บางครั้งการที่ผู้มีสถานะสูงศักดิ์เป็ฝ่ายออกโรงจัดการก็ทำให้ได้ผลเร็วดังคาด สามารถหาตัวคนร้ายที่ลงมือได้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าเป็เพราะสนามม้าให้ความร่วมมืออย่างทันท่วงที ่สิบปีมานี้พวกเขาไม่เคยเกิดเื่ แต่พอมีเหตุการณ์ครานี้ออกมา ก็ไม่อยากถูกยัดเยียดข้อหา ย่อมจะให้ความร่วมมือในทุกด้าน
เพียงแต่ไม่นึกว่าคนก่อเื่นี้จะถึงกับเป็จวนฉีอ๋อง แม้ว่าองครักษ์ผู้นั้นจะยอมรับผิดเพียงผู้เดียว แต่คนฉลาดมองปราดเดียวก็รู้ว่าท่านหญิงฉางเล่อเป็คนออกคำสั่ง อยู่ดีๆ องครักษ์คนหนึ่งจะคิดปองร้ายคุณชายคุณหนูของผู้อื่นได้อย่างไร มีเพียงสตรีหึงหวงจนขาดสติถึงกระทำการเหลวไหลเช่นนี้ได้
ยามเช้าตรู่ เฉียวเยว่มาคารวะในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า นางกุมมือของเฉียวเยว่แล้วอมยิ้ม "มา ไกวเยว่มานั่งข้างๆ ย่าตรงนี้"
เฉียวเยว่ขยับเข้าไปนั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านย่าคิดถึงข้าหรือ? ไม่พบหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามฤดูสารทแท้ๆ"
ฮูหยินผู้เฒ่าตีนางหนึ่งเพียะ แล้วเอ่ยว่า "ไม่พบหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามฤดูสารทอันใด เมื่อวานข้าไม่เจอเ้าหรือ" หลังจากนั้นก็หัวเราะ "มา มาชิม นี่คือองุ่นพระราชทานมาจากในวัง"
ฤดูกาลเช่นนี้ยังมีผลไม้กิน เป็เื่ที่ยากยิ่งนัก
เฉียวเยว่ตาลุกวาว หัวเราะคุยเสียงดัง "ข้าชอบกินผลไม้ กินแล้วผิวพรรณเปล่งปลั่งสดชื่นไปทั้งตัวเหมือนมีหยาดน้ำมาหล่อเลี้ยง แน่นอนว่าข้าเองก็สวยสะคราญอยู่แล้วด้วย"
คำพูดยกยอปอปั้นหลงตนเองเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้มอย่างขบขัน
"เมื่อชอบก็มาหยิบไป"
ในห้องยังมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่กลับไม่แบ่งให้ผู้อื่น กล่าวเพียงว่า "เ้าเอาไปแบ่งกับฉีอันเถอะ"
เฉียวเยว่กวาดมองผ่านๆ ไปรอบห้องคล้ายไม่ตั้งใจ สีหน้าของแต่ละคนล้วนไม่พอใจ แม้แต่ไท่ไท่รองก็ยังชักสีหน้า แต่ถึงจะไม่พอใจอย่างไร ก็ไม่กล้าพูดมาก
เฉียวเยว่หันกลับไป "ขอบคุณเ้าค่ะ ท่านย่า"
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะ "ควรเป็ของใคร ก็ต้องเป็ของผู้นั้น"
คำกล่าวนี้มีความหมายแฝงอยู่เต็มสิบส่วน "ปีใหม่ปีนี้ เฉียวเยว่ตามย่าเข้าวังดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่บิดมือน้อยๆ ราวกับเป็เด็กว่านอนสอนง่าย "เื่นี้ ข้าต้องให้ท่านพ่อตัดสินใจ หากข้ารับปากท่านย่าตามอำเภอใจ กลับไปท่านพ่อต้องโกรธแน่ ท่านย่าไม่รู้หรือว่าบิดาข้าขี้น้อยใจยิ่งนัก"
เื่ขายบิดามารดาคือสิ่งที่เฉียวเยว่พยายามอย่างสุดกำลังมาั้แ่เล็ก ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ
"เ้าเด็กซุกซน" นางว่าขาน แต่กลับไม่ถือสาเื่นี้
"เรียนฮูหยินผู้เฒ่า คนจากจวนฉีอ๋องมาถึงแล้ว ขอพบท่านเ้าค่ะ" บ่าวเข้ามารายงาน
ฮูหยินผู้เฒ่าดูเหมือนจะไม่แปลกใจ ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนจาง "เชิญเข้ามาเถอะ พวกเ้ากลับกันไปได้แล้ว"
นางโบกมือไล่ทุกคนออกไป
แต่สายตาเลื่อนมาที่เฉียวเยว่สองพี่น้อง ทว่าหลังจากขบคิดดูแล้ว ก็ไม่รั้งให้พวกเขาอยู่
ขณะเฉียวเยว่จูงฉีอันออกมา เขาก็พูดค่อนแคะเรื่อยเปื่อย "จะมาเสแสร้งแกล้งทำอันใด เห็นผู้อื่นโง่นักหรือ ทั้งหมดนี่มิใช่ฝีมือพวกเขาหรือไร"
เฉียวเยว่ยกยิ้มน้อยๆ "รู้แล้วอย่างไร เ้าออกไปกัดคนได้หรือ?"
ฉีอันย่อมไม่สามารถออกไปกัดคนได้ แต่่นี้จวนฉีอ๋องสถานการณ์ไม่ดีนัก เฉียวเยว่ไม่รู้ ทว่านายใหญ่ของจวนซู่เฉิงโหวสองท่านนั้นย่อมรู้
ฮองเฮาทรงคิดเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ในครานั้นย่อมไม่ไว้หน้าจวนฉีอ๋องอยู่แล้ว แม้จะทรงทราบว่าจวนฉีอ๋องอาจไม่เกี่ยวข้องกับเื่ที่เกิดขึ้นของพระนาง แต่ไหนเลยจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าไม่เกี่ยวข้อง ในเมื่อเพียงตรวจสอบสาเหตุไม่พบ
แม่นางน้อยอายุเพียงแค่นี้กลับสามารถคิดใช้วิธีนี้มาทำร้ายคน มิใช่ว่ามีคนทำให้เห็นเป็แบบอย่างหรอกหรือ
ความดันทุรังจนเกินเหตุของฮองเฮา ทั้งไทเฮาและฝ่าาต่างทรงรับรู้ แต่ฉีอ๋องหาใช่โอรสที่ไทเฮาทรงให้กำเนิด หลานสาวคนนี้ก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางเชื้อสายกับพระนาง แต่คนที่มีความเกี่ยวข้องกับพระนางกลับถูกปองร้าย ย่อมจะไม่สนใจพฤติกรรมที่ทำเพื่อระบายอารมณ์ของฮองเฮา
ขณะเดียวกัน จวนซู่เฉิงโหวก็ใช่ว่าจะรังแกได้ง่ายนัก ยังมีฉีจือโจวเป็ผู้ช่วยอยู่เคียงข้าง ดูเพียงแค่นี้ จวนฉีอ๋องก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว
ฉีอ๋องไม่มีอำนาจที่แท้จริง แต่ฉีจือโจวกลับมี
่นี้การค้าส่วนตัวของฉีอ๋องประสบปัญหาหลายครั้งหลายครา ฉีอ๋องไหนเลยจะไม่รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร
แม้ในใจจะเข้าข้างบุตรสาวแต่ก็อดขุ่นเคืองไม่ได้
คนมียศถาบรรดาศักดิ์อย่างพวกเขาเื้ัล้วนพึ่งพากิจการร้านค้าเหล่านี้ ถึงจะมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน
แน่นอนว่าในฐานะที่เป็เชื้อพระวงศ์ย่อมไม่ถึงกับขาดแคลนเงินทอง เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าได้รับการจัดสรรปันส่วนมาเท่าไร
เหมือนเช่นราชวงศ์ก่อน ท้องพระคลังหลวงว่างเปล่า ในที่สุดเหล่าพระญาติเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างต้องหาเงินใช้กันเอง แน่นอนว่าบัดนี้ไม่ใช่ยุคศึกาเหมือนในอดีต และเื่ก็ผ่านมาหนึ่งถึงสองร้อยปีแล้ว
แต่เมื่อเล่าขานสืบต่อกันมา ก็ทำให้คนรู้สึกว่าเป็เื่ที่น่าขบขัน
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าใครก็อยากใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ้งเฟ้อกันทั้งสิ้น เขาไม่อาจทนเห็นการค้าในมือของตนต้องได้รับผลกระทบจากเื่นี้
ฉีอ๋องจึงพาบุตรสาวมาเยือนด้วยตนเอง รายละเอียดเป็อย่างไรเฉียวเยว่ไม่รู้ รู้เพียงว่าท่านปู่กับท่านย่าอยู่ต้อนรับเพียงแค่สองคน
"เฉียวเยว่ ข้าเดาว่าท่านหญิงน้อยผู้นั้นคิดจะกำจัดเ้า" ฉีอันฝึกคัดอักษรไปก็คุยไป
ในใจของเฉียวเยว่กระจ่างใสยิ่งกว่าคันฉ่อง เื่นี้ต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่นอนอยู่แล้ว เป้าหมายหาได้มุ่งมาที่ฉีอัน
"เพราะนางริษยาในความงดงามดุจบุปผากับความน่ารักน่าเอ็นดูของข้าอย่างไรเล่า" นางกล่าว
"เรียนคุณหนูเจ็ด นายน้อยสี่ ท่านโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าเชิญพวกท่านที่เรือนหลักเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ถามทันที "มีอะไร?"
สาวใช้ส่ายหน้า "บ่าวไม่ทราบเ้าค่ะ"
วันนี้ซูซานหลางไม่อยู่บ้าน ไท่ไท่สามเดินเข้ามาบอกว่า "พวกเ้าสองคนตามแม่ไปด้วยกันเถอะ"
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่ใบหน้ากลับมีความเ็าอยู่หลายส่วน
เฉียวเยว่รู้ว่าในใจของมารดาต้องโกรธมาก จึงเอ่ยว่า "คงมาเพื่อมอบของชดเชยและขอขมา"
เดิมทีเฉียวเยว่นึกว่าเหล่าพระญาติน่าจะได้รับความสำคัญเหนือผู้อื่น แต่ดูจากตอนนี้จึงรู้ว่าแท้จริงแล้วมิได้เป็เช่นนั้น อย่างไรเสียก็ต้องดูว่าใครมีอำนาจมากกว่ากัน
ไท่ไท่สามพาบุตรสาวและบุตรชายเข้ามาในเรือนหลัก สามคนแม่ลูกคารวะฉีอ๋อง แล้วไปยืนด้านข้าง
ฉีอ๋องเป็บุรุษวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะไร้พิษภัย
เขาอมยิ้มเอ่ยว่า "นี่หรือฝาแฝดคู่นั้น ดูเฉลียวฉลาดร่าเริงสดใส น่ารักจริงๆ"
ท่านโหวผู้เฒ่ากล่าวเสียงเรียบ "เด็กยิ่งน่ารักก็ยิ่งไม่ปลอดภัย มักมีคนอิจฉาริษยาอยากลงมือทำร้าย"
คำกล่าวนี้รุนแรงยิ่ง ทำให้ฉีอ๋องยากจะหาถ้อยคำมาตอบโต้ แต่ก็ต้องอดกลั้น กล่าวอีกว่า "เื่นี้ล้วนเป็ความผิดของจวนฉีอ๋องของพวกเรา แม้มิใช่การกระทำของธิดาน้อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็องครักษ์ของนาง ทำให้พวกเรารู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง"
ยามนี้แทบอยากจะเอาผ้าปิดอาย [1] มาคลุมหน้าให้รู้แล้วรู้รอด
"ฉางเกอ เ้ารีบขอขมาน้องชายน้องสาวเสียเร็วๆ เื่นี้เกิดจากเ้าควบคุมบริวารไม่เข้มงวด เมื่อเ้ารู้สึกละอายใจ ก็กล่าวขออภัยไปเลยตรงๆ"
หรงฉางเกอใบหน้าขาวซีด แต่ดูเหมือนจะขัดความประสงค์ของบิดาไม่ได้ สายตาจึงเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว จดจ้องเฉียวเยว่แทบเป็แทบตาย ปานจะกลืนกินคน
เฉียวเยว่ขบริมฝีปากตัวสั่นระริก ดึงแขนเสื้อของไท่ไท่สาม แล้วถอยไปหลบด้านหลังพลางเรียกเสียงเบา "ท่านแม่"
แต่ไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่เรียกเท่านั้น ท่าทางหวาดกลัวมาก
ฉีอ๋องเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หยิกแขนของบุตรสาว "รีบกล่าวขอขมา"
น้ำเสียงแฝงแววข่มขู่อยู่หลายส่วน
ดูจากสีหน้าของหรงฉางเกอก็รู้ได้ว่าฉีอ๋องต้องหยิกแรงมาก มิเช่นนั้นคงจะไม่เป็เช่นนี้ มุมปากของนางขยับเล็กน้อย เอ่ยว่า "ขออภัย เป็ข้าดูแลบริวารไม่เข้มงวดเอง"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน "ไม่เป็อันใด ท่านหญิงควรหมั่นดูแลบริวารของตนเองให้มาก ข้าไม่รู้จักเขา หน้าตาเป็อย่างไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับปองร้ายพวกเรา คงไม่วิกลจริตกระมัง?"
หลังจากนั้นก็พูดต่ออีกว่า "แต่หากเป็เช่นนั้น ยิ่งต้องตรวจสอบให้ดี ไม่รู้ว่ายามอยู่ข้างกายท่านหญิงหลายปีมานี้ได้ทำเื่เลวร้ายไปเท่าไรแล้ว"
น้ำเสียงของนางเนิบเบาระคนไปด้วยความอ่อนโยน ไม่เหมือนปรกติสักนิด แต่ความหมายที่แฝงในถ้อยคำล้วนเต็มไปด้วยการถากถางเหน็บแนม
ไฟโทสะในใจของหรงฉางเกอลุกโชน แต่บิดาให้นางมาขอขมา นางไม่อาจขัดคำสั่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แค่นเสียงลอดไรฟันออกมาสองสามประโยค "ไม่ใช่กงการของเ้า ดูแลตนเองให้ดีเถอะ... โอ๊ย"
ฉีอ๋องไม่นำพาว่าจะอยู่ข้างนอก ตบหน้าบุตรสาวอย่างแรง หรงฉางเกอถูกตบล้มลงกับพื้นโดยที่นางเองก็คาดไม่ถึง
"นางเด็กคนนี้ ข้าให้เ้ามาขอขมา แต่เ้าสิ ยังทำท่าเหมือนตนเองไม่มีความผิด นิสัยเยี่ยงนี้ของเ้าต่อไปจะแต่งออกเรือนได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะเ้าให้ท้ายบริวารจนเคยตัว ไหนเลยจะเกิดเื่ราวเหล่านี้"
ฉีอ๋องโกรธมากจริงๆ หรงฉางเกอไม่กล้าเถียง ได้แต่กัดริมฝีปากหลั่งน้ำตา
"เ้าพูดมา แท้จริงแล้วเ้ามีความผิดหรือไม่"
"ท่านพ่อ ข้าสำนึกผิดแล้ว" หรงฉางเกอกล่าวเสียงเบา
"เ้าควรขอขมาข้าหรือ? มารยาทที่ร่ำเรียนตลอดหลายปีมานี้ล้วนสูญเปล่าจริงๆ" ฉีอ๋องกล่าวอย่างเ็า
หรงฉางเกอมองเฉียวเยว่สองพี่น้อง น้ำเสียงดังขึ้นเล็กน้อย "ขออภัย ล้วนเป็ความผิดของข้าเอง"
เฉียวเยว่เห็นรอยฝ่ามือเด่นชัดบนใบหน้าของนาง แต่สายตาของหรงฉางเกอยิ่งเต็มไปด้วยความอาฆาต
เฉียวเยว่เม้มปาก ไม่เอ่ยคำใด
ยิ่งถอยไปด้านหลัง ดูเหมือนว่าจะกลัวมากจริงๆ ท่านโหวผู้เฒ่าปวดใจแทบตาย เอ่ยขึ้นว่า "เอาเถอะ เอาเถอะ สักแต่พูดขอขมา แต่สายตากลับมุ่งสังหารคน ทำไกวเยว่ของข้าขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้ว"
เขาหยุดเว้นจังหวะชั่วครู่ แล้วพูดต่อไป "ท่านอ๋องฉี ท่านไม่จำเป็ต้องอบรมบุตรในจวนของข้า บุตรของท่านเป็อย่างไร พวกเรายุ่งไม่ได้ และไม่หวังว่าท่านจะชอบพวกเรามากมาย ขอเพียงเฝ้าระวังบุตรสาวของท่านให้ดี ให้นางอยู่ห่างจากพวกเราหน่อย และอย่าทำร้ายผู้อื่นอีกเป็ดีที่สุด"
ท่านโหวผู้เฒ่าไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
สีหน้าของฉีอ๋องเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวม่วงสลับกันไปมา
หรงฉางเกอออกตัวปกป้องบิดา "โหวเช่นท่านถือสิทธิ์อันใดมาชี้มือวาดเท้าต่อหน้าบิดาข้า ไม่ดูบ้างว่า..."
"ฉางเกอ!" ฉีอ๋องยืนขึ้น "เื่นี้จวนอ๋องของเราเป็ฝ่ายผิด ธิดาน้อย... นับวันก็ยิ่งโอหังลำพอง ทำให้ท่านเห็นเื่น่าขันแล้ว แต่ท่านโปรดวางใจ ข้าจะไม่ให้นางมาสร้างปัญหาให้คนในจวนของท่านอีกเป็อันขาด"
ท่านโหวผู้เฒ่าเลิกคิ้วไม่รับและไม่ปฏิเสธ "เอาล่ะ ในเมื่อคำขอขมาก็เอ่ยแล้ว ท่านทั้งสองก็กลับไปเสียเถอะ" แล้วหันไปมองเฉียวเยว่ "กลับไปพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำชาระงับความตื่นตระหนกด้วยเล่า"
ความหมายบ่งบอกชัดเจน
เฉียวเยว่ตอบอื้อ
ไท่ไท่สามจูงบุตรชายบุตรสาวเดินออกไป พลางแค่นเสียงเยาะ "เห็นพวกเรารังแกง่ายนักหรือ"
น้อยครั้งที่เฉียวเยว่จะเห็นมารดาเป็เช่นนี้ จึงเอ่ยเสียงเบา "แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะมาขอขมา"
"ไม่ใช่โอรสที่ไทเฮาให้กำเนิด ตอนนั้นยังเคยคิด่ชิงบัลลังก์ มีหรือฮ่องเต้จะเข้าข้างเขา? ยิ่งไปกว่านั้น จวนของพวกเราต้องกลัวเขาเสียที่ไหน?" ไท่ไท่สามเหยียดหยัน
เฉียวเยว่อึ้งงัน
ที่แท้มารดาของนางก็มีจักรวาลเล็กๆ ในใจอยู่เหมือนกัน
"ต่อให้เป็ท่านหญิงแล้วอย่างไร วันหลังไม่ต้องไปกลัวนาง หากครานี้ไม่ให้นางได้เห็นความร้ายกาจของเราเสียบ้าง เมื่อเ้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาสตรี นางก็ไปเรียนเหมือนกัน เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้เ้าอีก ต้องให้นางได้รู้เสียแต่บัดนี้ว่าจวนโหวของเราใครก็ห้ามยุ่ง ถึงเวลาเ้าจะได้หมดกังวลไปได้มาก"
ไท่ไท่สามพร่ำบอกเหตุผล
เฉียวเยว่ถอนหายใจ แม้ว่าตนเองจะได้มาเกิดใหม่อีกหน แต่ก็ยังคงอ่อนหัดเกินไป
นางเพียงแค่อยากปกป้องคนในครอบครัว แท้จริงแล้วยังมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น
"ท่านแม่ ข้าคือเฉียวเยว่ผู้ไร้พ่าย ใครก็อย่าหมายมารังแก"
...
[1] ผ้าปิดอาย หมายถึงผ้าที่ใช้ปิดของสงวน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้