ใบหน้าที่นิ่งเฉยของท่านเทพป๋ายหันมาพร้อมกับความโมโหที่เพิ่มมากขึ้น “เด็กน้อย เ้ากล้าพูดอะไรบ้าๆแบบนั้นได้อย่างไร!” เธอพูดพร้อมกับยกมือบางขึ้นแล้วพุ่งมาทางหลินลั่วหรานเมื่อข้อมือบางพุ่งมาถึงบริเวณด้านหน้าของหลินลั่วหรานทันใดนั้นก็กลายเป็กรงเล็บปีศาจสีดำ เล็บมือยาวคมกริบดั่งเหล็กแหลมประกายแสงสีดำเย็นะเื จับเข้าที่ตัวของหลินลั่วหราน
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยจิติญญาและพลังงานดังนั้นการถ่วงเวลามาเกือบพักใหญ่นั้นมันส่งผลดีต่อการฟื้นฟูของหลินลั่วหรานความจริงในตอนนี้เธอสามารถปล่อยพลังออกมาได้แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกรงเล็บของปีศาจที่พุ่งตรงเข้ามานั้นหลินลั่วหรานรู้สึกเหมือนูเาพังทลายอยู่ตรงหน้า อยู่ท่ามกลางพายุแต่เธอกลับอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหวราวกับต้นไผ่สีเขียวสด
เหมือนว่ากรงเล็บที่แหลมคมนั้นจะทิ่มเข้ามาในพวงแก้มของเธอแล้ว ความเย็บเฉียบไหวผ่านเข้าไปจนถึงกระดูกหลินลั่วหรานพูดออกมาในทันที “เวทลูกไฟ!”
ท่านเทพป๋ายใเธอเก็บกรงเล็บคมกริบของตัวเองลงเรือนร่างของเธอกลับหายลงไปยังหินก้อนเดิมเพื่อฟื้นฟูและกลับไปเป็รูปร่างที่สวยงามดั่งดอกไม้เช่นเดิมอย่างไรก็ตาม เธอพบว่าหลินลั่วหรานนั้นเพียงแค่พูดออกมาเท่านั้นแต่ไม่ได้มีการขยับของพลังไฟเลยแม้แต่น้อย และในตอนนั้นเองเธอไม่รู้ว่าควรจะโมโหหรือว่าใดี เธอโดนเ้าเด็กนี่หลอกเข้าจนได้
“เ้า...”
หลินลั่วหรานปรบมือดังขึ้นสีหน้าของเธอนิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่การพนันครั้งนี้ ราวกับเธอได้เดินเข้าไปถึงประตูแห่งความตายไปแล้วครั้งหนึ่งหากบอกว่าไม่กังวลก็คงเป็การโกหก
“ท่านเทพ แค่ลูกไฟเล็กๆก็ทำให้ท่านกลัวได้ถึงเพียงนี้ จิติญญาของท่านไม่มั่นคงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลินลั่วหรานเองก็ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความกล้าเหล่านี้มาจากไหนเพียงแค่การคาดเดา ความคิดหนึ่งก็ไหลเข้ามาในสมองในที่สุดเธอก็สามารถเดาถึงสถานการณ์ของท่านเทพตรงหน้าได้ถูก
ท่านเทพป๋ายส่งเสียงขึ้นในลำคอ “เด็กน้อยจิติญญาของข้าจะเป็อย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับเ้า!”
ถึงแม้จะบอกว่าท่าทางของเธอไม่ดีเท่าไรนักแต่กลับยอมรับการคาดเดาของหลินลั่วหรานออกมาแบบอ้อมๆเพียงแค่นี้หลินลั่วหรานก็สามารถจับทางนิสัยการพูดจาของผู้าุโคนนี้ได้แล้วจึงได้แต่พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี “ท่านผู้าุโ ตอนนี้จะดึงดันอะไรไปก็ไม่ได้มีอะไรดีสำหรับเราสองคนหรอกนะถ้าเราสองคนลองมานั่งคุยกันให้มันรู้เื่ไป แบบนั้นจะไม่ดีกว่าเหรอ?”
ผืนหญ้านั้นนุ่มมาก หลินลั่วหรานนั่งลงไปก่อนจะแสดงท่าทีเชื้อเชิญท่านเทพป๋าย เธอได้แต่ส่งเสียงในลำคอและยังคงยืนอยู่บนก้อนหินกลม ผ่านไปสักพักถึงได้พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
แม้ว่าร่างกายของเธอจะได้ทำการถอดจิตไปนานแล้วแต่ว่าจิติญญาในวันวานนั้นยังคงอยู่ วันเวลาที่ติดอยู่ที่นี่เธอก็ได้เรียนรู้เวทมายาเธอไม่เชื่อว่าเ้าเด็กระดับฝึกลมปราณด้านหน้านี้จะสามารถมองออกได้
มองออกได้อย่างไรกัน? หลินลั่วหรานไม่ได้ตอบคำถามตรงๆแต่กลับถามกลับไปว่า “ในอดีตท่านสุภาพแบบนี้กับคนที่ระดับน้อยกว่าตลอดเลยหรือเปล่า?”
ในอดีตผ่านมา...ใน่ที่ผ่านมานั้นเธอไม่ได้คิดจะสนใจพวกเด็กระดับฝึกลมปราณพวกนี้เลยสักนิด
ท่านเทพป๋ายนั้นเพียงแค่เพราะว่าติดอยู่ในนี้มาแสนนานเมื่อได้พบกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ไม่ได้นึกไปถึงความแตกต่างของระดับผู้าุโและเด็กในโลกแห่งการฝึกศาสตร์เมื่อมาคิดกลับไปในตอนนี้ เธอก็ได้รู้จุดที่ตัวเองพลาดไปแล้ว ที่แท้ก็เป็เธอรีบร้อนเกินไปหรือนี่?
ดูจากสีหน้าท่าทางของท่านเทพป๋ายแล้วหลินลั่วหรานก็รู้ว่าเธอเข้าใจแล้วเมื่อพูดถึงเื่ความแตกต่างของระดับผู้าุโและเด็กหลินลั่วหรานก็ต้องขอบคุณเหวินกวนจิ่งถ้าหากว่าเขาไม่ดึงดันเรียกเธอว่ารุ่นพี่ต่อไปหลินลั่วหรานก็คงจะลืมจุดที่น่าสงสัยตรงนี้ไป
แม้ว่าในโลกแห่งการฝึกศาสตร์จะมีผู้าุโที่ใจดีอยู่แต่ว่าเมื่อเห็นว่าการพูดจาของท่านเทพป๋ายนั้นไม่ได้ดีนักแล้วจะทนการหลอกถามให้ชัดเจนของเธอได้อย่างไรอีกทั้งเธอยังคอยเอาแต่ถามมาโดยตลอดด้วย แน่นอนว่ามันเป็เพราะท่านเทพป๋ายไม่ได้มั่นใจในสิ่งเหล่านี้นัก
“แปลกใจนักเด็กที่ฝึกศาสตร์ระดับต่ำอย่างเ้าข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะสามารถมองร่างจิตของข้าได้ออก...”
อันนี้...ตอนแรกหลินลั่วหรานก็ไม่ได้คาดเดาเอาไว้แบบนั้นเธอเพียงแค่รู้สึกว่าท่านเทพป๋ายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนคนสักเท่าไรแต่กลับมีความหยั่งรู้บางอย่าง ไม่ได้เกี่ยวกับการที่เธอมองเวทลวงของเธอออกหรือไม่เลย
สิ่งที่ทำให้หลินลั่วหรานมั่นใจจริงๆกลับเป็คำขู่ที่ออกมาจากปากของท่านเทพป๋าย “จิติญญาที่พังทลาย” นักฝึกระดับฝึกลมปราณอย่างเธอ จะไปเอาจิติญญามาจากไหน บางทีท่านเทพป๋ายอาจจะพูดออกมาด้วยอารมณ์โมโหเท่านั้นแต่เมื่อหลินลั่วหรานหลอกถามเข้าหน่อย หากจะพูดว่าทำไมกรงเล็บปีศาจอยู่ตรงหน้าแล้วยังไม่วิ่งหนีไปหลินลั่วหรานเชื่อว่า เื่มันแปลกเกินไป ถ้าหากว่าเธอเป็ปีศาจ ถ้าหากว่าท่านเทพป๋าย้าจะฆ่าเธอจริงๆเธอก็คงจะไม่ต้องทำอะไรมากมายแบบนี้
เมื่อได้ฟังเธอพูดจนจบ ท่านเทพป๋ายก็มองพิจารณาหลินลั่วหรานอยู่สักพักเมื่อมองจนหลินลั่วหรานรู้สึกเขินอายขึ้นมา ถึงได้เริ่มเปิดปากพูด “เ้าสงบนิ่งมากมีมันสมองที่เหล่านักปราชญ์สาวยากที่จะมี”
หลินลั่วหรานได้แต่ยิ้มเธอนั้นรู้เื่ของตัวเองดี มันสมองของเธอนั้นไม่ได้นับว่าฉลาดมากเพียงแต่มีความสุขุมใน่เวลาอันตรายมากกว่าคนทั่วไป และมีความกล้าหาญที่มากล้น
เมื่อท่านเทพป๋ายเห็นว่าเธอยิ้มออกมาก็เสริมขึ้นอีก “เ้าอย่าได้คิดภูมิใจนักแม้ว่าจิตของข้าจะแตกสลาย แต่ก็ใช่ว่าเ้าจะมาทำก้าวร้าวได้”
หลินลั่วหรานนำ “เจาเสวี่ย” ออกมามวยผม “ท่านเทพ ตัวข้านั้นไร้ความสามารถ เพียงแค่คาดเดาตัวตนของท่านไปมั่วๆเท่านั้น บางทีท่านอาจจะเกี่ยวข้องกับดาบเล่มนี้?”
ร่างจิตของท่านเทพป๋ายนั้นมีสีหน้าที่ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ก่อนหน้านี้ข้าก็พูดอะไรหลุดออกไปไม่น้อยการที่เ้าจะเดาเื่นี้ได้ก็ไม่น่าแปลก”
หลินลั่วหรานลูบลงที่ตัวปิ่นปักผมโดยไม่พูดอะไรท่านเทพป๋ายคนนี้สามารถที่จะทำตัวไม่ต้องรู้จักกับ “เจาเสวี่ย” นี่ก็ได้การที่เธอเน้นจุดสำคัญขึ้นมา ทำให้ตัวหลินลั่วหรานรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเธอไม่รู้เื่ที่เกิดขึ้นกับพวกเหล่านักปราชญ์ระดับแยกจิตเมื่อพันปีก่อนหรือก็พูดได้ว่า เธอติดอยู่ในสถานที่สูญหายนี้มานานกว่าพันปีแล้ว เมื่อรวมเข้ากับระยะเวลาชีวิตที่ยาวนานของผู้ฝึกศาสตร์อีกอายุของท่านเทพป๋ายก็ไม่อาจจะหยุดอยู่ที่พันปีได้อีกต่อไป เมื่อมีอายุมาก ประสบการณ์ก็ย่อมมากตาม เธอไม่น่าจะทำเื่ผิดพลาดอย่างนี้ขึ้นมานี่นา?
ตอนนี้หลินลั่วหรานไม่รู้แล้วว่าเธอมองเห็นท่านเทพคนนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วหรือว่าตัวเองได้ตกลงไปในหลุมพรางของอีกฝ่ายแล้วกันแน่
เมื่อท่านเทพป๋ายเห็นว่าเธอเงียบไปก็เหยียดรอยยิ้มขึ้น “ไม่ต้องเดาให้มากความการที่ข้าออกมาตามหาเ้า แน่นอนว่ามีเื่ดีกับเ้าแน่นอน!”
เื่ดี?
หลินลั่วหรานไม่เคยคิดว่าบนโลกใบนี้จะมีเื่ดีๆที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรเธอจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือสนใจกับคำว่าเื่ดีจากปากของท่านเทพป๋ายนักหลายครั้งที่คนเราไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับคนอื่น แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับความโลภของตัวเอง
เมื่อท่านเทพป๋ายเห็นท่าทีที่ไม่ได้สนใจนักของเธอก็ไม่ได้แสดงท่าทางโมโหแต่กลับพูดออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เ้ารู้ไหมว่าที่นี่อยู่ห่างจากทางออกของหุบเขาเท่าไร? ด้วยศาสตร์ที่เ้ามี คิดว่าจะสามารถออกไปได้ไหม?”
หลินลั่วหรานเงยหน้าขึ้นมองไปยังปลายหุบเขาแสนแคบดูเหมือนว่าเธอและหลีซีเอ๋อร์นั้นจะตกลงมาจากกลางทางแม้แต่ยอดเขาก็ยังไม่เคยได้เห็น เพียงดูจากเวลาที่ตกลงมาและคำนวณออกมาเป็ระยะทางมันก็เป็ความสูงที่เธอไม่อาจหาทางดิ้นรนขึ้นไปได้แล้ว...หากจะขึ้นไปด้วยศาสตร์ที่เธอมีในตอนนี้ แม้จะใช้พลังจากทั้งห้าธาตุได้ หน้าผาก็ราบเรียบแต่ระหว่างทางไร้ที่ให้พักฟื้นพลังในตอนนี้เธอไม่อาจจะมองเห็นความหวังในการออกไปได้เลย
แล้วที่ท่านเทพป๋ายพูดออกมานี้ เพื่ออะไรกัน?
หลินลั่วหรานมองไปยังท่านเทพป๋ายเธอเงยหน้าขึ้นมอง มือขวาชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้า เธอมองลงมาจากก้อนหินกลมพร้อมเอ่ยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยการหว่านล้อม
“เ้าอยากจะเหยียบเจาเสวี่ยบินขึ้นไปจากหุบเขาแห่งนี้ไหม?”
เหยียบดาบบินขึ้นไป? ในหัวของหลินลั่วหรานนั้นนึกถึงภาพของนักดาบชู่ชานในภาพยนตร์ที่พุ่งขึ้นมาพร้อมกับแสงดาบสิ่งที่ท่านเทพป๋าย้าจะสื่อก็คือเธอสามารถบังคับดาบแบบนั้นได้เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ?
รอยยิ้มประดับขึ้นบนใบหน้าของท่านเทพป๋ายราวกับดอกไม้บานสะพรั่งเธอมองไปยังหลินลั่วหรานอย่างเงียบสงบเหมือนว่าอยากจะรู้ว่านักปราชญ์สาวผู้สงบนิ่ง เมื่อพบกับสิ่งล่อลวงใจเช่นนั้นจะทำอย่างไรต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้