สองวันก่อน หลังจากจางหยางถูกสังหารสิบวัน ที่ตระกูลจางภายในเมืองลั่วซี
จางเจิ้นซานที่เป็หัวหน้าตระกูลนั่งบนเก้าอี้ประธานในห้องโถงเพ่งตามองบุรุษห้าคนที่คุกเข่าตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเ็า ดวงตาเปล่งประกายแหลมคมดุจใบมีด คนทั้งห้าสั่นระริกทั้งร่างั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าขณะที่หลั่งเหงื่อเย็นเยียบโซมกาย
“เฮอะ!” หลังจากบรรยากาศอันอึดอัดแทบลมหายใจขาดห้วงดำเนินไปราวชั่วน้ำเดือด จางเจิ้นซานจึงแค่นเสียงอย่างเ็า บุรุษที่คุกเข่ากับพื้นทั้งห้าสะท้านขึ้นพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันหวาดกลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พวกเ้า... ทำได้ประเสริฐ ไม่ถึงสิบวัน พวกเ้าใช้เวลาไม่นานกลับสามารถหลบหนีไปได้ไกลนัก ทำให้ข้าเสียเวลามากมายเพื่อตามล่า...” จางเจิ้นซานกล่าวเสียงราบเรียบ จึงไม่อาจทราบได้ว่ารู้สึกเช่นไร แต่ทุกคนในห้องล้วนทราบว่าจางเจิ้นซานยามนี้สามารถลงมือฆ่าคนได้ทุกเมื่อ
“บอกมา บุตรชายข้าตายได้อย่างไร? และเป็ฝีมือผู้ใด?” ยามที่เอ่ยปากถามคำถามเหล่านี้ แม้น้ำเสียงจะยังคงเรียบเฉยแต่ก็ไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าที่พยายามซุกซ่อนไว้ได้อีกต่อไป --- ความเ็ปของการสูญเสียบุตรชายจะปิดบังอย่างง่ายดายได้หรือ?
คนทั้งห้าที่คุกเข่าอยู่ก็คือเหล่ามิจฉาชีพที่ถูกไป๋หยุนเฟยกระแทกหมดสติเมื่อเริ่มจู่โจมจางหยาง ภายหลังจึงหลบหนีด้วยความหวาดกลัวว่าตระกูลจางให้พวกมันรับผิดชอบต่อการตายของจางหยาง แม้จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลบหนี แต่สุดท้ายก็ยังคงถูกคร่ากุมตัวกลับมาโดยคนของตระกูลจาง
แม้แต่หัวหน้ากลุ่มนั้นก็อยู่ในห้าคนนี้
“นาย...นายท่าน การตายของนายน้อยจางหยาง... ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราจริงๆ! ฆาตกรนั้นมุ่งเป้ามายังนายน้อยโดยเฉพาะ อีกอย่างมันเป็ผู้ฝึกปรือิญญาอันร้ายกาจ! พวกเราถูกกระแทกสลบก่อนแต่แรก ทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราจริงๆ! นายท่านโปรดไว้ชีวิตพวกเรา...”
หลังจากลังเลอยู่นานหัวหน้ากลุ่มนั้นไม่มีทางเลือกได้แต่วิงวอนขอชีวิต บุรุษสี่คนที่คุกเข่าด้านหลังกลับตื่นกลัวจนไม่อาจเอ่ยปากแม้แต่คำเดียว
“ข้าไม่ได้ถามเื่เหล่านี้!” น้ำเสียงจางเจิ้นซานพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับไม่อาจสะกดกลั้นอยู่บ้าง
“ถูกต้อง ถูกต้อง... พวกเราจะบอกทุกอย่างแก่นายท่าน หวังว่า หวังว่าท่านจะให้โอกาสไว้ชีวิตต่ำต้อยของผู้น้อย พวกเราจะทุ่มเทชีวิตตามหาฆาตกรสังหารนายน้อยให้จงได้!”
“พวกเ้าไม่มีสิทธิ์ต่อรอง!” จางเจิ้นซานน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้น ราวกับความโกรธเกรี้ยวในใจพร้อมจะะเิออกมาได้ทุกเมื่อ
ทั้งร่างของหัวหน้ากลุ่มนั้นถึงกับสั่นสะท้านอีกครา มันไม่กล้าวิงวอนอันใดอีกแล้วได้แต่กล่าวสืบต่อ “ถูกแล้ว ถูกแล้ว... วันนั้นฆาตกรพลันถล่มหลังคาลงมาและใช้เศษกระเบื้องกระแทกพวกเราทั้งหมดที่เป็คนธรรมดาสลบไป...”
“ว่ากระไร? หมายความว่า... พวกเ้าไม่มีผู้ใดเห็นหน้ามันและพวกเ้าก็ไม่ทราบว่ามันเป็ใครเช่นกัน?” จางเจิ้นซานขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ผู้น้อยคืนสติมาใน่สุดท้าย ก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปจึงได้ยินบางอย่าง...” หัวหน้ากลุ่มรีบกล่าวต่อ “คนผู้นั้นมาเพียงผู้เดียวแต่ปรากฏสตรีผู้หนึ่งเข้ามาหลังจากการต่อสู้จบ ดูเหมือนนางมาเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวที่ถูกพวกเราคร่ากุมมา นางและฆาตกรสังหารนายน้อยราวกับไม่รู้จักกันแต่สุดท้ายพวกมันกลับจากไปด้วยกัน!”
“สตรีนางนั้นกล่าวว่านางเป็ศิษย์สำนักหลิวขจี นามว่า...ชิวลู่หลิว เด็กสาวที่ถูกพวกเราคร่ากุมมาเป็ศิษย์น้องนางนามว่าฉู่อวี้เหอ...” หัวหน้ากลุ่มบอกเล่าอย่างเคร่งเครียดราวกับพยายามทบทวนความทรงจำอย่างยากเย็น
“ว่ากระไร? สำนักหลิวขจี?!”
สีหน้าจางเจิ้นซานแปรเปลี่ยนเป็คราแรก มันยืนขึ้นอย่างกะทันหันกล่าวด้วยเสียงแตกตื่น
กระนั้น หลังจากสงบใจลงจางเจิ้นซานก็พลันขมวดคิ้วกล่าวอย่างสับสน “เ้าบอกว่านางมาเพื่อช่วยเหลือคนผู้หนึ่ง? และเ้าคร่ากุมตัวศิษย์น้องนางมา? เฮอะ! หากเป็เช่นนั้นจริง หรือพวกเ้าสามารถคร่ากุมตัวศิษย์สำนักหลิวขจีได้?! เ้าหวังลากสำนักหลิวขจีออกมาเพื่อขู่ขวัญข้ากระมัง?!?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่! นายท่าน ผู้น้อยจะกล้าหลอกลวงท่านได้หรือ? เป็สตรีนางนั้นกล่าวออกมาเอง ผู้น้อยได้ยินอย่างชัดเจน!” หัวหน้ากลุ่มรีบอธิบายอย่างร้อนรน
จางเจิ้นซานเพ่งมองสีหน้ามันและครุ่นคิดในใจ “ดูเหมือนมันจะไม่ได้โกหก หรือจะเป็สำนักหลิวขจีจริงๆ? ชิวลู่หลิว... ศิษย์เอกแห่งสำนักหลิวขจี ยามนี้นางสมควรออกจากสำนักเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ นี่หมายความว่าเด็กสาวที่ถูกพาตัวมานั้นสมควรเป็ชาวบ้านที่นางเพิ่งรับเข้าสู่สำนัก อีกทั้งนางน่าจะเป็ผู้ที่ทำลายกลุ่มมิจฉาชีพเกือบทั้งหมดในเมืองเมื่อคืนก่อนเพื่อตามหาเด็กสาวนั้น เช่นนั้นทุกอย่างนับว่ามีเหตุผล... แม้นางจะไม่ใช่พวกเดียวกับฆาตกร แต่เมื่อจากไปพร้อมกันย่อมหมายความว่านางทราบตัวตนและที่มาของมัน!”
ขณะที่คิดแผนการในใจสีหน้าจางเจิ้นซานยังคงไม่แปรเปลี่ยน เมื่อจิตใจคืนสู่ความสงบจึงกล่าวเสียงราบเรียบ “เ้ายังไม่บอกเล่ารายละเอียดของฆาตกรนั้น นั่นเพราะเ้าไม่ทราบอันใดหรือไม่้าบอกออกมา?”
“คนผู้นั้นระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง มันไม่กล่าวถึงเื่ตนเองแม้แต่น้อย ผู้น้อย ผู้น้อยไม่กล้าปกปิดอันใด นายท่านหากท่านหาคนจากสำนักหลิวขจีพบก็จะทราบว่าฆาตกรเป็ผู้ใด โปรดไว้ชีวิตต่ำต้อยของผู้น้อยด้วยเถอะนายท่าน!” หัวหน้ากลุ่มวิงวอนอย่างน่าเวทนา
ทันใดเสียงหวาดหวั่นสั่นสะท้านก็ดังมาจากด้านหลัง “นาย นายท่าน... ผู้น้อย ผู้น้อยทราบบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนของฆาตกรนั้น...”
“โอ? รีบบอกมา!” จางเจิ้นซานขมวดคิ้วกล่าวอย่างเคร่งเครียด
“ก่อนที่ ก่อนที่จะสังหารนายน้อย คนผู้นั้นกล่าวบางอย่าง...” คนผู้นั้นพยายามเค้นสมองทบทวนความทรงจำจากนั้นใช้น้ำเสียงตะกุกตะกักบอกเล่าคำพูดระหว่างไป๋หยุนเฟยและจางหยางออกมา
จางเจิ้นซานนิ่งงันรับฟังจนจบ ทว่าผู้คุ้มกันที่ยืนด้านข้างกลับแสดงท่าประหลาดใจยิ่งนัก หลังจากฟังจบใบหน้ามันก็เปี่ยมด้วยความเหลือเชื่อ --- มันจะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่หนึ่งในสองบริวารที่คร่ากุมตัวไป๋หยุนเฟยไปยังสมรภูมิเดรัจฉาน
ยามที่คนผู้นั้นบอกเล่าจบ ผู้คุ้มกันนั้นลังเลชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันกรอด มันไม่กล้าปิดบังนายเหนือจึงก้าวเท้าไปเบื้องหน้าจางเจิ้นซานและเอ่ยปากเสียงค่อย “นายท่านข้าทราบว่าฆาตกรคือผู้ใด...”
จากนั้นมันใช้เสียงเบาหวิวบอกเล่าเื่ที่ทราบเกี่ยวกับไป๋หยุนเฟยให้แก่จางเจิ้นซาน ทั้งเื่ที่ไป๋หยุนเฟยล่วงเกินหลิวเมิ่งอย่างไร จางหยางสั่งให้มันนำตัวไป๋หยุนเฟยไปยังสมรภูมิเดรัจฉานอย่างไร ไป๋หยุนเฟยต่อสู้อย่างไรในสมรภูมิเดรัจฉาน รวมทั้งเกิดอะไรขึ้นกับผู้เฒ่าอู๋กับเสี่ยวอวี้เอ๋อร์
“ว่ากระไร? เป็มันหรือ?!” เมื่อได้ฟังเื่ราวทั้งมวลจางเจิ้นซานก็กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง “มิคาดว่าจะเป็มัน... แต่ไฉนเป็เช่นนี้ได้? ครานั้นข้าก็พบมันบนถนนเช่นกัน ข้าจำได้อย่างเลือนรางว่ามันเป็เพียงชาวบ้านอ่อนแอ หรือเป็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายรองเจิ้ง? เป็ไปไม่ได้ คุณชายรองเจิ้งย่อมไม่สนับสนุนชาวบ้านที่ไม่รู้จักมาก่อนมากมายเช่นนี้ หรือว่า... มันจะพบพานวาสนาจนกลายเป็ยอดฝีมือ”
“ช่างเถอะ เื่นั้นละไว้ก่อน ยามนี้ข้าทราบตัวฆาตกรแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!” จางเจิ้นซานจึงละวางเื่น่าสงสัยไว้ก่อนชั่วคราว แล้วจึงเงยหน้าขึ้นเพ่งมองผู้ที่คุกเข่าบนพื้นนั้นและกล่าววาจาเสียงราบเรียบด้วยสีหน้าเ็าดุจน้ำแข็ง “เช่นนั้นหมายความว่าเ้ามองดูคนผู้นั้นสังหารบุตรชายข้าโดยไม่ยื่นมือช่วยเหลือจากนั้นก็ทอดกายบนพื้นแกล้งหมดสติต่อไปใช่หรือไม่?”
คนผู้นั้นขณะยินดีที่มันให้ข่าวสารอันเป็ประโยชน์และรู้สึกว่าท้ายที่สุดมันสมควรรักษาชีวิตไว้ได้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดจางเจิ้นซานสีหน้ามันก็พลันแข็งทื่อ ทั้งร่างสั่นระริกในใจถูกความหวาดกลัวครอบงำหมดสิ้น มันโบกมือไม่หยุดด้วยความตื่นตระหนกพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “ไม่... ไม่จริง นายท่าน ผู้น้อย...”
“เฮอะ! เ้าสวะไร้ประโยชน์ ไปขอขมาต่อบุตรชายข้าเถอะ!” จางเจิ้นซานกลับไม่ปล่อยให้มันกล่าวจบ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็มุ่งร้ายราวกับคนเบื้องหน้าเป็ศัตรูสังหารบุตรชาย
ปรากฏเงาร่างวูบผ่านสายตาทุกคน จางเจิ้นซานพลันปรากฏตัวเบื้องหน้าคนผู้นั้นและยื่นมือขวาคว้าจับลำคอมันยกลอยขึ้นในอากาศราวไร้น้ำหนัก
มวลอากาศเย็นพลันแผ่ซ่านออกจากร่างมัน นี่ไม่ใช่ความรู้สึกเย็นเยือกจากจิตใจ แต่เป็มวลอากาศที่หนาวเย็นราวน้ำแข็งจริงๆ อุณหภูมิภายในห้องโถงพลันลดต่ำอย่างกะทันหัน ผู้คนทั้งมวลอดไม่ได้ต้องสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ
หมอกสีขาวปรากฏขึ้นรอบมือขวาของจางเจิ้นซาน ผู้ที่ถูกยกลอยขึ้นกลางอากาศก็ดิ้นรนไม่หยุด เนื่องเพราะถูกคว้าจับที่ลำคอใบหน้าจึงกลายเป็แดงฉาน มิคาดชั่วขณะใบหน้ามันเปลี่ยนเป็ซีดขาวอย่างช้าๆ ทั้งยังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งทีละน้อย สุดท้ายก็หยุดดิ้นรนปล่อยสองมือตกห้อยอย่างไร้กำลัง
จางเจิ้นซานคลายมือออกคนผู้นี้ก็ร่วงลงสู่พื้นทันที ทั้งร่างมันแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งในโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะจนตาย!
“เ้าคนโง่เขลา...” หัวหน้ากลุ่มลอบถอนใจยามที่มองซากศพของบริวาร แม้ใบหน้ามันจะเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวเช่นเดียวกับผู้อื่น แต่แววตากลับปรากฏร่องรอยของ... ความยินดีอยู่ภายใน
จางเจิ้นซานกวาตามองทั้งสี่คนที่หลงเหลือพลางกล่าวอย่างเ็า “สำหรับพวกเ้าทั้งสี่ ข้าจะละเว้นชีวิตต่ำต้อยของพวกเ้าชั่วคราว หากทุ่มเทกายใจตามหาตัวฆาตกรพบข้าจะไม่เอาความ ไม่เช่นนั้น... เตรียมตัวถูกกลบฝังร่วมกับบุตรชายข้าเถอะ!”
จางเจิ้นซานเงยหน้าขึ้นสั่งการบริวารข้างกาย “เตรียมภาพเหมือนฆาตกรในบัดดลแล้วออกตามหาว่ามันเป็ผู้ใดกันแน่ จากนั้นระดมกำลังทั้งมวลออกตามล่ามันให้แก่ข้า! ทุกสถานที่ ทุกเมือง ทุกหมู่บ้าน... ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั้งมณฑลฉิงหยุนเพื่อตามล่า พวกเ้าก็ต้องหาให้ได้ว่ามันไปอยู่ที่ใด!!”
