มู่อวิ๋นจิ่นหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาพลางถอนหายใจ เื่ดีไม่มีเกิด เื่แย่เกิดมากมาย
“ไม่มีเื่ใหญ่เกิดขึ้นหรอก มีแค่เื่เข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้น” มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้ายิ้มมุมปาก มิพูดคำใดต่อ
ฉู่ชิงหยวนได้ฟังว่ามีเื่เกิดขึ้นกับมู่อวิ๋นจิ่นก็รีบตบโต๊ะด้วยความโมโห “คนชั่วที่ไหนกัน คงไม่อยากมีลมหายใจต่อไปแล้ว แม้แต่พระชายาหกยังกล้ารังแก ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนไปสืบความจริง ย่อมไม่ปล่อยให้คนพวกนั้นลอยนวลไปได้”
พอได้ยินคำเรียก “พระชายาหก” มู่อวิ๋นจิ่นเกิดสำลักน้ำชาจนต้องไอจนตัวโยนอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเหลือบไปมองฉู่ลี่ ทว่ากลับไม่พบสีหน้าที่ผิดปกติของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ฉู่ชิงหยวนมองมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ไม่พูดไม่จา จู่ ๆ ก็ร้องขึ้นด้วยความใ “ใช่แล้ว ข้าเกือบลืมไปเลย วันนี้ข้ากับพี่ห้ามีนัดไปไหว้พระกันนี่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน”
ระหว่างที่พูดไปนั้น ฉู่ชิงหยวนลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตู ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไป นางหันมามองฉู่ลี่กับมู่อวิ๋นจิ่นแวบหนึ่ง
“พี่ชายหก พี่สะใภ้หก ต้องขออภัยด้วย วันหลังน้องเก้าจะอยู่เป็เพื่อนก็แล้วกัน พวกพี่ก็รู้นิสัยใจคอของพี่ห้าดีว่าขี้โมโหขนาดไหน หากน้องเก้าไปสายละก็ พี่ห้าต้องต่อว่าต่อขานแน่นอน…”
สิ้นเสียงอธิบายที่ยาวยืด ฉู่ชิงหยวนได้ปิดประตูดัง “ปัง” แล้วพาคนติดตามไปด้วย
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกประหลาดใจในการกระทำที่กะทันหันของฉู่ชิงหยวน นี่ทำให้นางยังตั้งรับไม่ทัน
พวกเรามิได้นัดทานอาหารกันหรอกหรือ?
เหตุใดตอนนี้เหลือเพียงนางกับฉู่ลี่นั่งกันอยู่ที่นี่เพียงสองคนด้วย?
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ มู่อวิ๋นจิ่นก็ปะติดปะต่อเื่ที่ฉู่ชิงหยวนสร้างขึ้นได้แล้ว นางจึงเบะปาก มือก็หยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างละเมียดละไม
“ได้ยินมาว่าชาวบ้านในตลาดล่ำลือกันว่าเปิ่นหวงจื่อ[1] ยังไม่ได้ส่งของหมั้นหมายไปอย่างนั้นใช่หรือไม่?” ฉู่ลี่มองหน้ามู่อวิ๋นจิ่นด้วยมีนัยแฝงบางอย่าง
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินแล้วก็วางตะเกียบในมือลงก่อนตอบกลับไป “ในเมื่อองค์ชายหกรู้เื่ทั้งหมดดีแก่ใจ เช่นนั้นก็ให้คำตอบเื่นี้ในวันนี้เลยเถอะ”
“หากองค์ชายหกคิดกลับคำ โปรดจงนำเื่นี้ไปป่าวประกาศให้คนในใต้หล้าทราบพร้อมกันด้วย”
ฉู่ลี่เม้มปากเล็กน้อย สายตายังคงจับจ้องที่มู่อวิ๋นจิ่น เผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจความหมาย “ดูท่าเปิ่นหวงจื่อจะละเลยไป ทำให้เ้าต้องได้รับความไม่เป็ธรรม ต้องขออภัยเ้าด้วย”
“ละเลยอย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นจับคำที่ฉู่ลี่พูดขึ้น หรือว่าเขาคิดกลับคำขึ้นมาจริง ๆ
คิดมาถึงตรงนี้ จิตใจของนางร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา นางขมวดคิ้วแล้วเปรยด้วยน้ำเสียงเ็า “ในเมื่อองค์ชายหกคิดเื่นี้ขึ้นมาได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไปเตรียมของหมั้นหมาย งานแต่งใกล้เข้ามาทุกที หวังว่าองค์ชายหกจะให้ความสำคัญบ้าง”
“อืม” ฉู่ลี่ตอบคำเดียวอย่างเรียบง่ายให้กับนาง
มู่อวิ๋นจิ่นยังคงมีน้ำโหอยู่เลยมองฉู่ลี่ด้วยสายตาดูแคลน ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดสี “การได้รู้จักองค์ชายหกนับเป็บุญวาสนาของอวิ๋นจิ่นเหลือเกิน ประเดี๋ยวจะเข้าฤดูร้อนแล้ว การที่องค์ชายหกอยู่เคียงข้าง อวิ๋นจิ่นรู้สึกเหมือนเป็เหมันต์ฤดูตลอดทั้งปี ที่ทุกวันต้องใช้ชีวิตอย่างหนาวเหน็บ คิด ๆ ดูแล้วคงเป็เื่ที่น่าจะมีความสุขมากจริงเชียว”
ฉู่ลี่นั่งฟังมู่อวิ๋นจิ่นเสียดสีด้วยความนิ่งสงบ จากนั้นหันมองนางด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนเปลี่ยนประเด็นว่า “ประเดี๋ยวทานอาหารเรียบร้อย เปิ่นหวงจื่อจะพาเ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง”
…
เมื่อทั้งสองเดินออกจากโรงเตี๊ยม ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมากลับหยุดฝีเท้าลง และหันมามองทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า
นี่คือองค์ชายหกกับคุณหนูสามสกุลมู่มิใช่หรอกหรือ?
ภาพเบื้องหน้านี้ทำให้ชาวบ้านต่างอ้าปากค้าง ไหนว่าองค์ชายหกไม่ยอมแต่งกับคุณหนูสามสกุลมู่ จึงยังไม่ส่งของหมั้นหมายไปนี่?
ทว่าตอนนี้ทั้งสองคนกลับมายืนเคียงข้างกันที่นี่ องค์ชายในชุดสีม่วง คุณหนูในชุดสีขาว แม้ไม่เป็สีโดดเด่นสะดุดตาทว่ากลับดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง
พูดก็พูดเถอะ หากเอาแค่ภาพภายนอก ทั้งสองดูเหมาะสมกันยิ่งนัก
“เ้าจะพาข้าไปไหน?” มู่อวิ๋นจิ่นมิได้สนใจสายตาของชาวบ้าน นางหันกลับมาถามฉู่ลี่ที่ยืนด้านข้าง
การหันมามองในครั้งนี้ มู่อวิ๋นจิ่นพบว่านางนั้นเตี้ยกว่าฉู่ลี่อยู่่หัวหนึ่ง จำต้องเงยหน้าขึ้นมองฉู่ลี่
มู่อวิ๋นจิ่นไม่ค่อยสบอารมณ์ และบ่นพึมพำกับตนเอง “ช่างเถอะ เ้าของร่างมู่อวิ๋นจิ่นตัวจริงอายุเพิ่งสิบหกปี ยังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ อีกไม่นานก็คงสูงขึ้นเรื่อย ๆ”
คิดได้เช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นค่อยโล่งอกเบาใจไปที
ไม่นานนัก ติงเสี่ยนได้นำรถม้ามาหยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมแล้วยิ้มทักทาย “เชิญคุณหนูสามขอรับ”
พอมู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า ก็ได้สัพยอกเขากลับไปว่า “ที่แท้องครักษ์ติงยังรับหน้าที่เป็คนขับรถม้าด้วย”
“แหะๆๆ” ติงเสี่ยนกระแอมไออยู่หลายทีก่อนรีบโค้งคำนับ “คุณหนูสาม ให้ผมช่วยประคองนะขอรับ”
“มิต้องหรอก” มู่อวิ๋นจิ่นเลือกที่จะะโขึ้นรถม้าไปนั่งด้านใน
ฉู่ลี่ที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มมุมปาก “ไปถนนตะวันตก”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
ภายในรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นนั่งพิงพนักยกมือกอดอก ภายในหัวยังคงครุ่นคิดว่าฉู่ลี่จะพานางไปที่ไหนกัน
รถม้าเคลื่อนไปได้ไม่นานก็หยุดลง ตามด้วยเสียงติงเสี่ยนที่ดังขึ้นแทน “องค์ชาย คุณหนูสาม ถึงถนนตะวันตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักงัน ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพิ่งนั่งลงก้นยังไม่ทันร้อนก็ถึงเสียแล้ว?
เมื่อก้าวลงจากรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับตาโตเป็ไข่ห่าน นางเห็นร้านค้าติดแผ่นป้ายตัวอักษรทำจากทองคำว่า “ซีจิ่นย่วน” ติดระยิบระยับสะท้อนแสง
หลังจากฉู่ลี่เดินลงจากรถม้าก็เดินเข้าไปด้านในร้าน มู่อวิ๋นจิ่นชะงักชั่วขณะก่อนเดินตามหลังเขาเข้าไป
พอเดินผ่านเข้าไปร้านซีจิ่นย่วน ได้มีชายชราท่านหนึ่งออกมาต้อนรับและโค้งคำนับให้ฉู่ลี่ “คารวะองค์ชายหก”
“ตามสบาย” ฉู่ลี่ตอบเสียงเรียบ
ชายชราพยักหน้ารับ จากนั้นเลื่อนสายตามองประเมินมู่อวิ๋นจิ่นทั้งตัว ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “ท่านนี้คงเป็คุณหนูสามสกุลมู่ใช่ไหมขอรับ?”
“อืม ใช่แล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ กวาดสายตามองไปรอบร้าน พบว่าร้านนี้เป็ร้านที่ขายเครื่องประดับกับเครื่องทองต่าง ๆ
เพียงปรายสายตามองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเครื่องประดับและเครื่องทองต่างมีแสงระยับ ทำด้วยความประณีต ดูแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็ของชั้นเลิศ
“ไม่แน่ว่าที่นี่อาจมีของที่เหมาะกับเ้า เ้าเลือกได้ตามใจชอบ ถือเสียว่าเป็คำขอโทษจากเปิ่นหวงจื่อแล้วกัน” ฉู่ลี่หันมาบอกมู่อวิ๋นจิ่น
เมื่อได้ยินได้ฟังเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วเม้มปาก หรี่ตาครุ่นคิด เขาพานางมาที่นี่ก็เพื่อขอโทษอย่างนั้นสิ
เพียงแต่ฉู่ลี่คงคิดว่านางเป็เหมือนสตรีทั่ว ๆ ไป ที่สามารถใช้เครื่องประดับและเครื่องทองในการซื้อใจได้ละสิท่า?
ชายชราเดินเข้ามาด้านข้างมู่อวิ๋นจิ่น และเหมือนจะอ่านแววตาของนางออก “ข้าน้อยเปิดร้านซีจิ่นย่วนมาได้สิบห้าปีแล้ว ปกติขายของไม่ได้คำนึงถึงราคา แต่ดูว่าเหมาะสมมีวาสนากับคนที่ซื้อไปหรือเปล่าขอรับ!”
“แล้วจะดูอย่างไรว่าเหมาะสมมีวาสนา?” มู่อวิ๋นจิ่นเผยอมุมปากถามกลับ
ชายชราจึงเดินไปที่ชั้นวางของก่อนยื่นมือไปเปิดกล่องเครื่องประดับออก “สิ่งของเหล่านี้นั้น ในระหว่างกระบวนการทำล้วนผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปด้วย ดังนั้นของทุกชิ้นจึงมีชีวิตขอรับ”
“ฉะนั้นสิ่งของทุกชิ้นมีความสามารถที่จะเลือกเ้าของเอง นี่เองจึงเรียกว่าเหมาะสมมีวาสนาขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นยืนฟังที่ชายชราอธิบาย ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างจนปัญญา เดิมทีนึกว่าจะสร้างเื่ที่น่าสนุกให้ฟัง แต่นี่กลับมาหลอกขายความเชื่อกันชัด ๆ
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือไปหยิบกำไลหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมาถือ มองอย่างพินิจพิเคราะห์ก็มิเห็นความวิเศษอย่างที่ชายชราว่ามาเลย
“กำไลวงนี้ ดูจะไม่มีวาสนาต่อคุณหนูสามขอรับ” ชายชราอมยิ้ม
มู่อวิ๋นจิ่นวางกำไลกลับไปดังเดิม ก่อนที่นางจะรีบหันกลับมามองค้อนฉู่ลี่ไปหนึ่งที “ที่นี่ไม่น่าสนใจสักนิด พวกเราไปกันเถอะ”
ชายชราเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเป็คนไร้ความอดทนจึงหัวเราะขึ้น “ในเมื่อคุณหนูไม่สนใจเครื่องประดับและเครื่องทองพวกนี้ ข้าน้อยยังมีของอื่นที่น่าสนใจอยู่ขอรับ”
สิ้นเสียงแล้วชายชราก็เดินไปด้านข้าง และเปิดผ้าแดงคลุมโต๊ะออก ทันใดนั้นก็พลันปรากฏอาวุธน้อยใหญ่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า
มู่อวิ๋นจิ่นตาลุกวาวเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
ที่แท้นางสนใจอาวุธพวกนี้มากกว่าเครื่องประดับเป็ไหน ๆ
นางหยิบมีดสั้นที่ทำจากเงินขึ้นมาจับดูน้ำหนัก หลังจากนั้นดึงมันออกมาฟันไปมาจนได้ยินเสียงฝ่าอากาศดัง “ขวับๆ” ที่กังวานสดใส
มู่อวิ๋นจิ่นเกิดความรู้สึกชอบใจเป็อย่างยิ่ง
ระหว่างที่เตรียมเก็บมีดสั้นเข้ากระเป๋า ชายชราเดินเข้ามาพลางส่ายหน้า “มีดสั้นเล่มนี้ไม่มีวาสนากับคุณหนูสามขอรับ”
ทันใดนั้นมู่อวิ๋นจิ่นรีบมองค้อนเหมือนจะกินเืกินเนื้อชายชราเสียให้ได้
ทางด้านฉู่ลี่ที่นั่งเก้าอี้อยู่ดูพฤติกรรมของนางที่ไม่สนใจเครื่องประดับ แต่กลับรักมีดสั้นจนวางมิลง
มู่อวิ๋นจิ่นจึงเลือกมีดสั้นเล่มแล้วเล่มเล่า ทว่าล้วนกลับถูกชายชราปฏิเสธทั้งหมดว่าไร้วาสนากับนาง
บัดนี้มู่อวิ๋นจิ่นโกรธจนลมออกหู ความอดทนที่มีหมดสิ้นจึงโยนมีดสั้นในมือลงบนโต๊ะ เตรียมตัวกลับหลังเดินออกจากร้านไป
“ฉู่ลี่ ครั้งหน้าไม่ต้องพาข้ามาที่บ้าบอแบบนี้อีก!” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างไม่สบอารมณ์จนลืมข้อห้ามไปว่าห้ามเอ่ยนามบุคคลในราชวงศ์โดยตรง
ั้แ่ฉู่ลี่เกิดมาและจำความได้ ดูเหมือนเป็ครั้งแรกที่มีคนเรียกนามของเขาโดยตรง เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ภายในใจกลับไม่ต่อต้าน และกลับรู้สึกลื่นหูอย่างบอกไม่ถูก
“ในเมื่อเ้าคิดว่าไม่น่าสนใจก็กลับกันเถอะ” พอเห็นมู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้ของติดไม้ติดมือ ฉู่ลี่ก็จนปัญญาเช่นกัน
ในระหว่างที่มู่อวิ๋นจิ่นเตรียมเดินออกจากร้าน ข้อมือของนางเหมือนถูกของบางอย่างรัด ทั้งยังรัดข้อเท้าของนางไว้ด้วยจนนางมิอาจเดินต่อไปได้ พอมองดูก็พบว่าเป็แส้สีทองเส้นหนึ่ง
“ดูสิขอรับ ของชิ้นนี้นับมีวาสนาต่อคุณหนูสาม” ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี เมื่อครู่ถูกมู่อวิ๋นจิ่นดูถูกดูแคลนเอาไว้มาก ในที่สุดก็เอ่ยได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียที
มู่อวิ๋นจิ่นมองแส้สีทองเส้นนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ปกติแล้วนางคุ้นชินกับการใช้มีดสั้น ดังนั้นระหว่างที่เลือกอาวุธจึงไม่ได้สนใจแส้เส้นนี้แม้แต่น้อย
ในเวลานี้เห็นแส้เรียวยาวดูน่าจะจับถนัดมือก็พลันรู้สึกถูกตาต้องใจ
“คุณหนูสามเยี่ยมจริง ๆ แส้หางหงส์เส้นนี้อยู่ในร้านมากว่าหลายสิบปี ในที่สุดวันนี้ก็มีเ้าของนำไปเสียที” ติงเสี่ยนเห็นแส้หางหงส์จึงอดอธิบายเสียมิได้
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเื่ราวของแส้หางหงส์เส้นนี้ก็พลันยิ้มแย้มอย่างเป็สุข “ในเมื่อมีวาสนาต่อกันเช่นนี้ องค์ชายหกรบกวนช่วยจ่ายเงินด้วยก็แล้วกัน”
—-----------------
[1] เปิ่นหวงจื่อ คือสรรพนามที่องค์ชายใช้เรียกแทนตนเอง