ครอบครัวสกุลเจี่ยงของพวกเขามีประชากรมากกว่าครอบครัวสกุลหูมาก ดังนั้นการขุดผักป่าและตัดหญ้าเลี้ยงสัตว์จึงไม่ใช่ปัญหา
สองพี่น้องสกุลเจี่ยงเดิม้าซื้อพันธุ์กระต่ายมามากหน่อย แต่ ราคาของพันธุ์กระต่ายที่สกุลหูขายขายไม่ถูกนัก
กระต่ายสิบหกตัว เป็ขีดสูงสุดที่พวกเขาสามารถแบกรับได้
หญิงชราสกุลหูบอกกับพวกเขาไว้แต่แรกแล้ว ว่าพันธุ์กระต่ายทั้งหมดล้วนต้องเป็ตามราคาขาย ต่อให้เป็พวกเขา ก็คิดเหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีกับหัวข้อที่ควรใส่ใจของการเลี้ยงกระต่ายล้วนบอกพวกเขาทั้งหมด หากเลี้ยงกระต่ายไม่รอด ไม่อาจโทษสกุลหูได้
ต้องเจรจาพาทีให้แน่ชัดก่อน กฎเกณฑ์จึงต้องตั้งขึ้นมา
นี่คือสิ่งที่เจินจูกล่าวไว้
หวังซื่อปฎิบัติอย่างเข้มงวดถึงที่สุด
ภาพลักษณ์ของหญิงชราสกุลหูเผด็จการและแข็งทื่อต่อคนภายนอกมาโดยตลอด
สำหรับญาติที่มาเรียนรู้การเลี้ยงกระต่ายและซื้อกระต่ายพันธุ์เหล่านี้ เดิมความคิดภายในใจก็ไม่ได้สุขสบายนัก ประสบการณ์ที่ทุ่มเทค้นหาลู่ทางมาอย่างยากลำบาก เพียงจ่ายเงินซื้อพันธุ์กระต่ายเล็กน้อย ก็สามารถเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องในการเลี้ยงกระต่ายได้ ดังนั้นที่เรียกว่าญาติเหล่านี้ต้องจ่ายเงินซื้อเช่นกัน พวกเขาจะหาเงินได้มากมายจากสิ่งนี้ แต่ยังท่าทางตระหนี่กันเพียงนี้
คิดถึงตรงนี้ นางก็โกรธขึ้นมา เงินของสกุลหูสะสมกันมาอย่างยากลำบากเช่นกัน มีสิทธิ์อะไรต้องมาให้พวกเขาไปให้เปล่าๆ มองเห็นแค่สภาพของสกุลหูหลังจากที่ร่ำรวยขึ้นมาแล้วเท่านั้น ทำไมไม่คิดสักหน่อยว่า ตอนแรกที่พวกเขายากจนเสียจนข้าวยังไม่พอมีให้ทานได้ ญาติคนไหนที่ยอมให้พวกเขายืมสักเหวินโดยไม่เสียดายได้บ้าง
แต่ ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลของตนเอง มีความสามารถพอที่จะช่วยได้ก็ต้องช่วยบ้างเล็กน้อย ขอเพียงพวกเขาไม่ได้คืบจะเอาศอกและโลภมากไม่รู้จักพอ การช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นความยากจนแล้วอยู่ดีกินดี หวังซื่อยังเต็มใจช่วยอยู่มาก
สำหรับญาติที่มาหาถึงบ้านติดต่อกันเหล่านี้ เจินจูไม่มีความรู้สึกอะไร
ลำบากยากจนท่ามกลางความเจริญย่อมไร้คนถามถึง ร่ำรวยสูงศักดิ์ในป่าลึกย่อมมีมิตรสหาย[1] นับั้แ่โบราณกาลมาต่างเป็เช่นนี้ อัครเสนาบดียังมีญาติยากจนตั้งกี่วงศ์ตระกูลที่แอบอ้างไปหาถึงหน้าบ้าน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงครอบครัวธรรมดาเช่นพวกเขานี้เลย
ยังดี มีญาติจิตใจว้าวุ่นและชอบเอาเปรียบ ก็ต้องมีญาติดีๆ ที่ตรงไปตรงมาและจริงใจต่อสกุลหูด้วยเช่นกัน
หวังหงเซิงถือเป็พี่ชายของหวังซื่อ นอกจาก่วันเทศกาลกับเชิญมาร่ำสุราอาหารโต๊ะเลี้ยงแขกแล้ว วันปกติออกจากบ้านมาปรากฏตัวอยู่ที่บ้านสกุลหูน้อยมาก
จากคำพูดของเขา คือรู้ว่าวันคืนของน้องสาวที่อยู่บ้านน้องเขยนับวันยิ่งผ่านไปได้ด้วยดียิ่งขึ้นได้ เขาก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจแล้ว
ครั้งก่อนพิธีเปิดเรียนโรงเรียนวั้งหลิน เขาให้หวังหงซานนำเนื้อกวางแม่น้ำสดใหม่ครึ่งหนึ่งมามอบให้ ตนเองไม่ได้รุดหน้ามาด้วยตนเอง รู้ว่าสกุลหูมีเื่ยุ่ง ไปแล้วผู้เป็น้องสาวก็ต้องดูแลเขา จึงไม่มาเพิ่มความยุ่งยากให้สกุลหูดีกว่า
หวังซื่อทั้งทอดถอนใจทั้งเดือดดาล แต่ไหนแต่ไรมาพี่ชายใหญ่ผู้นี้ล้วนคิดเพื่อนางทั้งสิ้น ตอนชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบากก็ช่วยเหลือนางอย่างสงบเยือกเย็น พอชีวิตผ่านไปด้วยดีแล้วกลับมาหาถึงบ้านน้อยครั้ง กลัวว่าจะเพิ่มความยุ่งยากลำบากให้พวกนางเสียได้
มีญาติพี่น้องที่บ้านบิดามารดาครอบครัวหนึ่งที่จริงใจต่อนางเช่นนี้ หวังซื่อล้วนภูมิใจและอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
เจินจูรู้สึกดีเป็อย่างมากต่อครอบครัวท่านปู่ใหญ่ ยากจนไม่รังเกียจร่ำรวยไม่ใฝ่สูงคบหา จุดยืนมีเหตุมีผลและสงบไร้กังวล ทำให้นางชื่นชอบท่าทีการจัดการเื่ราวเป็อย่างมาก
เจินจูสำนึกได้อย่างหนึ่ง จิตใจอย่างการท่านมอบลูกท้อแก่เราเราตอบแทนด้วยลูกหลี่[2] ดังนั้น เมื่อทุกครั้งที่หวังซื่อกลับหมู่บ้านสกุลหวัง นางจึงให้หวังซื่อนำพะโล้ที่เติมน้ำแร่จิติญญากับพวกแตงและถั่วที่รดด้วยน้ำแร่จิติญญาของตนเองไปด้วย บางครั้งยังผสมผักพืชผลของในมิติช่องว่างลงไปด้วยบางครั้ง ใช้ทำอาหารเป็ระยะๆ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายของคนสกุลหวังให้ดีมากขึ้นหน่อยได้
ญาติห่างไกลมิตรสหายชิดใกล้ที่มากันอย่างยุ่งเหยิงไม่ขาดสายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกภายในใจของเจินจูเลย
โสมคนที่ย้ายมาปลูกอยู่มิติช่องว่างได้ระยะหนึ่ง ราคาสูงกว่าโสมทั่วไปทั้งหมดสี่เท่า นี่เป็การยืนยันความแตกต่างของโสมคนที่เติบโตในป่ากับโสมคนในมิติช่องว่าง คนที่รู้เื่ในวัตถุดิบยาเป็อย่างดีต้องดูออกได้แน่
เจินจูเคยเปรียบเทียบด้วยตัวเอง นอกจากสีม่วงจางๆ หนึ่งชั้นที่มีออกมามากหน่อยแล้ว อย่างอื่นราวกับไม่ได้แตกต่างกัน
ด้วยเหตุนี้ หลังหวังซื่อกลับมาจากการไปวัดโบราณชิงเหยียน แล้วแอบยัดตั๋วเงินให้นางหกร้อย นางประหลาดใจเป็อย่างมาก
โสมคนต้นนี้เติบโตอยู่ในมิติช่องว่างไม่นาน ก็สามารถขายออกไปด้วยราคาสูงเช่นนี้ เช่นนั้นไม่กี่ต้นนั่นที่อยู่ในมิติช่องว่าง หล่อเลี้ยงสักสามปีห้าปี ไม่ต้องขายออกไปด้วยราคาหลายพันหลายหมื่นเลยหรือ
เงินมากมายเช่นนั้น นางควรใช้ทำอะไรดี?
นี่เป็ปัญหาที่นางกลัดกลุ้มอยู่่นี้
“ท่านพี่! ท่านพี่! ท่านมาเร็ว พี่ยู่เซิงกับพี่อาชิงกลับมาแล้ว” เสียงของผิงอันดังขึ้นจากหน้าบ้าน
เจินจูวางผ้าชิ้นเล็กที่เย็บไปครึ่งหนึ่งในมือลง นี่เป็ครั้งแรกที่นางลองเย็บเอง หลี่ซื่อตัดรูปแบบมาให้นางเรียบร้อยแล้ว นางเย็บตาม ระยะการเย็บแตกต่างกันไป รอยเย็บก็คดเคี้ยวซ้อนกันเป็จีบอยู่บ้าง แต่ นี่เป็ของที่เย็บดีที่สุดของนางแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” นางเดินเข้าลานหน้าบ้าน
เกวียนล่อหยุดอยู่หน้าห้องโถง หลัวจิ่งกับอาชิงกำลังรื้อเอาสัมภาระบนเกวียนลง ส่วนผิงอันช่วยอยู่ด้านข้าง
สัมภาระ? เจินจูขมวดคิ้วไตร่ตรอง
ใต้ชายคา ชายชราใบหน้าซีดเซียวทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเศษฝุ่น ท่าทางอากัปกิริยายืนตรงแน่ว ลักษณะไม่ได้เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อย ข้างหลังมีเด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองติดตามอยู่สองคน ทั้งหมดต่างหน้าตาไม่เรียบร้อยผมเผ้ากระเซิงเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง
นี่ เกิดอะไรขึ้นกัน?
นางเลิกคิ้วขึ้น เป็เชิงถามหลัวจิ่งอย่างไร้เสียง
หลัวจิ่งรับรู้ได้ มุมปากยกขึ้นแต่ไม่ได้ตอบทันที หลังหิ้วห่อผ้าใบสุดท้ายลงมา ให้อาชิงจูงเกวียนล่อกลับไปคอกม้า
“ผู้าุโหลิง นี่คือแม่นางสกุลหู” หลัวจิ่งกล่าวแนะนำ
“สวัสดีแม่นางหู” ผู้าุโท่าทางเคารพนบนอบแต่ไม่ต่ำต้อย
เด็กสองคนข้างหลังกายเขาก็โค้งตัวทำความเคารพตาม
“สวัสดีท่านผู้าุโ” แม้ไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แต่เจินจูยังคงโค้งตัวทำความเคารพตอบทันที
“ผู้าุโหลิงเดินทางมาไกล ให้พวกเขาพักผ่อนสักหน่อยและล้างหน้าบ้วนปากสักรอบก่อน อีกเดี๋ยวค่อยพูดคุยกันก็ไม่เห็นเป็ไร” ดวงตาเรียวยาวของหลัวจิ่งเอียงมองไปทางนาง ท่าทางสื่อความหมายให้นางเข้าใจ
เจินจูหางตากระตุก ข่มความรู้สึกอยากมองบนไว้ เข้าใจอะไร? มีคนกระเซอะกระเซิงไม่เป็ระเบียบผุดออกมา นางจะเข้าใจอะไรได้?
แน่นอน ต่อหน้าคนนอก นางยังคงยิ้มไปทางเขาอย่างไว้หน้าอย่างมาก นำทางสามคนเดินไปทางห้องรับแขกหลังบ้าน
นับั้แ่ครั้งก่อน หลังอาจารย์ฟางกับอาชิงมาอาศัยอยู่ในบ้านเป็การชั่วคราว เจินจูก็รู้สึกถึงความสำคัญของห้องรับแขกอย่างยิ่ง สั่งทำเครื่องเรือนจัดวางในห้องรับแขกกับหลู่โหยวมู่หนึ่งชุดทันที
ตอนนี้ ห้องรับแขกสองห้องของสกุลหูล้วนปูเตียงกับเครื่องนอนและตู้เสื้อผ้าไว้เรียบร้อย คนแก่และเด็กสามคนนี่สามารถแบ่งกันเข้าอยู่ได้พอดี
เดิมนางคิดว่าเด็กสองคนจะอยู่ด้วยกัน คิดไม่ถึงเลย ว่าเด็กหนึ่งในนั้นจะเป็เด็กผู้หญิง นางรูปร่างผอมเล็ก แปรงผมอย่างผู้ชาย สวมชุดรัดรูปผ้าหยาบสีเทา หัวเข่าและปากกระบอกแขนเสื้อมีรอยปะมากมาย ไม่สังเกตอย่างละเอียดย่อมมองไม่ออกว่าเป็เด็กผู้หญิงจริงๆ
จัดหาที่อยู่ให้ทั้งสามคนเรียบร้อย เจินจูรีบเร้นกายไปหาหลัวจิ่งทันที
“ผลั๊วะ” ประตูห้องของหลัวจิ่งถูกนางบุ่มบ่ามเปิดออก
หลัวจิ่งถือเข็มขัดที่เพิ่งแก้ออกในมืออยู่ข้างขอบเตียง มองไปทางนางอย่างเสียมิได้
เจินจูไม่ได้สนใจอะไรมาก นางะโเข้ามาถึงตรงหน้าเขาแล้วขมวดคิ้วถาม “คนชราและเด็กสามคนนั้นเป็มาอย่างไร?”
ปล่อยคนทิ้งไว้กับนาง กลับไม่บอกสาเหตุนาง น้ำเสียงของเจินจูโมโหเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่
หลัวจิ่งถอนหายใจเบาๆ รัดเข็มขัดขึ้นเงียบๆ
“ผู้าุโหลิงเป็นายช่างควบคุมดูแลงานซ่อมแซมส่วนกงปู้ของฮ่องเต้องค์ก่อน ครั้งฮ่องเต้องค์ก่อนมีชีวิต ได้เข้าไปพัวพันรับสินบนคดีดำของกงปู้ซื่อหลาง[3] ถูกตัดสินเนรเทศ ก่อนนี้ยอมเป็แรงงานที่ถูกกดขี่ทำหน้าที่อยู่ภายใต้ศาลาว่าการอำเภอชิงเฉวียนมาโดยตลอด” หลัวจิ่งหยุดพักไปเล็กน้อย
ตอนแรกระหว่างที่เขาเดินทางลงใต้ผ่านอำเภอชิงเฉวียน เขาเร่งเดินทางมาไกลมาก หิวจนสองตาพร่าลาย อีกนิดเกือบเป็ลมล้มลงไปข้างทาง ผู้าุโหลิงกำลังซ่อมถนนอยู่ยื่นวอวอโถวครึ่งหนึ่งกับน้ำครึ่งกามาให้เขา วอวอโถวครึ่งก้อนนี้เป็เสบียงอาหารครึ่งวันของผู้าุโ
อาศัยวอวอโถวครึ่งก้อนนี้ หลัวจิ่งถึงดันทุรังมาถึงตำบลและเมืองถัดไปได้
“เนรเทศ? นั่นไม่ใช่คนที่ทำผิดหรือ?” เจินจูถาม
“ไม่นับว่าใช่ พวกเขาไม่ถูกกักขัง เพียงยอมเป็แรงงานที่ถูกบังคับ ซ่อมสะพานสร้างถนน หักร้างถางพงทำการเพาะปลูกหรือขุดคลองสร้างค่ายพักแรมจำพวกนี้ อาจได้รับการควบคุมโดยฝ่ายทางการ” หลัวจิ่งอธิบาย
“เช่นนั้น…เ้าได้คนกลับมาอย่างไรกัน? ฝ่ายทางการอาจลงโทษได้กระมัง?” ใบหน้าเล็กของเจินจูย่นจนจะไหลมากองอยู่รวมกัน แม้ผู้าุโจะน่าสงสาร แต่อย่างไรเสียก็มีฝ่ายทางการควบคุมอยู่ รับเอาคนเช่นนี้กลับมาจะนับว่าเป็อย่างไรได้
หวังจิ่งส่ายหน้า มุมปากยกรอยยิ้มขึ้น “ระยะเวลาที่กำหนดเนรเทศนักโทษยาวนาที่สุดคือสิบปี อีกทั้งฮ่องเต้องค์ก่อนตสิบปีแล้ว ตอนแรกขุนนางที่ตกเป็นักโทษเนรเทศ ผู้ที่มีลู่ทางหลีกเลี่ยงการเป็แรงงานหวนกลับบ้านกันไปนานแล้ว ที่เหลืออยู่บ้างต่างเป็คนชรา เด็กร่างกายอ่อนแอ คนเจ็บป่วยและคนพิการ หรือบ้านไร้กำลังทรัพย์ ไม่มีคนในตระกูลยอมให้สินบนหลีกเลี่ยงการเป็แรงงานเพื่อพวกเขาหรอก”
เจินจูได้ฟังถึงตรงนี้ จึงเข้าใจความหมายของเขา “เ้าจะบอกว่า เ้าจ่ายสินบนให้ฝ่ายทางการ ให้พวกเขาหลุดจากการเป็แรงงาน แล้วสามารถกลับบ้านตามแต่ใจตัวเองได้?”
“ก็ไม่ใช่เช่นกัน ถึงอย่างไรฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังไม่พระราชทานอภัยโทษลงมา ต่อให้พวกเขาหลุดจากการใช้แรงงานกดขี่ได้ แต่ไม่นับว่าถูกอภัยโทษความผิด ดังนั้น มีชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ เป็วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้” หลัวจิ่งกล่าวเบาๆ แล้วถอนหายใจ
“แล้วเ้าให้พวกเขามาที่บ้านเราทำไม?” เจินจูถามอย่างแปลกใจ
หลัวจิ่งยิ้มบางๆ แสดงฟันแปดซี่อย่างเป็ระเบียบออกมา “ผู้าุโหลิงเคยรับหน้าที่ควบคุมดูแลงานฝ่ายซ่อมบำรุงกงปู้”
เห็นว่านางยังท่าทางไม่เข้าใจความนัย
“กงปู้ฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษาเป็หน่วยงานที่รับผิดชอบเฉพาะในการก่อสร้างพระราชวัง กำแพงเมือง สถานที่ว่าราชการลูกหลานขุนนาง ตำหนักขุนนาง และเรือนที่พักอาศัยต่างๆ สร้างสวนหย่อม และลานบ้าน”
เด็กสาวดวงตาดำดั่งลูกองุ่นวาววับเป็ประกายชั่วพริบตา เข้ามาใกล้เขาด้วยรอยยิ้มงดงาม “ความหมายของเ้า…คือให้ผู้าุโหลิงช่วยข้าวางแผนที่ริมฝั่งแม่นั้นผืนนี้?”
ดวงตาโตแวววับของนางใกล้ชิดเข้ามามาก ขนตางามกระดกขึ้นชัดเจนเรียงเป็แพ ริมฝีปากชุ่มชื้นอมชมพูโค้งขึ้นสวยงาม กลิ่นหอมหวนบางๆ ซึมซับเข้าสู่หัวใจและปอด หลัวจิ่งรู้สึกเืพลุ่งพล่าน แก้มราวกับมีไฟกำลังแผดเผา
เขาดึงสติกลับมา พยักหน้าอย่างรีบเร่ง จับไหล่ของนางไว้ แล้วดันนางออกไปนอกประตูห้อง
“ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว”
“ปัง” ประตูห้องปิดลง
เจินจูถูกดันออกมาด้วยใบหน้างงงวย หันกลับไปมองอย่างแปลกใจเต็มสองตา เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสิ ต้องรีบเร่งเช่นนี้ด้วย?
แต่ นางเปลี่ยนความสนใจไปอย่างรวดเร็ว เ้าหน้าที่มืออาชีพเฉพาะทาง ช่างสัปหงกมอบส่งหมอน[4] จริงๆ
ตกเย็น หลี่ซื่อจัดทำกับข้าวเต็มหนึ่งโต๊ะต้อนรับสามคน
หลังมื้ออาหาร เจินจูถึงได้รู้ ว่าผู้าุโหลิงนามว่าหลิงเสี่ยนท่านนี้เป็ผู้ที่เคยมีฐานะจิ้นซื่อ[5] ที่ซื่อสัตย์ แต่เส้นทางการเป็ขุนนางไม่ราบเรียบ ทั้งยังเป็ครอบครัวบัณฑิตยากจน ดำรงตำแหน่งกรมซ่อมบำรุงค่ายของกงปู้มาตลอด ได้รับการพัวพันคดีดำรับสินบนของผู้บังคับบัญชา เ้าหน้าที่กรมซ่อมบำรุงค่ายทั้งหมดถูกตัดสินให้เป็นักโทษเนรเทศ
เส้นทางนักโทษเนรเทศทุกข์ยากลำเค็ญ สมาชิกในครอบครัวของเ้าหน้าที่ทางการมากมายยังไม่ทันมาถึงสถานที่เนรเทศ ก็ป่วยจนเสียชีวิตอยู่ระหว่างข้างทาง
ครอบครัวหลิงเสี่ยน มารดาชรากับภรรยาล้วนทิ้งชีวิตอยู่ระหว่างทางเนรเทศ จึงฝังอยู่บนเนินดินข้างถนนทางการ
บุตรชายและลูกสะใภ้ของเขา สองปีก่อนทนความทรมานและยากลำเค็ญของการเป็แรงงานในแต่ละวันไม่ได้ ทิ้งชีวิตกันไปเป็คู่ๆ
ตอนนี้ สกุลหลิงนอกจากเขาแล้ว เหลือเพียงหลิงซีหลานชายเพียงคนเดียวแล้ว
เด็กสาวอีกหนึ่งคนที่อายุเท่ากัน เป็หลานสาวของสหายที่ร่วมเดินทางเนรเทศมาด้วยกัน มีนามว่าพานเสวี่ยหลัน ทั้งครอบครัวนอกจากนางแล้ว ก็เสียไปหมดแล้วเช่นกัน
ก่อนหน้าสหายร่วมงานจะสิ้น ได้ฝากฝังให้เขาดูแลหลานสาวให้
คนชราที่อายุเกือบหกสิบปี เพื่อเด็กสองคน ฝืนร่างกายเจ็บป่วยไปทั่วทั่งร่าง กัดฟันหยัดยืนอยู่บนเส้นทางแรงงานที่ถูกกดขี่
เด็กยังไม่เป็ผู้ใหญ่ หากเขาจากไป กลัวว่าเด็กสองคนจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน
หลิงเสี่ยนใช้เสียงผ่านโลกมาโชกโชนเต็มไปด้วยการได้รับความระทมทุกข์ เล่าเื่อดีตที่เต็มไปด้วยความประสบทุกข์
เชิงอรรถ
—————————————————————————
[1] ลำบากยากจนท่ามกลางความเจริญย่อมไร้คนถามถึง ร่ำรวยสูงศักดิ์ในป่าลึกย่อมมีมิตรสหาย หมายถึง คนยากจนแม้อาศัยอยู่ในเมืองที่เจริญก็ไม่มีใครคนไหนมาสนใจไถ่ถาม แต่หากเป็คนร่ำรวยถึงแม้จะอาศัยอยู่ตามชนบทแสนไกลก็ย่อมมีคนมาเยี่ยมเยียนคารวะ
[2] ท่านมอบลูกท้อแก่เราเราตอบแทนด้วยลูกหลี่ หมายถึง การตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย แลกเปลี่ยนสิ่งของหรือตอบแทนซึ่งกันและกัน
[3] ซื่อหลาง(侍郎) หมายถึง รองหัวหน้าของในฝ่ายปู้ ในที่นี้คือ รองหัวหน้าฝ่ายกงปู้(กรมโยธา)นั่นเอง หรือเรียกได้ว่าเป็ นายสนอง
[4] สัปหงกมอบส่งหมอน (瞌睡送枕头) มาจากการที่กำลังสัปหงกแล้วมีคนยื่นหมอนส่งมาให้รองนอน หมายถึง อยากได้สิ่งใดก็ได้อย่างนั้น
[5] จิ้นซื่อ(进士) คือ บัณฑิตชั้นสูง ตำแหน่งที่ผู้สอบผ่านเตี้ยนซื่อ(การสอบหน้าพระที่นั่ง) มาได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้