอไม่ล้าง ไม่พันผ้าเพียงมองมันอย่างเยือกเย็นราวสิ่งที่ไม่ใช่ร่างกายของตน
นอกหน้าต่างหิมะยังตกไม่หยุด เงาเปลวเทียนสะท้อนบนกำแพงทำให้ร่างของเธอซ้อนทับกับเงาับนม่าน เหมือนหญิงคนหนึ่งที่ต้องอยู่ใต้เงาอำนาจ
นางหันไปทางเตียงเ้าสาวที่ปูด้วยผ้าไหมสีชาดมุมผ้านั้นยังเรียบสนิท ไม่มีรอยมือหรือรอยนั่ง เธอลุกขึ้นอย่างช้า ๆ สายตาผ่านตั่งทองด้านข้าง ร่างขององค์รัชทายาทหนุ่มในชุดคลุมสีดำยังคงนั่งนิ่งพิงกำแพง ดวงตาปิดแต่คิ้วยังขมวด อิงอิงมองเขานิ่งครู่หนึ่งในแววตาไม่มีความเกลียด มีเพียง ความเข้าใจอันน่าขมขื่น
“แม้ท่านจะอยู่ตรงหน้า... แต่หัวใจท่านกลับอยู่ในที่ที่ข้าไม่มีวันเอื้อมถึง” เธอเอ่ยเบา ๆ ราวเสียงลมในหิมะ จากนั้นจึงหมุนตัวกลับขึ้นเตียงทิ้งร่างลงบนผ้าไหมสีชาดที่เย็นเฉียบ
เสียงลมหิมะพัดลอดหน้าต่างเข้ามาพัดกลีบเหมยปลิวตกบนผมของนาง
เธอยกมือขึ้นปัดเบา ๆ แล้วหลับตา ห้องทั้งห้องถูกแบ่งด้วยเส้นบาง ๆ ระหว่าง ตั่งทองของรัชทายาท และ เตียงเ้าสาวของไท่จือเฟย แสงเทียนส่องอยู่กลางห้อง เปลวหนึ่งส่องใบหน้าเขา อีกเปลวส่องหน้าเธอ ชายหนึ่งหลับไปพร้อมชื่อในความฝัน หญิงหนึ่งหลับไปพร้อมเืแห้งที่ปลายนิ้ว
และในคืนนั้น วังหลวงทั้งวังเงียบสนิทราวเวลาหยุดหมุนยกเว้นเสียงหิมะที่ร่วงไม่หยุดบนหลังคาตำหนักตะวันออก
.
.
.
รุ่งเช้าวันใหม่
โคมแดงยังไม่ทันดับ เสียงรถม้าสายหนึ่งแล่นมาถึงประตูวังด้านตะวันตกพร้อมหญิงในชุดขาวอมชมพูที่รอยยิ้มอ่อนหวานสะกดสายตาทหารทุกคน
*ไท่จือเฟย = ชายาเอก
**หอเฉียนชิง = ที่ประทับและออกว่าราชการของฮ่องเต้
***ร่วยชี่ฉางอิ๋ง = สิริมงคลพลังมงคลเต็มเปี่ยมและยาวนานไม่สิ้นสุด
****เหอจิ่นจิ่ว = สุรามงคลคู่บ่าวสาว
